ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 393 เจ้าสุนัขขี้เกียจหายไปไหน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 393 เจ้าสุนัขขี้เกียจหายไปไหน
แรงสูบรุนแรงระเบิดออกมาจากรอยแตกใต้เท้าชายหนุ่ม ปู้ฟางรู้สึกเหมือนร่างกายโดนดึงลงไปเพราะแรงสูบ อีกทั้งแรงโน้มถ่วงยังทำให้ร่างของเขาร่วงลงไปอย่างรวดเร็วด้วย
ลมพัดหวิวรอบตัวระหว่างที่ตกลงไป ทำให้ผมของชายหนุ่มปลิวว่อน
ถึงปู้ฟางจะเห็นสิ่งรอบตัวได้ไม่ชัดเพราะรอบข้างมืดสนิท แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าร่างของตัวเองค่อนข้างชิดกับผนัง และสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ลอยล่องออกมาจากผนัง
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองร่วงลงมานานขนาดไหนแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าแรงสูบหายวับไป หลังจากนั้นวิสัยทัศน์เบื้องหน้าก็ชัดเจนขึ้น
ทันทีที่แรงสูบหายไป ปู้ฟางก็รู้สึกราวกับเพิ่งออกจากถ้ำมืดสนิทหลังจากติดอยู่ภายในมาเนิ่นนาน และในที่สุดก็ได้สัมผัสแสงอาทิตย์จ้าอีกครั้ง
แต่เขากลับไม่เห็นดวงอาทิตย์
ชายหนุ่มกระตุ้นพลังปราณเที่ยงแท้เพื่อชะลอความเร็วในการร่วงหล่น ผมที่ปลิวว่อนตกลงเมื่อความเร็วลดลงจนเหมือนกำลังลอยตัวอยู่เฉยๆ
ไม่นานเท้าของเขาก็สัมผัสกับผืนดินแข็ง ปู้ฟางทรงตัวให้มั่นคงก่อนจะมองดูรอบๆ
สิ่งที่เห็นทำให้ชายหนุ่มต้องสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกใหญ่
เขาเงยหน้ามอง แสงสีขาวไม่ได้มาจากท้องฟ้ายามกลางวัน เพราะตอนนี้เขาอยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำขนาดใหญ่
ผลึกส่องแสงสุกใสมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่บนเพดานถ้ำด้านบน บางผลึกส่องแสงออกมาห้าหกสี แต่ส่วนใหญ่เรืองแสงสีขาว ช่วยส่องแสงให้ถ้ำกว้าง ทำให้เพดานดูเหมือนท้องฟ้ายามกลางวัน ไม่มีผิด
บนเพดานไม่ได้มีแค่ผลึก แต่ยังมีแร่หลากชนิดที่ปู้ฟางไม่รู้จัก สายตาของเขาหรี่เล็กเมื่อเห็นแร่เหล่านั้น ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่าตนไม่มีความรู้เรื่องทรัพยากรแร่เลย โดย ยเฉพาะชื่อของพวกมัน
ครืน!
เสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นจากด้านบนตรงรอยแยกที่เชื่อมกับส่วนบนของถ้ำ ซึ่งเป็นรอยแยกเดียวกับที่ปู้ฟางร่วงลงมา ทันใดนั้นเศษหินนับไม่ถ้วนก็หล่นลงมาจากรอยแยก
ปู้ฟางผงะไปชั่วขณะเมื่อนึกถึงกุ้งตั๊กแตนตำข้าวทะเลลึกที่ไล่ตามตนไม่ลดละ
อสูรร่างยักษ์นั่น…คงไม่ตามลงมาถึงที่นี่หรอกนะ
ไม่กลัวติดคาอยู่กับผนังหรืออย่างไร
ปู้ฟางยิ้มกริ่มก่อนจะพุ่งทะยานออกไป
ฟึ่บ!
เศษหินร่วงผ่านรอยแตกลงมาเพิ่ม หลังจากนั้นหัวของกุ้งตั๊กแตนตำข้าวทะเลลึกก็โผล่ออกมาจากปากรอยแตก
แต่ก็แค่นั้น มีเพียงส่วนหัวที่โผล่ออกมา ลำตัวยังคงติดอยู่ในรอยแตก ไม่สามารถลงเหยียบผืนดินเบื้องล่าง ได้แต่กลอกตาไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง
มันสะบัดก้ามไปมาในอากาศอย่างรุนแรง แต่ตัวก็ยังติดอยู่ในรอยแตก ทันใดนั้นมันก็นึกอะไรขึ้นได้แล้วเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาจึงขยับขามากมายไปมาเพื่อให้หลุดออกจากรอยแตก แต่นอก กจากเศษหินที่ร่วงกราวลงไปแล้ว ความพยายามของมันก็สูญเปล่า
พอปู้ฟางที่เกือบจะหนีไปจากบริเวณนั้นเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ยิ้มออกมา
เขาไม่ได้มองผิด มันติดอยู่ในรอยแตกจริงๆ
ตัวใหญ่โตขนาดนั้นยังกล้าเลียนแบบรถไฟเหาะมนุษย์พุ่งผ่านช่องแคบลงมา ก็ไม่แปลกที่จะติดอยู่อย่างนั้น
ปู้ฟางไม่สนใจพญากุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพที่กำลังดิ้นรนให้หลุดจากรอยแตก ชายหนุ่มหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าต่อ ที่หันกลับก็เพราะรู้สึกได้ถึงแรงสูบที่ปะทุมาจากที่ไหนสักแห่ง งไกลออกไป
นอกจากนั้นยังมีพลังปราณเที่ยงแท้รุนแรงพวยพุ่งออกมาจากตำแหน่งเดียวกัน พร้อมด้วยเสียงสั่นสะเทือนดังก้อง ราวกับว่ามีผู้ฝึกตนกำลังต่อสู้กันอยู่บริเวณนั้น
…
ผู้บัญชาการเฟิงมองตาผลึกส่องแสงสุกใสสามก้อนตรงหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
ตาผลึกนิ่งสงบอยู่ไม่ไกล หนึ่งในนั้นปลดปล่อยพลังปั่นป่วนออกมา มันดูดพลังปราณทั้งหมดในถ้ำเข้าไปเหมือนเป็นปล่องควัน
“ไม่คิดเลยว่าจะสามารถดูดกลืนพลังปราณได้ปริมาณมากขนาดนี้ ตาผลึกนี่ต้องมีสมบัติล้ำค่าอยู่แน่” ผู้บัญชาการเฟิงตื่นเต้นจนร่างกายเริ่มสั่นระริก
เขาเคยเห็นตาผลึกมาก่อน แต่ไม่ใช่ตาผลึกที่สามารถดูดพลังปราณได้เองเช่นนี้ จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรกันเล่า
ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดแทนสมอง เขาก็ยังสรุปได้ว่าตาผลึกนี้มีสมบัติไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ แต่สมบัติปิดผนึกแบบใดกันที่มีความสามารถในการดูดกลืนพลังปราณด้วยตนเอง
หรือว่าตาผลึกนี้…จะมีอุปกรณ์เทพซ่อนอยู่
ถ้าไม่ใช่อุปกรณ์เทพก็ไม่น่าจะใช่ของธรรมดาทั่วไป
ผู้บัญชาการเฟิงตื่นเต้นจนแทบคลั่ง ถ้าได้สมบัติชิ้นนี้มา สถานะของเขาในสำนักมหาพิภพจะต้องสูงขึ้นหลายระดับแน่
หากเป็นเช่นนั้น สิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรจากขยะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา คนพวกนั้นต้องยอมจำนนก้มศีรษะลงเบื้องหน้าเขาอย่างแน่นอน
แรงสูบรุนแรงยังคงกระจายออกไป ผู้บัญชาการเฟิงถอนหายใจยาวออกมา
ยอดฝีมือชาวสมุทรเบิกตาโปนๆ คล้ายตาปลากว้าง รู้สึกตื่นเต้นดีใจเมื่อสังเกตเห็นตาผลึกทั้งสาม จะให้เขาไม่รู้ในสิ่งที่ผู้บัญชาการเฟิงรู้ได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่เขาจะสรุปความ ได้เหมือนผู้บัญชาการเฟิง
แต่ต่างจากผู้บัญชาการเฟิงตรงที่ ยอดฝีมือชาวสมุทรมองว่าตาผลึกเหล่านี้ไม่น่าจะมีอุปกรณ์เทพซ่อนอยู่
นักพรตชาวสมุทรบอกเขาว่า ภายในเหมืองใหญ่ที่หนองน้ำปราณมายา มีบรรพบุรุษกุ้งหนึ่งให้ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์พวกเขากำลังหลับใหลอยู่
บรรพบุรุษกุ้งคือความหวังของชาวสมุทร นักพรตบอกเขาว่าถ้าสามารถปลุกบรรพบุรุษกุ้งให้ลืมตาตื่นได้ ขอบเขตอำนาจของพวกเขาก็จะขยายกว้างขึ้นในมหาสมุทร
ตาผลึกทั้งสามล้วนไม่ธรรมดา หนึ่งในนั้นสามารถดูดพลังปราณโดยรอบได้ด้วยตัวเอง หรือตาผลึกนั่นจะมีบรรพบุรุษกุ้งของชาวสมุทรอยู่ภายใน
สมกับที่เป็นบรรพบุรุษกุ้ง แม้จะหลับใหลอยู่แต่ก็สามารถสร้างความโกลาหลได้ถึงเพียงนี้ ระหว่างที่โดนผนึกก็ยังสามารถดูดพลังปราณเข้าไปได้จำนวนมาก เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าเมื่ อบรรพบุรุษกุ้งตื่นขึ้นจะสร้างสถานการณ์น่าพรั่นพรึงอย่างไรได้บ้าง
เนื่องจากนักพรตตั้งความหวังกับบรรพบุรุษกุ้งไว้มาก ดังนั้นขั้นปราณของบรรพบุรุษกุ้งย่อมเกินธรรมดาไปมากแน่ จะเป็นผู้ที่เหนือชั้นยิ่งกว่าชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่านะ
ระหว่างที่คิด ยอดฝีมือชาวสมุทรชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ก็ตื่นเต้นจนปล่อยน้ำออกจากแก้มไม่หยุด
ทันใดนั้นยอดฝีมือชาวสมุทรก็เก็บงำความปีติยินดีแล้วหันมองผู้บัญชาการเฟิงด้วยสายตาระแวดระวัง เขาเห็นว่าผู้บัญชาการเฟิงเองก็มองกลับมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน
สายตาของทั้งสองประสานกันกลางอากาศ ราวกับมีประกายไฟปะทุขึ้นตรงจุดที่สายตามาบรรจบพร้อมเสียงดังเปรี๊ยะ
“ท่านผู้ฝึกตน ตาผลึกก้อนนี้สำคัญกับเราชาวสมุทรมาก ถ้าท่านยกให้ข้า ท่านก็เชิญรับตาผลึกอีกสองก้อนที่เหลือไปได้เลย” ผู้ฝึกตนชาวสมุทรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“โอ้…ช่างบังเอิญเหลือเกิน จริงๆ แล้วตาผลึกก้อนนี้ก็สำคัญกับสำนักมหาพิภพมากเช่นกัน ถ้าท่านยกให้ข้า ก็เชิญท่านรับตาผลึกอีกสองก้อนที่เหลือไปได้เลยเช่นกัน” ผู้บัญชาการ เฟิงเหยียดยิ้มแล้วตอบอย่างเย็นชา
คิดว่าข้าโง่หรือ
ตาผลึกอีกสองก้อนไม่ต่างอะไรจากก้อนหินไร้ประโยชน์ที่ข้างในตัน ตาผลึกก้อนที่พวกเขาหมายตาโดดเด่นไม่น้อย มันสูบพลังปราณเข้าไปจำนวนมาก ดังนั้นต้องมีสมบัติบางอย่างซ่อนอยู่ ภายในแน่ ด้วยเหตุนี้ตาผลึกอีกสองก้อนจึงถือเป็นของไร้ค่า
ทั้งสองไม่ใช่คนเขลา จึงไม่มีใครยอมทิ้งสมบัติล้ำค่าเพื่อแลกกับขยะสองชิ้น
สำนักมหาพิภพหรือ นัยน์ตาโปนของยอดฝีมือชาวสมุทรหรี่เล็ก รู้สึกระแวดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม เขาย่อมเคยได้ยินเรื่องสำนักมหาพิภพมาก่อนเป็นธรรมดา
ถึงเขตทะเลของพวกเขาจะอยู่ห่างไกล แต่ก็ทรงอำนาจกว่าดินแดนทางใต้ อย่างน้อยก็มีผู้ฝึกตนขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน แถมในนั้นยังมีผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ ซ่ตรวนขั้นเซียนเทพไปได้หลายชิ้นแล้วด้วย
แล้วเหตุใดพวกเขาจะไม่รู้จักสำนักมหาพิภพที่เป็นกลุ่มอำนาจชั้นแนวหน้าของทวีปมังกรซ่อนเร้น
เอาเข้าจริงที่ยอดฝีมือชาวสมุทรระแวดระวังมากขึ้นก็เป็นเพราะรู้จักชื่อเสียงของสำนักมหาพิภพเป็นอย่างดี แต่บรรพบุรุษกุ้งสำคัญสำหรับชาวสมุทรมาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพา ากลับไปให้จงได้ แม้คู่ต่อสู้จะมาจากสำนักมหาพิภพ ยอดฝีมือชาวสมุทรก็ไม่คิดยอมแพ้และยกตาผลึกให้อีกฝ่ายแน่ๆ
“ถ้าเช่นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมีความสามารถพอจะนำกลับไปได้ก็แล้วกัน” ยอดฝีมือชาวสมุทรประกาศเสียงเย็นชา
ผู้บัญชาการเฟิงยกยิ้ม ดูเหมือนว่าตาผลึกก้อนนี้จะสำคัญกับชาวสมุทรมากเสียจนอีกฝ่ายไม่ไหวหวั่นแม้จะได้ยินชื่อของสำนักมหาพิภพ
ผู้บัญชาการเฟิงแค่นเสียงเย็นเยียบก่อนจะเริ่มเปิดฉากโจมตี
ตู้ม! ตู้ม!
ทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพไปแล้วชิ้นหนึ่ง ดังนั้นพลังปราณเที่ยงแท้และกายเนื้อจึงแข็งแกร่งมาก เสียงสนั่นราวคลื่นรุนแรงซัดเข้ากับ บผาแกร่งดังขึ้นเมื่อทั้งคู่ประสานสายตากัน
ผู้ฝึกตนทั้งสองทะยานผ่านอากาศ เหวี่ยงหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้
ทันทีที่สองหมัดเข้าปะทะกัน พลังงานเที่ยงแท้ของทั้งคู่ก็ปะทุออกมา ส่งแรงกดดันมหาศาลให้กระจายไปทั่ว
ขณะที่ทั้งสองประชันฝีมือเพื่อแย่งชิงสมบัติโดยไม่สนสิ่งอื่นใด ตาผลึกก็สูบพลังปราณต่อไปตามปกติ
ติ๋ง…
ทันใดนั้นของเหลวก็เริ่มไหลออกมาจากผลึกก้อนหนึ่งตรงพื้น จากนั้นไม่นานผลึกนับไม่ถ้วนก็ปล่อยของเหลวออกมาเรื่อยๆ ก่อนที่ของเหลวเหล่านั้นจะรวมตัวกันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา
สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ค่อยๆ ลุกยืน ดวงตาแดงฉานจ้องมองไปยังผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กันอยู่
มันคืออสูรผลึกที่เหมืองผลึกใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้น ร่างของมันมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังปราณน่าพรั่นพรึงที่ค่อยๆ ปะทุออกมา
รัศมีพลังของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บัญชาการเฟิงและยอดฝีมือชาวสมุทรเลย มันเองก็อยู่ในชั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
โฮก!
อสูรผลึกร้องคำรามลั่นจนเกิดคลื่นลมปั่นป่วน
ผู้ฝึกตนที่กำลังประชันฝีมือกันอยู่ตื่นตกใจ เมื่อหันมองนัยน์ตาของทั้งคู่ก็หรี่เล็กลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีอสูรผลึกขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในถ้ำ การ มีอยู่ของมันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทั้งคู่
แม้จะไม่ได้กลัวอสูรผลึก แต่ทั้งคู่ก็ต้องป้องกันตัวเองจากกันและกัน ไม่ว่าใครที่เข้าต่อสู้กับอสูรก็คงไม่สามารถโค่นเจ้ายักษ์ใหญ่นั่นลงได้ง่ายๆ
หากใครตัดสินใจเข้าสู้แล้วบาดเจ็บกลับมา คนคนนั้นก็จะต่อสู้แย่งชิงตาผลึกต่อไม่ได้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงระแวดระวังและคอยป้องกันตัว ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ทั้งสองเข้าตาจนไปชั่วขณะ
…
แกร๊ก!
ปู้ฟางเหยียบเท้าลงพื้นก่อนจะพุ่งตัวเข้าโจมตีอสูรผลึกร่างใหญ่ตัวหนึ่งจากด้านหลัง
นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเมื่อปรายตามองไปทางผลึกชิ้นโต น่าเสียดายที่ต่อให้เก็บผลึกชิ้นนั้นกลับไป ระบบก็ไม่ยอมรับแหล่งที่มาของมันอยู่ดี ทำให้ไม่สามารถแปลงผลึกเหล่านี เป็นพลังปราณเที่ยงแท้เพื่อเพิ่มพูนขั้นปราณของเขาได้
อสูรผลึกร่างใหญ่บดบังวิสัยทัศน์ของปู้ฟางจนมิด เขายื่นหัวจากด้านหลังแล้วมองออกไปไกล ทันทีที่เห็นว่ามีอะไรอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มก็หรี่ตาลงพร้อมสูดลมเย็นเยียบเข้าปอด
ตรงนั้นมีร่างสามร่าง หนึ่งในนั้นเป็นอสูรผลึกร่างมหึมาที่ทำให้เขาตะลึงงันไป ต้องใช้ผลึกมากเท่าไหร่ถึงจะรวมเป็นอสูรผลึกตัวนี้ได้กันนะ
ปู้ฟางไม่กล้าพุ่งเข้าไป เห็นได้ชัดว่าพวกนี้ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆ
เมื่อพิจารณาจากรัศมีพลังที่เปล่งออกมาแล้ว ปู้ฟางพอจะบอกได้ว่าทั้งสามเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าขั้นเซียนเทพ หรือก็คืออยู่ในขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
ถึงตอนนี้ปู้ฟางจะมีกระทะกลุ่มดาวเต่าดำและบรรลุระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการแล้ว แต่ตอนที่ต้องสู้กับอสูรเวทขั้นเซียนเทพ เขาก็ทำได้แค่ปากระทะใส่ ถ้าให้สู้ตัวต่อตัวคงจะโดนขย ย้ำเละ เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ควรไปประจันหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์
ตอนนั้นเองปู้ฟางก็นึกถึงเจ้าสุนัขขี้เกียจขึ้นมา แม้มันจะเกียจคร้านแต่ก็ทรงพลังมาก พอมาคิดดูแล้ว… เจ้าสุนัขขี้เกียจนั่นหายหัวไปไหนกันนะ
‘อยู่ๆ ก็หายไปเลย หลงทางแล้วหรือเปล่า’ ปู้ฟางพึมพำในใจ ก่อนนัยน์ตาจะฉายแววตื่นกลัวเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านล่างขวาของผู้แข็งแกร่งทั้งสาม
ตรงนั้นมีตาผลึกส่องแสงสุกใสสามก้อน เห็นได้ชัดว่าเป็นตาผลึกในภารกิจของระบบ ตาผลึกก้อนหนึ่งจากทั้งสามกำลังดูดกลืนพลังปราณพร้อมส่องแสงระยิบระยับ
ตาผลึกที่สุดยอดเช่นนั้นต้องมีวัตถุดิบที่ใช้ในการพิชิตภารกิจฉุกเฉินอยู่แน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ปู้ฟางก็หรี่ตาลงแล้วเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาต้องหาหนทางที่เป็นไปได้สักทางในการช่วงชิงตาผลึกมาจากตัวตนขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม