ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 385 มุ่งหน้าสู่นครมหาอสรพิษ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 385 มุ่งหน้าสู่นครมหาอสรพิษ
ชาวสมุทรถือกำเนิดขึ้นในมหาสมุทรไร้ขอบเขต เป็นอสูรเวทมากมายหลายชนิดที่พัฒนาสติปัญญาขึ้นจนสามารถสร้างเผ่าพันธุ์ของตนเองได้ อสูรเวทมากมายหลายประเภท หน้าตา าล้วนแตกต่างกันไปตามเผ่าพันธุ์ มารวมตัวกันเป็นหนึ่ง เรียกรวมว่าชาวสมุทรนั่นเอง
พวกเขาแข็งแกร่งเป็นอันมาก เพราะมีทรัพยากรจำนวนมหาศาลในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลให้ใช้ประโยชน์ หากเทียบกับเหล่าผู้ที่อยู่บนผืนดินแล้ว ชาวสมุทรโหดร้ายกว่าหลายต่อหลายเท่าน นัก
ประมุขอสรพิษรู้ถึงการมีอยู่ของชาวสมุทรดี และตัวนางเองก็เคารพเผ่าพันธุ์นี้มากเช่นกัน แม้นางจะมีปราณอยู่ในชั้นสูงสุดของขั้นเซียนเทพ แต่นางรู้ดีว่ามีชาวสมุทรบางตนที่ สามารถทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้แล้ว
นางตั้งใจจะสะสางงานบ้านงานเมืองของนครมหาอสรพิษให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็ออกเดินทางไปในมหาสมุทรไร้ขอบเขตเพื่อหาโอกาสในการบรรลุปราณขั้นต่อไป เมื่อเวลานั้นมาถึง นางย่อมต้อง สร้างไมตรีกับเหล่าชาวสมุทร
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คิดไว้
อสูรเวทสมุทรมากมายซ่อนตัวอยู่ในคลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้า ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่มีความเมตตาหวังดีอยู่เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็รู้ว่าผู้ฝึกตนจากทะเลอันกว้างใหญ่นั้นไม่ใช่พวกที่มีจิตใจปรานีแม้แต่น้อย
“เหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น เหตุใดชาวสมุทร…จึงมาโจมตีหนองน้ำปราณมายาของข้าในตอนนี้” ประมุขอสรพิษขมวดคิ้วจนเป็นปม
ทันทีที่คลื่นยักษ์ซัดสาดถึงฝั่ง ชาวสมุทรย่อมเข้าโจมตีนครมหาอสรพิษเป็นอันดับแรกแน่ แม้นครมหาอสรพิษจะแข็งแกร่งพอตัว แต่ก็คงรับมือกับอสูรเวทปริมาณมากขนาดนี้ได้ยาก
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ประมุขอสรพิษปวดศีรษะขึ้นมาทันที นางไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดอสูรเวทสมุทรเหล่านี้จึงต้องมาล้อมหนองน้ำปราณมายาเอาไว้
หากเทียบกับทรัพยากรอันแสนอุดมสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลแล้ว หนองน้ำปราณมายาไม่ได้มีอะไรที่ล้ำค่าจนต้องแย่งชิงเลยสำหรับผู้ฝึกตนชาวสมุทร
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในจิตใจของประมุขอสรพิษ…
“หรือจะเป็นเพราะเหมืองผลึกที่เพิ่งค้นพบใหม่กัน แต่กับอีแค่เหมืองผลึก… ถึงกับทำให้ชาวสมุทรสนใจจนต้องมาเยือนหนองน้ำปราณมายาได้เลยหรือ หรือว่า…จะมีทรัพย์สมบัติอื่นอ อยู่ในเหมืองผลึกนั้นกันแน่”
ใบหน้าของนางดูครุ่นคิดอย่างหนัก
ณ คลื่นยักษ์สูงเสียดฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ปลาตัวใหญ่มหึมาอ้าปากกว้าง ภายในปากของมันมีบรรดาสิ่งมีชีวิตผิวสีน้ำเงินอยู่เต็ม
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กำลังมองไปที่หน้าผาสูงชันด้วยใบหน้าเย็นชา
สายตาของประมุขอสรพิษพุ่งผ่านความว่างเปล่าไปประสานกับสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนในปากปลายักษ์ นางสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อสัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังปราณขั้นเซียนเทพมากม มายอยู่ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตผิวสีน้ำเงินเหล่านั้น
พลังปราณของพวกเขาผสานรวมเป็นหนึ่ง ทำให้หัวใจของประมุขอสรพิษสั่นสะท้าน แม้นางจะยืนอยู่ไกลออกมาก็ตามที
“แย่แล้วสิ!” ประมุขอสรพิษสบถอยู่คนเดียวเงียบๆ ใบหน้าสวยเหมือนนางสวรรค์ของนางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ นางสะบัดหางกระโจนไปในอากาศ รีบพุ่งไปยังนครมหาอสรพิษทันที
ประมุขอสรพิษหยิบยันต์ที่มีรูปสลักเป็นกระบี่สีขาวออกมา ขณะเหาะออกจากที่แห่งนั้น
นางมองเมฆสีขาวบนกระบี่ แล้วก็กัดริมฝีปากสีแดงเรื่อของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเลใจ จากนั้นนางก็คิดบางสิ่งขึ้นมาได้ จึงถอนหายใจยาวก่อนจะทำลายยันต์ในมือ
…
สำนักเมฆาขาวตั้งอยู่ ณ ใจกลางหนองน้ำปราณมายา
สำนักอันแสนหรูหราลอยอยู่เหนือกลุ่มเมฆสีขาว ที่นี่มีตึกรามบ้านช่องและหอคอยสูงโอ่อ่ามากมาย รวมถึงแม่น้ำหลายสายที่ไหลอยู่ใต้สะพานหลายแห่ง พลังปราณเข้มข้นเอ่อท้นไปทั่วสำน นัก จนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนดินแดนในเทพนิยาย
คนผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเล็ก แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาของอูมู่ฉายภาพเจตจำนงแห่งกระบี่ออกมา เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองไปยังทิศที่นครมหาอ อสรพิษตั้งอยู่
“ยันต์กระบี่ถูกทำลาย… ตู้ลี่ต้องการพบข้าหรือนี่ หรือว่านางกำลังเจอวิกฤตร้ายแรงกัน”
อูมู่ลุกขึ้นยืน พลังปราณรอบกายไหลเวียนไปมา
ตั้งแต่กลับมาจากจักรวรรดิวายุแผ่ว เขาก็เก็บตัวเงียบพยายามรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองมาตลอด แม้บาดแผลทางกายจะหายเป็นปลิดทิ้งจากการดื่มน้ำซุปที่ร้านอาหารแห่งนั้นไปเรียบร้อย แต่พลังปราณภายในกายกลับได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากการที่เจตจำนงแห่งกระบี่ของเขาถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้นำลัทธิอสุรา แม้น้ำซุปนั้นจะน่าอัศจรรย์ใจอย่างเหลือเชื่อ แต่ มันก็ไม่สามารถฟื้นฟูพลังปราณภายในกายของเขาได้โดยง่าย
กระบี่สีฟ้าใสกวัดแกว่งไปมาส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ด้านหลังเขาก่อนจะพุ่งออกไป ประตูห้องเปิดออก อูมู่กระโดดขึ้นไปบนกระบี่บินแล้วเหาะออกไปตามคำเรียก
ภายในสำนักเมฆาขาว กระแสพลังปราณถูกปลุกให้ไหลเวียน จากนั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากก็มาลอยอยู่บนอากาศด้วยกระบี่บินประจำกาย พลางมองไปที่อูมู่ด้วยสายตางุนงง
อูมู่ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงออกคำสั่งสองสามเรื่อง จากนั้นก็เอามือไพล่หลังก้าวไปบนกระบี่ของตน แล้วออกจากสำนักไปอย่างสง่างาม
เมื่ออูมู่ออกจากสำนักไปเรียบร้อยแล้ว อูอวิ๋นไป๋ที่กำลังเดินเอ้อระเหยอยู่ในสำนักด้วยความเบื่อหน่ายเต็มแก่ ก็จ้องมองไปยังทิศที่บิดาจากไป ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นนางก็หรี่ตาลง อึดใจต่อมาก็จัดการเผ่นออกจากสำนักเมฆาขาวไปในที่สุด
…
นครมหาอสรพิษนั้นยิ่งใหญ่อลังการเป็นอันมาก กำแพงเมืองสูงตระหง่านยิ่งกว่าจักรวรรดิวายุแผ่วเสียอีก อิฐที่ใช้ทำกำแพงก็ดูแข็งแกร่ง ทั้งยังดูเหมือนมีวงแหวนปราณหลายชั้นที่คอย ปกป้องกำแพงเมืองอยู่
มนุษย์อสรพิษทหารอารักขามากมายในชุดเกราะยืนเรียงแถวกันอยู่บนกำแพงเมือง หน้าที่ของพวกเขาคือการคุ้มกันนครแห่งมนุษย์อสรพิษนี้
ทันใดนั้นม่านตาของบรรดาทหารก็หดแคบลง ทุกคนชี้หอกไปยังพิกัดเดียวกันที่อยู่ไกลออกไป ร่างสองร่างโผล่ออกมาจากหมอก ร่างหนึ่งเป็นมนุษย์อสรพิษ แต่อีกร่างเป็นมนุษย์เดินดิน นธรรมดา ด้วยความที่มนุษย์นั้นใช้สองขาในการเดินไปไหนมาไหน พวกเขาจึงสามารถบอกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
แต่มนุษย์ผู้นี้จะมาที่นครมหาอสรพิษเพื่อเหตุใดกัน หมอนี่ต้องการอะไรกันแน่
เดี๋ยวก่อน!
เฮือก!
บรรดาทหารบนกำแพงเมืองต่างสูดลมเย็นเข้าปอดอย่างพร้อมเพรียงกัน
ม่านตาของพวกเขาหดแคบเมื่อเห็นหางอสรพิษในมือมนุษย์ผู้นั้น หางนั้นติดอยู่กับตัวมนุษย์อสรพิษที่ถูกลากมาตามพื้นเหมือนซากสุนัข
“นั่นมันราชันอสรพิษตู้หมู่นี่! อะไรนี่…เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน!”
บรรดาศักดิ์ลำดับถัดจากประมุขอสรพิษคือราชันอสรพิษ ในนครนี้มีราชันอสรพิษอยู่สามตน ทุกตนมีปราณขั้นเซียนเทพด้วยกันทั้งสิ้น
แล้วราชันอสรพิษที่มีปราณขั้นเซียนเทพกลับถูกลากไปบนพื้นเหมือนซากสุนัขอย่างนี้ได้อย่างไร! ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาตกใจเป็นอันมาก
“ข้าศึกบุก!!”
เหล่าทหารที่ตั้งสติจากอาการตกใจได้พลางตะโกนร้องออกมาทันที พวกเขามารวมตัวกันเพื่อปกป้องกำแพงเมืองด้วยกำลังทั้งหมดที่ตนเองมี มนุษย์อสรพิษที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพมองปู้ฟางท ที่ค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยสายตาเย็นชา
“หยุดฝีเท้าของเจ้าเดี๋ยวนี้! วางตัวราชันอสรพิษตู้หมู่ลงแล้วหันหลังออกจากเขตของนครมหาอสรพิษไป มิเช่นนั้นเหล่าทหารแห่งนครมหาอสรพิษจะสังหารเจ้าเสีย!”
ปู้ฟางเงยหน้าขึ้นมองพลางหรี่ตาลง แม้หมอกจะลงหนา แต่เขาก็ยังเห็นกลุ่มมนุษย์อสรพิษที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
มนุษย์อสรพิษเหล่านั้นส่งจิตสังหารออกมาใส่ปู้ฟาง
หอกแต่ละเล่มดูพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ตัวชายหนุ่ม หากปู้ฟางก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวเดียว หอกเหล่านั้นย่อมพุ่งตกลงมาใส่เขาเหมือนห่าฝนแน่
“เอาละ เจ้ากลับไปก่อนเลย…จะได้ไม่ลำบาก”
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองอาหนี่แล้วบอกให้อีกฝ่ายจากไป ใบหน้าของอาหนี่เปลี่ยนไปทันที แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้วเขาก็ไม่คิดปฏิเสธ
กองทัพของนครมหาอสรพิษแข็งแกร่งกว่ากองทัพของจักรวรรดิวายุแผ่วมาก
แม้ต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์ที่ซ้อมราชันอสรพิษขั้นเซียนเทพเสียจนปางตายพวกเขาก็ไม่หวั่น แม้พวกเขาจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นที่มีประมุขอสรพิษคอยคุ้มกัน แต่กองทัพของมนุษย์อสรพิษก็ มีพลังใจที่กล้าแกร่งกว่ากองทัพของมนุษย์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม
พวกเขาเป็นกองทัพชั้นแนวหน้าในอาณัติของประมุขอสรพิษ เป็นกองทัพที่สามารถสร้างเมืองขึ้นมาได้ทั้งเมืองในภูมิประเทศอันโหดร้ายอย่างหนองน้ำปราณมายา
“ส่งตัวอวี่ฝูมา แล้วข้าจะยอมแลกไอ้หมอนี่กับนาง” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบพร้อมโบกหางในมือไปด้วย เสียงของเขาไม่ได้กึกก้อง แต่ก็ดังพอที่ทุกตนบนกำแพงจะได้ยินชัดเจน”
ใบหน้าของเหล่าทหารพลันถอดสี สายตาที่พวกเขาใช้มองปู้ฟางแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม เป้าหมายของไอ้มนุษย์คนนี้คือแม่นางเหนือหัวอวี่ฝู ทายาทผู้สืบทอดนครมหาอสรพิษในอนาคต! นางคือ อว่าที่ประมุขอสรพิษเจ้าผู้ครองนครลำดับต่อไป!
ไอ้มนุษย์โง่เง่านี่มันเสียสติไปแล้วเป็นแน่! ช่างชั่วช้าหาผู้ใดเปรียบ!
…
ณ วังโอ่อ่า ภายในนครมหาอสรพิษ
ในวังส่วนที่ถูกปิดตาย มนุษย์อสรพิษสองตนที่มีพลังปราณแก่กล้ากำลังยืนอยู่ในท้องพระโรงหลัก เพื่อคุ้มกันมนุษย์อสรพิษผู้สง่างามผู้หนึ่ง
ใบหน้าของอวี่ฝูดูอ่อนแรงเป็นอันมาก มือสองข้างถูกจองจำไว้ด้วยโซ่ตรวนเย็นเยียบ เพื่อตรึงนางเอาไว้ไม่ให้จากวังแห่งนี้ไปไหน
จิตใจของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม นางไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหลังจากกลับมาที่เผ่าเพื่อพบปะญาติสนิทมิตรสหาย ตนเองจะกลายมาเป็นผู้สืบทอดของประมุขอสรพิษไปได้…
หากเทียบกับการเป็นผู้สืบทอดประมุขอสรพิษแล้ว นางอยากเป็นศิษย์ในครัวของเถ้าแก่ปูมากกว่า การได้ตื่นเช้าทุกวันเพื่อฝึกวิชาการแกะสลักและการใช้มีด รวมถึงได้ทำอาหารรสเลิศก กลิ่นหอมฉุย และได้ชิมรสชาติอาหารที่ตนเองทำ ทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าประมุขอสรพิษจะเคารพการตัดสินใจของนาง นางไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าประมุขอสรพิษจะปฏิเสธคำขอของนางอย่างไม่ไยดี
สุดท้ายแล้วนางก็จำใจต้องมาติดอยู่ที่นี่
เมื่อคิดว่าคงไม่ได้กลับไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเพื่อเรียนทำอาหารอีก หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ทันใดนั้นประตูวังก็เปิดออก
เงาหนึ่งเดินเข้าประตูมาหยุดยืนอยู่กลางท้องพระโรง ประมุขอสรพิษผู้แสนสง่างามพร้อมด้วยเส้นผมสีเขียวยาวสยาย ค่อยๆ นวยนาดเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าอวี่ฝู
ดวงตาของนางมองไปยังผู้สืบทอดตำแหน่งตนต่อไป ดวงตานั้นดูเย็นชาแต่ก็มีความเวทนาเล็กน้อยเช่นกัน
“จะทนทรมานเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใดกัน การได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์…เป็นความฝันของมนุษย์อสรพิษทั่วหล้า เหตุใดเจ้าจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้”
อวี่ฝูเบ้ปากพลางมองประมุขอสรพิษด้วยสายตาอาดูร ราวกับกำลังขอร้องให้ปล่อยนางไป
“หากเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นประมุขอสรพิษตนต่อไป ข้าจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้เลย แต่ทักษะและพรสวรรค์ของเจ้าเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ชี้ว่าเจ้าจะต้องสืบทอดบัลลังก์นี้ต่อ ข้ากำลั งจะออกจากนครมหาอสรพิษ แต่นครนี้จะไม่มีผู้นำไม่ได้ นี่คือชะตาชีวิตของเจ้า จงยอมรับมันเสียต่อให้เจ้าไม่ต้องการ... ข้าเองก็เคยผ่านจุดนี้มาแล้วในตอนที่อายุเท่าเจ้า”
ประมุขอสรพิษยื่นนิ้วขาวเรียวสวยออกมาลูบใบหน้าของอวี่ฝู ความหดหู่ใจวาบผ่านเข้ามาบนใบหน้างดงามของนางเช่นกัน
ใบหน้าของอวี่ฝูเก็บซ่อนความเศร้าโศกในใจเอาไว้ไม่ได้
ทันใดนั้นประตูวังก็พลันเปิดออก
มนุษย์อสรพิษที่เป็นทหารยามรีบเข้ามาในวังหลวงเพื่อแจ้งข่าวให้ประมุขอสรพิษรับทราบด้วยความเคารพนนบนอบ
“รายงานล่าสุดพะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท มีมนุษย์บุกมาที่นอกกำแพงเมือง เขาจับตัวราชันอสรพิษตู้หมู่เป็นตัวประกัน… และตั้งใจจะบุกเข้าเมืองมาพะย่ะค่ะ!”
มือที่กำลังลูบแก้มอวี่ฝูอย่างอ่อนโยนหยุดนิ่งไปทันที ใบหน้าของประมุขอสรพิษเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นางหันหน้ากลับไปมองทหารที่อยู่เบื้องล่างแล้วเอ่ยเสียงเบา “ราชันอสรพิษตู้ห หมู่รึ เขาไม่ได้ไปประจำการที่เผ่าของอวี่ฝูหรอกหรือ เหตุใดจึงถูกมนุษย์จับตัวได้…
“จงกระจายคำสั่งออกไป ให้ราชันอสรพิษอีกสองตนไปจับตัวมนุษย์นั่นเอาไว้ ใครก็ตามที่บังอาจมาหยามราชันอสรพิษของข้า…จะต้องถูกประหารชีวิต!”
เสียงเย็นเยียบดังกังวานไปทั่ววัง
อวี่ฝูตัวแข็งทื่อไปทันที
มนุษย์จากเผ่าของนางที่มาบุกที่นี่…หรือว่าจะเป็น…เถ้าแก่ปู้