ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 405 การมาถึงของผู้สืบทอดแห่งสวรรค์
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 405 การมาถึงของผู้สืบทอดแห่งสวรรค์
ในฐานะศิษย์สำนักเล่นแร่แปรธาตุ ต้วนอวิ๋นจึงไม่สามารถทำตัวเปล่าประโยชน์ หลังจากลงหลักปักฐานในเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว ชายหนุ่มก็มองหาทำเลเปิดร้านขายโอสถทิพย์ สำหรับนักเล่น นแร่แปรธาตุผู้มีเพลิงสังเคราะห์ในครอบครอง พรสวรรค์ของเขาด้านนี้จึงถือว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของสำนักเล่นแร่แปรธาตุเลยทีเดียว
ความตั้งใจของเขาคือการเปิดร้านเพื่อหาผลึกเพิ่ม นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่ผลาญเงินอย่างยิ่ง เขาจึงมีผลึกติดตัวไม่มากนัก
แถมราคาอาหารของร้านใจไม้ไส้ระกำก็ยังแพงหูฉี่ หากไม่มีผลึก เขาคงไม่มีปัญญาไปกินอาหารที่นั่น และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาตัดสินใจเปิดร้าน
ต้องเปิดร้านทำงานแลกผลึกให้มากเพื่อพอไปซื้ออาหารกิน… เขาคงจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่น่าสังเวชที่สุดในโลกแล้วจริงๆ
และตอนนี้เขาก็ดันค้นพบเรื่องน่าสะพรึงกลัวเข้าให้แล้ว
นั่นคือความจริงที่ว่าอาชีพที่เขาใช้เลี้ยงปากท้องอาจถูกพรากไป
เถ้าแก่ปู้สามารถทำอาหารที่มีสรรพคุณเหมือนโอสถทิพย์ได้ นี่หมอนั่นตั้งใจแย่งอาชีพของนักเล่นแร่แปรธาตุจริงๆ ใช่ไหมนะ
ต้วนอวิ๋นร่ำไห้กับตัวเองในใจ เขาเจ็บปวดมากถึงขนาดไม่สามารถหายใจได้ตามปกติ
หลังจากเซียวเสี่ยวหลงกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าร่างกายทรงพลังเปี่ยมล้น แค่กระทืบเท้าเบาๆ ก็อาจทำให้พื้นดินแตกกระจายได้
แน่นอนว่าทุกสิ่งที่เขารู้สึกล้วนเป็นภาพมายา มันเกิดจากการที่จู่ๆ เขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาไม่สามารถกระทืบพื้นให้แตกกระจายได้จริงๆ
เซียวเสี่ยวหลงมีปราณเพียงระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ต่อให้กินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดแล้วได้รับพลังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่า อย่างเก่งพลังของเขาก็เทียบเท่าแค่ขั้นราชันยุทธการทั่วไปเท่านั้ น
กระนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าตื่นตกใจยิ่ง
ปู้ฟางพยักหน้า เขาพอใจกับผลลัพธ์ของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดมาก ความจริงแล้วประสิทธิผลของมันถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว… ปู้ฟางลูบคางพลางสงสัยว่าหากตัวเองกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไป พลัง งการต่อสู้จะเพิ่มขึ้นถึงระดับใดกัน
ปัจจุบันปู้ฟางมีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม หากกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไปหนึ่งชาม พลังของเขาก็น่าจะเทียบเท่าขั้นเซียนเทพทั่วไปกระมัง
ตอนนี้เซียวเสี่ยวหลงคึกคักเอามากๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะฝึกทำอาหารได้อีก เห็นดังนั้นปู้ฟางจึงอนุญาตให้อีกฝ่ายกลับบ้านได้
ใกล้เวลาปิดร้านเต็มที
ต้วนอวิ๋นที่เหม่อลอยและหดหู่สุดขีดลากตัวเองออกจากร้าน สภาพของเขาน่าเวทนาไม่น้อยขณะเดินออกมา
ดวงตากลมโตของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นประกายเมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ ก๋วยเตี๋ยวอาละวาด อาหารจานใหม่ที่เถ้าแก่ปู้คิดค้นขึ้นมามีความพิเศษไม่น้อย หากก๋วยเตี๋ยวอาละวาดมีสรรพคุณตามที่ เถ้าแก่ปู้พูดมาจริงๆ ไม่ช้ามันต้องเป็นที่นิยมมากกว่าโอสถทิพย์แน่
…..
ดินแดนแสนภูผา สำนักเจดีย์นภากระจ่าง
บุรุษหนึ่งเดินเอามือไพล่หลังตรงมาอย่างช้าๆ เขามองสำนักเจดีย์นภากระจ่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ แล้วเผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมา
“สำนักที่ตั้งอยู่ในสนามฝึกซ้อมมีแต่พวกอ่อนแอน่าสมเพช ไม่มียอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนของขั้นเซียนเทพได้ชิ้นหนึ่งเลยสักคน จึ๊ๆ”
ผู้พูดคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ดูเหลาะแหละไม่จริงจัง บรรยากาศรอบตัวของคนผู้นี้ไม่ได้สอดคล้องกับความหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่น้อย สายตาของชายหนุ่มขณะพูดเต็มไปด้วยความดูถูก ก เห็นได้ชัดว่าเขาเหยียดหยามชาวท้องถิ่นในสนามฝึกซ้อมนี้
ชายหนุ่มประสานมือไพล่หลังแล้วมุ่งหน้าสู่สำนักเจดีย์นภากระจ่างอย่างไม่เกรงกลัว
“นั่นใคร”
หนึ่งในศิษย์สำนักเจดีย์นภากระจ่างโบกอาวุธปิดทางเหลียงไคทันที
ในฐานะหนึ่งในสำนักชั้นนำของดินแดนทางใต้ การป้องกันพื้นที่ของพวกเขาย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้าประตูสำนักไว้มีปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ
เหลียงไคไม่รู้สึกเกรงกลัวสักนิด แต่กลับเผยอมุมปากยิ้มเย้ยหยัน เขามองศิษย์เหล่านั้น จากนั้นก็ยกมือขึ้น เพียงแค่ดีดนิ้วก็สามารถส่งลมกระโชกหลายระลอกพุ่งเข้าใส่คนพวกนั้นได้แล้ ว
ลมกระโชกแรงพุ่งออกไปราวกับเป็นลูกธนูจากนั้นก็เสียบทะลุศีรษะของศิษย์เหล่านั้น เลือดของพวกเขาไหลนองออกมาอย่างรวดเร็ว
“มดปลวกอย่างพวกเจ้ากล้าเหิมเกริมกับนายน้อยผู้นี้… ช่างไร้ยางอายและบ้าบิ่นสิ้นดี”
เหลียงไคกวาดสายตามองซากศพของคนพวกนั้นอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เดินตรงไปยังสำนักเจดีย์นภากระจ่างต่อไป
ทุกคนในสำนักเจดีย์นภากระจ่างล้วนแตกตื่น เหล่ายอดฝีมือพากันกรูกันออกมาเผชิญหน้ากับเหลียงไคด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขนาดยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักยังออกมาด้วย พวกเขาเหาะ เหินอยู่กลางเวหา สายตาวูบวาบประหนึ่งสายฟ้าจ้องมองเหลียงไคด้วยสีหน้าเย็นชา
เหลียงไคเงยหน้ามองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักเจดีย์นภากระจ่างด้วยสายตาขี้เล่น แม้แต่ขั้นเซียนเทพก็ไม่ต่างอะไรจากมดปลวกยามที่อยู่ต่อหน้าเขา
ปัง!
ขณะที่เหลียงไคกำลังมองเหล่ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพบนอากาศ แรงกดดันน่าเกรงขามก็ปะทุออกมา แรงกดดันนี้ดูเหมือนจะมาจากพลังแห่งจักรวาล
สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพเปลี่ยนไปทันที พวกเขาถูกแรงกดดันเข้าบีบเค้นจนร่วงลงพื้น ราวกับว่ามีภูเขากดทับร่างของพวกเขาเอาไว้
เหลียงไคขยับเท้าหนึ่งก้าวแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าหนึ่งในยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทันที
เขาเงยหน้าขึ้น ใช้นิ้วหนึ่งจิ้มหน้าผากของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ
มีเสียงกระหึ่มดังก้องไปในอากาศ
ดวงตาของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพผู้นั้นเบิกโพลง เลือดทะลักออกจากหลังศีรษะ เขาเสียชีวิตทันทีแล้วล้มลงกองกับพื้น
เหล่ายอดฝีมือของสำนักเจดีย์นภากระจ่างหน้าถอดสี แสดงอาการตื่นตระหนกออกมา ทุกคนหวาดกลัวกันมากจนไม่มีใครกล้าอ้าปากพูดสักคน
เห็นได้ชัดว่าผู้บุกรุกสำนักเจดีย์นภากระจ่างคือยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้แล้วหนึ่งชิ้น
ดินแดนแสนภูผาซึ่งมีสำนักเจดีย์นภากระจ่างคอยดูแลตั้งอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่ของทวีปมังกรซ่อนเร้น พวกเขารู้ดีว่ายอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนของขั้นเซียนเทพได้หนึ งชิ้นนั้นเก่งกาจปานใด
ยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมพลังแห่งจักรวาลได้ ต่อให้ยอดฝีมือของสำนักเจดีย์นภากระจ่างทุกคนร่วมมือกันก็ไม่มีโอกาสเอาชนะอีกฝ่ายได้
พวกเขาทำได้เพียงยินยอมและจำนนต่อหน้ายอดฝีมือระดับนี้
เหลียงไคใช้กำลังยึดครองสำนักเจดีย์นภากระจ่างโดยไร้ซึ่งความละอาย เขาใช้พลังกดดันยอดฝีมือของสำนัก ไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดังต่อหน้าเขาเลยสักคน
สามวันผ่านไป คนผู้หนึ่งออกจากที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้วเข้าสู่ดินแดนแสนภูผา มุ่งหน้าสู่สำนักเจดีย์นภากระจ่าง
เป่ยกงหมิงไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด ทว่าเหลียงไคคือหนึ่งในสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ ศิษย์ชั้นในอย่างเขาจึงไม่อาจปฏิเสธคำสั่งได้
ตำแหน่งสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์มาจากการที่คนเหล่านั้นมีพรสวรรค์อันน่าเกรงขาม พรสวรรค์ของพวกเขามีค่าใหญ่หลวงต่อสำนัก และเพราะสำนักให้ความสำคัญ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีอำนาจเหน นือกว่าศิษย์ทั่วไปชนิดไม่เห็นฝุ่น
เป่ยกงหมิงมีความแค้นและความขัดแย้งกับเหลียงไคไม่น้อยเลยทีเดียว
ผู้สืบทอดแห่งสวรรค์แต่ละรายล้วนต้องเหยียบหัวคนเก่งนับไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดนี้ และหนึ่งในคนเก่งที่ถูกเหลียงไคเหยียบหัวก็คือเป่ยกงหมิง
เขาจำได้แม่นว่าเหลียงไคเคยทำให้ตนต้องอับอายขายขี้หน้าเพียงใด ชายหนุ่มไม่คาดคิดเลยว่าคนที่มายังสนามฝึกซ้อมคือเหลียงไค หากปล่อยให้เหลียงไคได้หมื่นไฟประลัยกัลป์ไปครอง ปรา าณของคนคนนั้นจะพุ่งขึ้นไปถึงขั้นใดกัน
เป่ยกงหมิงตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
…..
ปู้ฟางกลับมาใช้ชีวิตปกติหลังกลับสู่นครหลวง เขาใช้เวลาไปวันๆ อย่างสบายอารมณ์โดยไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล
ปู้ฟางจะตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกฝนทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก จากนั้นก็ใช้เวลาที่เหลือเตรียมอาหารบางจาน ตั้งแต่เจ้าดำนอนหลับยาว เขาก็ว่างจากการทำซี่โครงเนื้อมังกรผัดเปรี้ยวหวา าน
หลังจากทำทุกสิ่งเสร็จสรรพในตอนเช้า ปู้ฟางก็จะนอนอาบแดดบนเก้าอี้อย่างสบายใจ พอรู้สึกคันไม้คันมือก็จะเข้าครัวแล้วทำอาหารหลากหลายจาน
ระหว่างทำตัวขี้เกียจสันหลังยาว เขาก็รู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันผ่านไปเชื่องช้ายิ่งนัก
ข่าวของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดแพร่สะพัดไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว คนที่ตื่นเต้นที่สุดเมื่อได้ยินข่าวนี้จะเป็นใครอื่นได้อีกนอกจากจีเฉิงเสวี่ย จักรพรรดิหนุ่มกังวลมาตลอดว่ากำลังทหารของ งจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นอ่อนแอเกินไป และก๋วยเตี๋ยวอาละวาดก็คือคำตอบของปัญหานี้
พอจีเฉิงเสวี่ยมายังร้านเล็กๆ ของฟางฟาง เขาก็พบว่าก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเป็นอาหารที่สั่งไปกินนอกร้านได้
การค้นพบนี้ทำให้จักรพรรดิหนุ่มลิงโลดใจยิ่งนัก
ในศีรษะของจีเฉิงเสวี่ยเอาแต่คิดว่าจะทำอย่างไรกับก๋วยเตี๋ยวอาละวาดดี หากซื้อไปตุนไว้จำนวนมาก เขาก็สามารถใช้มันยามวิกฤติตอนเกิดศึกได้ ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดจะช่วยให้กองกำลังของ งเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
แม้การกินก๋วยเตี๋ยวระหว่างรบพุ่งอาจดูพิลึก แต่ถ้ามันเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้ ใครจะมองเช่นใดก็ช่างศีรษะมันสิ
แม้โอสถทิพย์จะทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน แต่ก็ยังห่างชั้นจากก๋วยเตี๋ยวอาละวาดอยู่หลายขุม โอสถทิพย์มีราคาแพงแถมผลข้างเคียงยังรุนแรง ทั้งยังหายากอีกต่างหาก หลังจา ากพิจารณาทุกด้านแล้ว ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามากหากเทียบกับยาปะทุสารัตถะ
ต้วนอวิ๋นในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพหดหู่เหลือแสน ยาปะทุสารัตถะระดับแปดในร้านของเขาคือสินค้าที่สำคัญที่สุด แต่ตั้งแต่ที่ปู้ฟางคิดค้นก๋วยเตี๋ยวอาละวาดได้มันก็ดูเหมือนของไร้ค่า ไปทันที ต้วนอวิ๋นรู้ตัวว่าต้องเริ่มคิดค้นโอสถทิพย์ใหม่ๆ บ้างแล้ว
….
เทือกเขาอู่เหลียง สำนักความลับแห่งสวรรค์
ผู้อาวุโสสูงสุดนั่งขัดสมาธิอยู่ในกระท่อมเก่าทรุดโทรม ประตูกระท่อมเปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นหญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา
หนี่หยันมองผู้อาวุโสสูงสุดด้วยสีหน้าฉงน สงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดนางจึงถูกเรียกตัวเข้ามา
“แม่หนู เอายันต์นี่ไป เจ้ามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม และข้าก็หวังว่าเจ้าจะได้ก้าวเท้าเข้าสู่โลกที่กว้างใหญ่ขึ้น เจ้าจะได้พบคนที่แข็งแกร่งกว่าในโลกภายนอกนั้น ยันต์นี่เป็นสิ่งสำคั ญ มันคือกุญแจที่ใช้เปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในเขตลับของสำนักความลับแห่งสวรรค์” ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว
หนี่หยันผงะไปเล็กน้อยหลังจากฟังคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุด
“กุญแจวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายหรือ แล้วมันจะพาข้าไปไหน” หนี่หยันสับสน
ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นส่ายเบาๆ ก่อนถอนหายใจยืดยาว
“ข้านึกว่าเจ้าอยากรู้ว่าพ่อแม่ของเจ้าหายไปไหน... ความจริงพวกเขายังไม่ตาย พวกเขาใช้กุญแจนี่ก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย แล้วถูกเคลื่อนย้ายไปสู่โลกที่กว้างใหญ่กว่านี้”
นัยน์ตาของหนี่หยันหดแคบ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องพ่อกับแม่ นางคิดมาตลอดว่าพวกเขาตายแล้ว ไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะก้าวเข้าวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแล้วไปจากดินแดนทางใต้
หลังได้รู้เรื่องวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายรวมถึงเรื่องของพ่อแม่ หนี่หยันก็ตะลึงงันไป ความรู้สึกมากมายตีกันอยู่ในใจ
“สำนักความลับแห่งสวรรค์แห่งนี้เป็นเพียงสำนักเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในดินแดนทางใต้ เราเป็นแค่สาขาหนึ่งของสำนักความลับแห่งสวรรค์ สำนักใหญ่นั้นมีขนาดใหญ่โตนัก เมื่อไปจากที นี่แล้วเจ้าจะเข้าใจทุกสิ่งเอง เจ้ามีพรสวรรค์มากกว่าพ่อแม่ของเข้า และข้าไม่อยากให้เจ้าเสียเวลาอยู่ในดินแดนทางใต้
“ไปเถิด… วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจะเปิดในอีกสามวัน กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม”
หนี่หยันเดินเหม่อลอยออกจากกระท่อม นางอึ้งกับสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูดไม่น้อย
ตอนนั้นเองร่างของหญิงสาวก็สั่นเทิ้ม ผู้อาวุโสสูงสุดหมายความว่าหลังก้าวเข้าวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นางจะไม่สามารถกลับมาได้อีก นางตระหนักได้ว่าควรบอกลาทุกคนในดินแดนทางใต้ เพรา าะนางคงต้องจากพวกเขาไปตลอดกาล...
หนี่หยันเงียบไปพักหนึ่ง
นางนึกลังเลใจเช่นนั้นหรือ แน่นอนอยู่แล้ว หลังออกจากดินแดนทางใต้ไป นางจะไม่ได้ชิมอาหารของเถ้าแก่ปู้อีก หนี่หยันเสียใจไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะไม่ได้ชิมอาหารของเถ้าแก่ปู้อีกแล้ว ห หากพูดถึงเรื่องอาหารแล้ว ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายไปกว่าการไม่ได้กินของอร่อย โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าของอร่อยนั้นอยู่ที่ใด มันเป็นความรู้สึกที่แสนทรมานใจยิ่ง
นางควรหาเวลาแวะไปร้านของเถ้าแก่ปู้ นางตั้งใจจะกินให้เต็มคราบ และถือโอกาสกล่าวลาเถ้าแก่ปู้ด้วย
….
ในวันแรก ยานรบโลหะเย็นเยือกแล่นจากที่ราบทางตะวันตกเฉียงเหนือเข้าสู่ดินแดนแสนภูผา
ในวันที่สอง ยานรบถูกยึด มันออกจากดินแดนแสนภูผาแล้วบดขยี้ต้นไม้นับไม่ถ้วนที่ขวางทาง มันเดินทางออกจากดินแดนแสนภูผาพร้อมรัศมีน่าเกรงขาม
เหลียงไคยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้ายานรบ
“สำนักเล็กๆ ในดินแดนทางใต้คิดจะทำลายยานรบของสำนักมหาพิภพรึ พวกเขาคิดว่าสำนักของเราคือหมูให้เชือดหรืออย่างไร ดูเหมือนจะชื่อสำนักเมฆาขาวหรืออะไรสักอย่าง… ดูท่าคนพวกน นั้นคงไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว”
“ก่อนอื่นเราต้องชิงหมื่นไฟประลัยกัลป์ให้ได้ก่อน หากวิชากายาปีศาจอาทิตย์แผดเผาของข้าได้หมื่นไฟประลัยกัลป์มาช่วยขัดเกลา มันต้องสมบูรณ์แบบแน่ ข้าจะสามารถทำลายโซ่ตรวนอีกชิ้นแล ล้วกลายเป็นยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้ถึงสองชิ้น ในการประลองครั้งใหญ่ของสำนักครั้งต่อไป ข้าก็จะไม่อยู่รั้งท้ายในหมู่สิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค ค์อีก”
“หมื่นไฟประลัยกัลป์… รอนายน้อยของเจ้าก่อนเถิด”