ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 384 คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า ชาวสมุทรบุกผืนดิน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 384 คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า ชาวสมุทรบุกผืนดิน
ณ อาณาเขตแถบตะวันตกของหนองน้ำปราณมายา ทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาทอดตัวยาวอยู่ด้านล่างหน้าผาสูงชัน
สายลมหอบเอากลิ่นเค็มของทะเลโชยเข้าฝั่ง เกลียวคลื่นซัดสาดแนวโขดหินใต้หน้าผาสูงพร้อมเสียงดังลั่น เสียงของคลื่ นดังพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องสะดุ้งตกใจจนตัวโยน
เหนือหน้าผาชันมีหอคอยสูงที่ทำจากหินตั้งตระหง่านอยู่ หอคอยดังกล่าวนครมหาอสรพิษสร้างขึ้นเพื่อคอยตรวจตราดูสถ ถานการณ์และสอดส่องหาผู้บุกรุกในมหาสมุทรไร้ขอบเขต
ด้านล่างของหน้าผามีท่าเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มนุษย์อสรพิษมากมายนับไม่หวาดไม่ไหวกำลังออกเรือไปในทะเล เพื่อจับสัตว ว์น้ำมาทำอาหารและเก็บเกี่ยววัตถุดิบเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวัน
หมู่บ้านเล็กๆ รอบท่าเรือเป็นหมู่บ้านของชาวประมง พวกเขากำลังเตรียมตัวเดินเรือออกไปยังทะเล หมู่บ้านเหล่านี้เป็น สถานที่พักพิงชั่วคราวสำหรับเหล่าชาวประมง ส่วนบ้านจริงๆ ของพวกเขาอยู่ที่นครมหาอสรพิษ
เรือไม้มากมายทอดสมอเรียงรายเทียบท่าอยู่ ใบเรือที่ทำจากไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปตามกระแสลม
ทหารยามมนุษย์อสรพิษจากนครมหาอสรพิษจะลาดตระเวนผ่านมาเป็นครั้งคราวพร้อมอาวุธในมือ พวกเขาทำหน้าที่ดูแลความเรียบร ร้อยของท่าเรือ
ท้องทะเลเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย นานๆ ทีจะมีอสูรเวทไม่ทราบชื่อโผล่ขึ้นมาเป็นพักๆ แล้วทำลายหมู่บ้านและท่าเรื อ หน้าที่ของพวกเขาคือคอยควบคุมอสูรเวทเหล่านี้ให้ไม่ทำลายบ้านเมืองย่อยยับ
แสงแดดอุ่นส่องลงไปยังท้องทะเล ผิวน้ำทอประกายระยิบระยับราวกับปกคลุมด้วยทองคำเลอค่า คลื่นทะเลที่พัดเข้าฝั่งท ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมทำมุมกับแสงแดดจนเป็นประกายสวยงามยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้นมนุษย์อสรพิษตนหนึ่งที่กำลังจะออกเรือก็ร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
มนุษย์อสรพิษทุกตนที่อยู่บนเรือไม้หมอบตัวลงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นเส้นสีดำสนิทปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า
เส้นสีดำขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ เค้าโครงของมันเริ่มชัดเจน สิ่งนี้มาพร้อมเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เงาสีดำทะมึนดัง งกล่าวแท้จริงเป็นเมฆหนาทึบที่กำลังแผ่ตัวบดบังท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ภาพที่น่ากลัวเหมือนวันสิ้นโลกนั้นทำให้บรรดามนุษย์อสรพิษบนเรือไม้ตกใจกลัวจนสติกระเจิง พวกเขาร้องตะโกนออกมา ด้วยความหวาดหวั่น จากนั้นก็กระโดดออกจากเรือเพื่อหนีเข้าฝั่งทันที
คลื่นยักษ์สูงร้อยลี้กำลังซัดครืนเข้ามาที่ท่า แม้แต่มนุษย์อสรพิษที่ออกทะเลบ่อยจนเคยชินก็ยังไม่เคยเห็นคลื่ นที่สูงเท่านี้มาก่อนในชีวิต
ครืน! ครืน! ครืน!
แสงสีแดงนับไม่ถ้วนกะพริบวาบอยู่ในคลื่นยักษ์ แสงนั้นคือดวงตามากมายที่เปี่ยมด้วยความโหดเหี้ยม คลื่นยักษ์ที่ซัด ดเข้ามานี้กำลังพาอสูรเวทที่แสนแข็งแกร่งจำนวนมหาศาลเข้าถล่มผืนดิน
คลื่นยักษ์ถาโถมตรงมายังหนองน้ำปราณมายา พร้อมด้วยกองทัพอสูรเวทน่าพรั่นพรึง
….
พลังปราณน่ากลัวเริ่มก่อตัวในอากาศ ก่อนเปลี่ยนรูปร่างเป็นอุ้งเท้าสุนัข
มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพมีสีหน้าบูดบึ้งไม่น่ามอง เขาคำรามด้วยท่าทางที่ใกล้คลั่ง โบกหางสีแดงเข้มไปมา พยายามจะห หลบหนีพลังกดดันที่ทับโถมลงมา
หอกของเขาที่ถูกงอจนสิ้นท่าด้วยพลังกดดันรุนแรง ดูเหมือนกำลังจะปริแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เหตุใดพลังกดดันน่ากลัวเช่นนี้จึงปรากฏขึ้นที่นี่ได้ นั่นมันอุ้งเท้าสุนัขจริงหรือ”
ประกายความตกใจวาบเข้ามาในดวงตาของมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพ เขาคำรามอีกครั้ง พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพลังที่ก กดทับตนเองไว้
แต่เจ้าดำกลับแสยะยิ้มอย่างเลือดเย็น มันพ่นลมเยาะออกมาหนึ่งที พร้อมตบอุ้งเท้าลงกับพื้น
ปัง!
พื้นดินใต้เผ่ามนุษย์อสรพิษไม่ได้แข็งแน่นเหมือนดินทั่วไป มันปริแตกตามแรงตบ ทำเอาโคลนมากมายสาดกระจายไปในอา ากาศ
มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพถูกกดจมลงกับพื้น เขานอนพังพาบอยู่ตรงนั้น หน้าจิ้มโคลนตมยกศีรษะไม่ขึ้น
อ๊าก!!
มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพกู่ร้องอีกครั้ง
แต่อุ้งเท้าของเจ้าดำก็ปลดปล่อยแรงออกมาอีกจนเกิดเสียงปริแตกดังจากพื้น เสียงร้องของมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเท ทพเงียบลงในที่สุด เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก ทำได้เพียงนอนอยู่ตรงนั้นอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือนจากพลังที่กดทับ ทิ้งไว้เพียงรอยอุ้งเท้าสุนัขที่ประทับเอาไว้บนพื้น แรงสั่นสะเทือนทำเอาหิน นปลิวกระจายไปในอากาศ พร้อมด้วยกลิ่นโคลนเหม็นหึ่งที่สาดไปทั่วบริเวณ
เจ้าดำกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย มันโบกอุ้งเท้าอีกครั้ง พื้นดินดูเหมือนจะพลิกคว่ำไปตามแรงดังกล่าว
มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพที่จมอยู่ในโคลนถูกปัดทิ้งเหมือนปัดแมลงวัน ร่างของเขาปลิวกระเด็นไปตกอยู่บนพื้นไก กลแสนไกล
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ เจ้าดำก็หาวออกมาแล้วเดินกลับมาหาปู้ฟางอย่างเกียจคร้านเหมือนแมวเยื้องย่าง
บรรดามนุษย์อสรพิษที่อยู่รายรอบต่างอึ้งไปทันที
ผู้อาวุโสที่เฝ้ารอดูชะตากรรมอันแสนอนาถของปู้ฟางค่อยๆ เข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปที่สุน นัขอ้วนสักพัก จากนั้นก็กลับมามองปู้ฟางที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
ทุกตนสูดลมเย็นเข้าปอด หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะระเบิดออกจากอก
สวรรค์ช่วย! เกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้มันอะไรกัน
มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพจากนครมหาอสรพิษกลับ…กระอักเลือดออกมาหลังจากที่ถูกอุ้งเท้าสุนัขตบ
พวกเขาตาพร่าไปหรือเปล่า หรือว่านั่นมันขั้นเซียนเทพของปลอม
พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ม่านตาของอวี่เฟิงก็ขยายกว้างแล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมด
“ความรู้สึกนี้…ช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน…ไม่ผิดแน่ สุนัขสีดำตัวนี้ยังน่ากลัวเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
แม้แต่ขั้นเซียนเทพยังถูกอุ้งเท้าสุนัขตบอ่วม อวี่เฟิงรู้สึกถึงความอาดูรที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขารู้แล้วว่าตนเอง งตัดสินใจผิดมหันต์อย่างโง่เขลา
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่านครมหาอสรพิษน่าจะแข็งแกร่งกว่าปู้ฟางเล็กน้อย ไม่คาดคิดเลยว่าอันที่จริงแล้วปู้ฟางนั้นไม่ได้ อ่อนแอไปกว่านครมหาอสรพิษเลย เขามีทั้งสุนัขสีดำที่แสนน่ากลัว และหุ่นเชิดโลหะที่ตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัว
แล้วปู้ฟางจะมีอะไรให้ต้องกลัวนครมหาอสรพิษเล่า
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำลอยอยู่เหนือฝ่ามือชายหนุ่ม ขณะที่เจ้าของกระทะกวาดตามองบรรดามนุษย์อสรพิษทั้งหลายอย่างไร้อา ารมณ์ ทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง
ชายหนุ่มส่งกระทะกลุ่มดาวเต่าดำให้พุ่งไปหามนุษย์อสรพิษที่ติดตามผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพมาติดๆ โดยไม่พูดอะไรสัก คำ
มนุษย์อสรพิษกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีปราณขั้นนักพรตยุทธการ แต่ก็มีขั้นเทพแห่งสงครามอยู่หนึ่งตน
ปู้ฟางส่งกระทะกลุ่มดาวเต่าดำให้พุ่งไปหาผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามตนนั้น
มนุษย์อสรพิษขั้นเทพแห่งสงครามตนนั้นยังคงตกใจกับภาพความสยองขวัญที่เจ้าดำทิ้งเอาไว้อยู่ เมื่อหันมาเจอกระทะ สีดำที่พุ่งตรงเข้ามาหาตน ร่างทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านไปหมด เหงื่อเย็นเม็ดเป้งผุดขึ้นบนศีรษะ ก่อนหน้านี้ เขาเห็นแล้วว่ากระทะนี้น่ากลัวจับใจเพียงใด แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพก็ยังปัดป้องมันไม่ได้ เพียงเท่านั้นก ก็บอกได้แล้วว่ากระทะนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก
และกระทะใบเดียวกันนี้กลับกำลังพุ่งตรงมาหาเขาอย่างเงียบๆ แล้วจะไม่ให้เขากลัวจนสติแตกได้อย่างไร
ปัง!
มนุษย์อสรพิษตนนั้นยกแขนขึ้นหวังปัดกระทะให้พ้นตัว ทว่าตอนนั้นเองกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็แสดงแสนยานุภาพอันร้า ายอาจให้เป็นที่ประจักษ์อีกครั้ง
มือของผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามตนนั้นบิดเบี้ยวทันทีที่สัมผัสกระทะ กระทะยังคงพุ่งไปในวิถีเดิม เข้ากระทบศีร รษะของเขาเข้าอย่างจัง ส่งให้เจ้าของร่างปลิวกระเด็นไปไกลโพ้น
ปู้ฟางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วพุ่งทะยานไปในท้องฟ้า
เขาคว้ากระทะกลุ่มดาวเต่าดำเอาไว้ แล้วตบมันเข้าที่ศีรษะของผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามตนนั้นอีกครั้ง ส่งให้ม มนุษย์อสรพิษผู้นั้นพุ่งลงกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
โครม!
มนุษย์อสรพิษขั้นเทพแห่งสงครามที่พุ่งลงกระแทกพื้นมองเห็นดาวระยิบระยับต่อหน้า จากนั้นก็สลบเหมือดไป
ปู้ฟางกระชับกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในมือ ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เขาก้าวไปข้างหน้า พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำเอาโคลนสาด กระจายไปทั่วบริเวณ
ร่างของเขาไปปรากฏเบื้องหน้ามนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพ ที่ก่อนหน้านี้พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นโคลนอย่างย ยากลำบาก
ม่านตาของมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพหดแคบเมื่อเห็นคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ตรงหน้า
“ไอ้เจ้ามนุษย์เวร!” เขาตะโกนใส่ปู้ฟางพร้อมแยกเขี้ยวคมกริบขู่
ปู้ฟางมองมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพด้วยสายตาไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ยกกระทะขึ้นสูงแล้วตบลงบนศีรษะของอีกฝ่ายเ เข้าอย่างจัง
ดวงตาของมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพแทบถลนออกจากเบ้าตามแรงกระแทก ร่างของเขาทรุดลงบนพื้นอีกครั้ง ตะเกียกตะกาย หนีไม่ได้อีกต่อไป
“น่าเสียดายนักที่หมอนี่เป็นมนุษย์อสรพิษ หากไม่มีอวัยวะที่เป็นมนุษย์อยู่บนร่าง ก็น่าจะเป็นวัตถุดิบขั้นเซียน เทพชั้นดีเป็นแน่” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายขณะดึงหางมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพที่ยังคงไม่ได้สติขึ้น จากนั้น นก็ถอนใจยาว ก่อนจะปล่อยหางลง
ถึงอย่างไรปู้ฟางก็ยังเป็นมนุษย์ แม้เผ่าพันธุ์มนุษย์อสรพิษจะมีคำว่า “อสรพิษ” อยู่ แต่ก็ยังนับเป็นมนุษย์ประเภท หนึ่งเช่นกัน ปู้ฟางทำใจกิน “มนุษย์” ด้วยกันไม่ได้เด็ดขาด
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของเขานั้นทำให้อวี่เฟิงตกใจกลัวเป็นอันมาก ร่างของอวี่เฟิงอ่อนระโหยโรยแรงจนแทบทรุ ดลงไปกองบนพื้น
เถ้าแก่ปู้…ตั้งใจจะกินมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพเลยหรือ เขากล้ากินแม้กระทั่งขั้นเซียนเทพ… มีอะไรบ้างในโลก กนี้ที่เขาไม่กินกันนะ
ปู้ฟางไม่คิดสนใจมนุษย์อสรพิษตนอื่นๆ อีก เขาหันหลังกลับมามองผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้ร้องประท้วงกันระงม ตอนนี้พ พวกนี้เงียบปากลงแล้ว ทั้งยังก้มหน้างุด ไม่กล้าส่งเสียงสักแอะเดียว
ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดในที่แห่งนี้คืออาหนี่ ชายหนุ่มมองปู้ฟางด้วยสายตาศรัทธาแรงกล้าและตื่นเต้นเป็นล้นพ้น
ปู้ฟางจับหางมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง แล้วลากอีกฝ่ายตรงมาหาอาหนี่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านครมหาอสรพิษไปทางไหน แล้วรู้หรือไม่ว่าอวี่ฝูอยู่ที่ใด”
อาหนี่ชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำถาม แต่ดวงตาของเขาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว เถ้าแก่ปู้… ข้า าจะนำทางท่านไปเองขอรับ”
ตอนนั้นเองที่สีหน้าของอวี่เฟิงก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที เขาเปิดปากพูด “เถ้าแก่ปู้ ข้า…”
“เงียบไปเสียจะดีกว่า หากเจ้าพูดอีกคำข้าไม่รับปากว่าจะไม่คันมือจนตบเจ้าสลบไปอีกตน” ปู้ฟางพูดกับอวี่เฟิงด้วย น้ำเสียงไร้อารมณ์ เขายกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในมือขึ้น ทำให้อวี่เฟิงกลัวจนขนหัวลุก จำต้องกลืนคำพูดที่เหลือกลับ บลงคอไป
“ไปกันเถิด เจ้านำทางไปเลย” ปู้ฟางพูดกับอาหนี่ด้วยสายตาอ่อนโยน
อาหนี่พยักหน้าพลางเหลือบมองมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพ เขาสูดหายใจเข้าลึก ยิ้มกริ่มออกมา จากนั้นก็ส่ายหางเพื่ อเลื้อยไปข้างหน้า
ปู้ฟางจับหางมนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพเอาไว้แล้วเดินตามอาหนี่ไปอย่างสบายอารมณ์ มนุษย์อสรพิษขั้นเซียนเทพที่ถู กลากไปตามทางไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าได้สิ้นชีวิตลงเรียบร้อย หากไม่ใช่เพราะลมหายใจแผ่วเบาที่ ยังคงลอดออกจากจมูก ทุกคนคงคิดว่ามนุษย์อสรพิษตนนี้ถูกกระทะสีดำตบตายไปแล้ว
….
ครืน!!
คลื่นยักษ์พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า พร้อมกระแสลมปั่นป่วนบ้าคลั่ง ลมทะเลพัดเสียงหวีดหวิวดังลั่น เมฆทะมึนเข้าปกคลุมทั่ วหนองน้ำปราณมายา ดูราวกับว่าวันสิ้นโลกกำลังอุบัติขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
เสียงอากาศแหวกออกดังลั่น สตรีรูปงามพุ่งตัดอากาศมาจนถึงที่หมาย หางสีน้ำเงินของนางสะบัดพลิ้ว ผมยาวสลวยสีเขีย ยวปลิวไปตามสายลม ใบหน้าสวยงามหยดย้อยของประมุขอสรพิษดูเคร่งเครียด ขณะมองไปยังคลื่นเกรี้ยวกราดในทะเล คลื่นนั้น นสูงราวร้อยลี้ได้ ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
ดวงตาคู่สวยของนางมองไปในระยะไกล แล้วก็เห็นเงาที่เร้นกายอยู่ในเกลียวคลื่น ประมุขอสรพิษสูดลมหายใจเข้าลึก อก กกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ
“นี่มัน.. ผู้ฝึกตนชาวสมุทรตั้งใจจะบุกหนองน้ำปราณมายาหรือ พวกนี้ต้องการอะไรกัน”