ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 406 วงแหวนปราณอาหารเลิศรส
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 406 วงแหวนปราณอาหารเลิศรส
“ระบบ แน่ใจหรือว่านี่คือวงแหวนปราณอาหารเลิศรสน่ะ”
ปู้ฟางมองก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเก้าชามที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มุมปากของชายหนุ่มกระตุกอย่างไม่รู้ตัวตอนเอ่ยถามระบบ
หลังบรรลุปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ปู้ฟางไม่เพียงได้ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเป็นรางวัล แต่ยังได้สิ่งที่เรียกว่า ‘วงแหวนปราณอาหารเลิศรส’ อีกด้วย
ปู้ฟางไม่ใช่ไม่คุ้นเคยกับวงแหวนปราณ เขาเคยรับมือพวกมันมาหลายครั้งหลายคราว วงแหวนปราณปืนใหญ่ของนครมหาอสรพิษฝากความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้ง
ทว่าตอนเขาวางก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเก้าชามตามข้อกำหนดของวงแหวนปราณอาหารเลิศรส กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแค่กลิ่นหอมฟุ้งเต็มห้องและไอร้อนที่ลอยจากก๋วยเตี๋ยวทั้งเก้าชามเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
มันดูไม่เหมือนวงแหวนปราณเอาเสียเลย
“วงแหวนปราณคงไม่ได้สร้างกันง่ายๆ เช่นนี้หรอกใช่ไหม” ปู้ฟางถามระบบ
“ระบบบอกวิธีสร้างวงแหวนปราณอาหารเลิศรสให้นายท่านรับรู้แล้ว จากนี้นายท่านต้องเรียนรู้การเชื่อมพลังปราณกับตัวจุดในวงแหวนปราณด้วยตนเอง” ระบบประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เรียนรู้ด้วยตัวเองรึ ข้าต้องทำการทดลองเพื่อเรียนรู้การเชื่อมต่อวงแหวนปราณด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ
ปู้ฟางอึ้งกิมกี่กับคำตอบของระบบ เขาไม่สมัครใจจะพูดกับระบบอีก สุดท้ายชายหนุ่มก็เบ้ปาก ปลดปล่อยพลังปราณออกมาราวกระแสน้ำ จากนั้นก็เริ่มสังเกตพลังปราณที่ออกมาจากก๋วยเตี๋ยวแต่ละชาม
พลังปราณซ่อนอยู่ในกลิ่นหอมและไอร้อน ร่องรอยของมันเจือจางไม่ชัดเจน ดูเหมือนว่าวงแหวนปราณอาหารเลิศรสนั้นค่อนข้างยากที่จะทำความเข้าใจ
ปู้ฟางใช้พลังปราณของตนดึงพลังปราณจากก๋วยเตี๋ยวอาละวาดชามหนึ่งออกมา เขาพยายามเชื่อมมันเข้ากับพลังปราณจากก๋วยเตี๋ยวชามอื่น หลังจากพยายามสักพักก็เชื่อมพวกมันเข้าด้วยกันได้สำเร็จ
ปู้ฟางมีกำลังใจขึ้นมาเล็กๆ เขารู้สึกว่าการเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร
ปู้ฟางเชื่อมพลังปราณกับก๋วยเตี๋ยวชามอื่นต่อไป
มันไม่ได้ยากเย็นนักตอนเชื่อมพลังปราณชามที่สามสำเร็จ ทว่าปู้ฟางเริ่มสัมผัสได้ถึงความยากตอนพยายามเชื่อมชามที่สี่ หลังจากเชื่อมสายใยพลังปราณนับไม่ถ้วนเข้าด้วยกัน มันก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด พลังปราณทั้งหลายปั่นป่วนโกลาหล หากไม่ระมัดระวังเขาต้องทำพลาดอย่างแน่นอน
เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นในใจของปู้ฟาง พลังปราณที่เขาเชื่อมโยงไว้แล้วหลุดออกจากกันแล้วแตกกระจายเป็นเสี่ยง
พลังปราณทั้งหมดภายในก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเริ่มสลายหายไป
ปู้ฟางถอนหายใจ เป็นอย่างที่คาดไว้ สิ่งที่เรียกว่าวงแหวนปราณอาหารเลิศรสไม่ได้สร้างขึ้นง่ายๆ จริงๆ ด้วย
ปู้ฟางเอามือถูหน้าผาก พลางยกก๋วยเตี๋ยวอาละวาดทั้งเก้าชามขึ้นจากโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว เขาเดินไปหาเจ้าขาว จากนั้นก็เทก๋วยเตี๋ยวไร้ประโยชน์ทั้งหมดลงท้องเจ้าขาวไป
พลังปราณภายในก๋วยเตี๋ยวกระจัดกระจายไปหมดแล้ว มันใช้การไม่ได้อีก ดังนั้นเจ้าขาวคงไม่เกิดคึกขึ้นมาหลังจากกินมันเข้าไปแน่
ชายหนุ่มยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากครัวมาเปิดประตูร้าน
ลมหนาวพัดใส่ใบหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย
สองสามวันมานี้อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ นานๆ ทีจึงจะมีลมหนาวพัดเข้ามาในเมือง
ปู้ฟางเพลิดเพลินกับอากาศเย็นๆ จากนั้นก็ล้มตัวนอนบนเก้าอี้พลางหรี่ตาลง
หลังจากเจ้าดำตัวอ้วนกินสิ่งที่อยู่ในตาผลึกเข้าไปมันก็หลับลึก ปู้ฟางคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเจ้าดำจึงยังไม่ตื่นเสียที
ทว่าปู้ฟางก็รู้สึกเพลิดเพลินกับความเกียจคร้านนี้ไม่น้อย ถ้าเจ้าสุนัขสันหลังยาวยังไม่ตื่น เขาก็ไม่ต้องทำซี่โครงเนื้อมังกรผัดเปรี้ยวหวานให้มันกิน
เซียวเสี่ยวหลงมาที่ร้านพร้อมเซียวเหมิง
หลังจากบรรลุปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม เซียวเหมิงก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แววตาของเขาดูสงบเยือกเย็น มีพลังกดดันน่าเกรงขามกระจายออกมารอบตัว กระนั้นก็ดีในร้านเล็กๆ ของฟางฟางแห่งนี้ พลังกดดันของเขานั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
วันนี้เซียวเหมิงไม่ได้มาโอ้อวดพลังกดดันของปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม เขาตั้งใจมาหาปู้ฟางเพราะมีธุระสำคัญ
ไม่นานโอวหยางเสี่ยวอี้ผู้ร่าเริงก็ตามมาติดๆ วันนี้ตระกูลโอวหยางยกโขยงมากันทั้งตระกูล
ก่อนจะมีใครทันได้พูดอะไร จีเฉิงเสวี่ยก็มาถึงร้านเช่นกัน ตอนนี้ชนชั้นสูงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิวายุแผ่วมาอยู่ที่ร้านของปู้ฟางกันหมด
หากชาวเมืองเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาคงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลแน่นอน
ปู้ฟางเปิดเปลือกตามอง เขารู้เจตนาของการมาเยือนในครั้งนี้เป็นอย่างดี หลังจากสรรพคุณของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดถูกเผยออกไป ชายหนุ่มก็รู้ว่าต้องมีคนจำนวนมากสั่งอาหารจานนี้แน่
ปู้ฟางไม่ได้บอกปัดหรือปฏิเสธพวกเขา
ตามที่ระบบกำหนดไว้ ผลึกที่ได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวอาละวาดจะเปลี่ยนมาเป็นพลังปราณเที่ยงแท้ของปู้ฟางเช่นกัน
ตอนนี้เขามีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม หากชายหนุ่มอยากก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น ผลประกอบการของร้านก็ต้องเพิ่มขึ้นมหาศาล
หากหวังพึ่งรายได้ต่อวันและพลังปราณเที่ยงแท้จากภารกิจฉุกเฉิน คงยากเหลือแสนที่จะก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ต่อให้ใช้เวลาอีกหลายปี ปู้ฟางก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะบรรลุปราณเพิ่มขึ้นได้สักชั้นหรือไม่
การปรากฏของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างเหมาะเหม็ง
ในฐานะจักรพรรดิของจักรวรรดิ จีเฉิงเสวี่ยย่อมครอบครองเหมืองผลึกหลายแห่ง หากผลึกทั้งหมดถูกนำมาซื้อก๋วยเตี๋ยวอาละวาด ปู้ฟางก็มั่นใจว่าเขาย่อมก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นได้อย่างแน่นอน
สรรพคุณของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดนั้นเหนือกว่าโอสถทิพย์ ยาปะทุสารัตถะระดับแปดหนึ่งเม็ดมีราคาหลายร้อยผลึก ส่วนก๋วยเตี๋ยวอาละวาดของเขาจ่ายแค่หนึ่งร้อยผลึกเท่านั้น ถือว่าราคาสมน้ำสมเนื้อสำหรับคนที่ซื้อไป
ซื้อก๋วยเตี๋ยวอาละวาดหนึ่งชามก็เหมือนซื้อยาปะทุสารัตถะระดับแปดหนึ่งเม็ด กระนั้นก็ดีก๋วยเตี๋ยวของเขาไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด และยังมีราคาเพียงหนึ่งร้อยผลึก ไม่ว่าใครก็ย่อมคิดว่ามันคุ้มค่า
เซียวเหมิง จีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ใช้เวลาตลอดทั้งเช้าในร้านก่อนจะกลับไป ทุกคนดูเหมือนจะพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับจากปู้ฟาง
พวกเขาทำสัญญากับปู้ฟางสำหรับก๋วยเตี๋ยวอาละวาดจำนวนมาก
ปู้ฟางจะทำก๋วยเตี๋ยวอาละวาดและพวกเขาจะจัดหาผลึกให้
ปู้ฟางไม่ได้เสียเปรียบเลยกับข้อตกลงนี้ ผลึกที่ทุกคนมอบให้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังปราณเที่ยงแท้ของเขาและการทำก๋วยเตี๋ยวอาละวาดก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
ปู้ฟางสามารถทำก๋วยเตี๋ยวอาละวาดหนึ่งชามได้ในเวลาไม่กี่อึดใจ การทำก๋วยเตี๋ยวอาละวาดจำนวนมากไม่ใช่เรื่องท้าทายแต่อย่างใด เพราะเขามีหมื่นไฟประลัยกัลป์และกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในครอบครอง
สิ่งเดียวที่ปู้ฟางต้องใช้คือเวลา
หลังจากจีเฉิงเสวี่ยกลับไปพร้อมคนอื่นๆ ต้วนอวิ๋นก็ลากสังขารอิดโรยเข้ามาในร้าน เขาหาวเบาๆ ก่อนจะเอนตัวพิงเก้าอี้
ก่อนหน้านี้ต้วนอวิ๋นค้นคว้าโอสถทิพย์ไม่ได้หลับได้นอน ในที่สุดเขาก็คิดค้นโอสถทิพย์ระดับแปดซึ่งสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้ แต่แล้วเขาก็ต้องทนทรมานเพราะก๋วยเตี๋ยวอาละวาด ยอดขายโอสถทิพย์ลดลงอย่างมาก ชายหนุ่มต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืนคิดค้นโอสถทิพย์ตัวใหม่ เพราะถ้าทำไม่สำเร็จ เขาย่อมไม่สามารถหาผลึกมาจ่ายค่าอาหารได้
โชคดีที่เขาคิดค้นโอสถทิพย์สูตรใหม่ได้สำเร็จ
วันนี้ต้วนอวิ๋นสั่งอาหารหลายจานกว่าปกติ เพราะตั้งใจจะตกรางวัลให้ตัวเอง
…..
สำนักเมฆาขาว
สีหน้าของอูมู่ซีดเซียวราวศพ เขาเอามือทาบหน้าอกแล้วไอออกมาไม่หยุด จากนั้นก็มองเหล่ายอดฝีมือของสำนักเมฆาขาวที่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะสูดหายใจลึกเต็มปอด
ตอนต่อสู้กับยานรบลึกลับ สำนักเมฆาขาวสามารถช่วยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายมาได้ พวกเขาลงทุนลงแรงชนิดหมดหน้าตักจนสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้หลายคนแล้วชิงตัวอูอวิ๋นไป๋คืนมาได้
สำนักเมฆาขาวสูญเสียไม่น้อยในศึกครั้งนั้น มียอดฝีมือขั้นเซียนเทพและศิษย์อีกหลายคนเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้
อูมู่ไอออกมาเป็นเลือดอีกก้อนหนึ่ง แม้ว่าสีหน้าของเขาจะซีดเซียว แต่เจตจำนงกระบี่ในกายก็ยังแหลมคมเช่นเดิม แววตาของเขาวูบวาบราวสายฟ้าขณะมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
“แจ้งข่าวให้ทุกคนในดินแดนทางใต้รับรู้ นับจากวันนี้ สำนักเมฆาขาวของเราจะผนึกตัวเองและตัดขาดจากโลกภายนอกสิบปี ศิษย์ทุกคนห้ามออกจากสำนัก ผู้ใดที่ฝ่าฝืนต้องถูกสังหาร”
ตอนที่อูมู่ตัดสินใจเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดไม่น้อย กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าต้องทำเช่นนี้เพื่อความอยู่รอดของสำนักเมฆาขาว ความแข็งแกร่งของศัตรูบนยานรบโลหะลำนั้นน่าเกรงขามยิ่งนัก หากพวกนั้นกลับมาล้างแค้น สำนักเมฆาขาวย่อมไม่อาจต้านทานได้แน่
หนทางเดียวที่จะช่วยสำนักเมฆาขาวได้ คือผนึกตัวเองและเปิดใช้งานวงแหวนปราณป้องกัน เขาจะลบร่องรอยทั้งหมดของสำนักออกไป
ในวันที่สอง ข่าวที่ทำให้ทั้งดินแดนทางใต้แตกตื่นเริ่มแพร่สะพัด หลายสำนักพากันหวาดกลัวและกระสับกระส่าย หนึ่งในสำนักชั้นนำของดินแดนทางใต้อย่างสำนักเมฆาขาวตัดสินใจผนึกตัวเอง พวกเขาเลือกหายตัวไปจากโลก ทิ้งความเป็นสำนักชั้นนำของดินแดนทางใต้ไป
ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยจากสำนักความลับแห่งสวรรค์ สำนักเจดีย์นภากระจ่างและวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏพากันทอดถอนใจกับข่าวนี้
ตอนที่ข่าวการผนึกตัวเองของสำนักเมฆาขาวแพร่กระจายออกไป ประมุขของนครมหาอสรพิษก็ออกเดินทางไปยังมหาสมุทรตะวันตก นางต้องการเสาะหาโอกาสและโชคลาภที่จะช่วยปลดโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพชิ้นแรก
ดินแดนทางใต้ในช่วงนี้จึงมีแต่ความวุ่นวาย
….
เมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
ทหารยามจำนวนไม่น้อยลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมือง ตอนนี้เมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม แม้ว่านครหลวงจะถูกทำลายย่อยยับอยู่เป็นนิจ แต่ทุกคนก็รับมือเรื่องนี้ได้ดีกว่าเดิมแล้ว
หลังจากผ่านหายนะมาหลายครั้ง จักรพรรดิก็ทุ่มเทเพื่อช่วยเหลือปวงประชายิ่งกว่าเดิม เขาคิดจะเน้นเรื่องการเพิ่มขั้นปราณให้แก่เหล่าชาวเมือง
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี
อาณาจักรลดการรณรงค์ทางทหารลงและให้ความสำคัญกับการเพิ่มขั้นปราณของประชาชนมากขึ้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน สถานะของนักปราชญ์ลดความสำคัญลง เพราะตอนนี้การศึกษาวรรณกรรมไม่สำคัญเท่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
ชาวเมืองทุกคนรู้ดีว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้จะนำพาไปสู่อนาคตที่รุ่งเรืองกว่า
ตอนนั้นเอง ไกลออกไปจากนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว เงามืดปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันปล่อยพลังกดดันน่าเกรงขามออกมา
ความเครียดเริ่มเกาะกุมหัวใจของเหล่าทหารยามทุกนาย
ทหารยามบางนายเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน พวกเขาจ้องเงามืดขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปอย่างประหม่า แต่ก็ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใดเพราะเคยเผชิญประสบการณ์เช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ถือได้ว่าพวกเขาคือทหารผ่านศึกตัวจริงเสียงจริง
อสูรเวทระดับแปดบุกเมือง… อสูรเวทระดับเก้าบุกเมือง… กองทัพขนาดใหญ่บุกเมือง กำแพงเมืองของนครหลวงและชีวิตของเหล่าทหารยามประสบแต่ความลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด และพวกเขาก็คุ้นชินกับชีวิตเช่นนี้ดี
เงามืดขนาดมโหฬารที่พุ่งตรงมาไม่ใช่อสูรเวทยักษ์ระดับเก้าหรืออะไรเทือกนั้น มันคือยานรบโลหะซึ่งส่องแสงแวววาวภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา
สิ่งที่บินอยู่บนฟ้าคือยานรบหรือนี่ มันคือยานรบบินได้จริงๆ น่ะหรือ
ทหารยามทุกนายตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นยานรบบินได้ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นยานรบ ในสงครามทั้งหลาย อย่างดีที่สุดพวกเขาก็ใช้ทหารม้าราวีศัตรู ไม่มีใครเคยเห็นยานรบเช่นนี้เลยสักคน
เหล่าชนชั้นสูงของนครหลวงได้รับแจ้งเตือน จีเฉิงเสวี่ย เซียวเหมิงและคนอื่นๆ ขึ้นไปบนกำแพงเมืองพลางมองยานรบที่กำลังบินตรงมาทางพวกเขา
เหมือนมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าของยานรบ
เหลียงไคใช้สองมือจับระเบียงยานรบแล้วพิงมันไว้ เขาจ้องเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตาเขม็ง
“ช่างเป็นเมืองที่ต่ำต้อยและโกโรโกโสยิ่งนัก นี่หรือนครหลวงของอาณาจักร ดูช่างแร้นแค้นเหลือเกิน เมืองอื่นในทวีปมังกรซ่อนเร้นล้วนใหญ่กว่านี้ทั้งสิ้น หากเทียบกับมหานครในทวีปมังกรซ่อนเร้น ที่นี่ดูเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น”
เหลียงไคยิ้มหยัน สายตาที่ลุกโชนจ้องมองเมืองซึ่งชัดเจนขึ้นทีละนิดไม่วางตา
เขามองภาพตรงหน้าด้วยแววตาลุกโชนเพราะมนุษย์ที่ครอบครองหมื่นไฟประลัยกัลป์อาศัยอยู่ในเมืองนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลเดียวที่เขามาเยือนที่แห่งนี้
ครืน!
เกิดเสียงก้องกังวานดังมาจากยานรบ ลมพายุรุนแรงโถมเข้าใส่เมือง ก้อนหินและเม็ดทรายถูกพัดจนกระเด็นกระดอนไปทั่ว
พื้นที่รอบๆ ดูมืดมัวลงตอนที่ยานรบขนาดยักษ์เข้าปกคลุมน่านฟ้าเหนือเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
พลังกดดันจากยานรบกดทับลงมาทำให้ทุกคนรู้สึกสะพรึงกลัว