ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 407 เซียวเหมิงปะทะขั้นเซียนเทพ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 407 เซียวเหมิงปะทะขั้นเซียนเทพ
ตึง!
พอปู้ฟางหยิบกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ ห้องครัวก็เต็มแน่นไร้ที่ว่าง
ปู้ฟางเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาหั่นกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพเป็นชิ้นๆ เขาเลือกมาแค่หนึ่งชิ้นแล้วเอาทุกอย่างเก็บเข้ากระเป๋าคลังเก็บไป
เขาตบกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพที่มีขนาดเท่าหินลับมีดเบาๆ พลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มันคือเนื้อกุ้งตั๊กแตน แถมยังเป็นอสูรเวทระดับเก้าจากท้องทะเลด้วย ถึงมันจะตายแล้วแต่พลังปราณที่อยู่ในเนื้อก็ยังหนาแน่นล้นเปี่ยม
ปู้ฟางล้างเนื้อกุ้งอย่างดีแล้วทาซอสบางๆ จนทั่ว
หลังจากทาซอสบนเนื้อกุ้งแล้ว ปู้ฟางก็ใช้พลังปราณเที่ยงแท้ทุบเปลือกที่อยู่บนเนื้อกุ้ง เขาปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ลงในเนื้อกุ้งและทำให้เปลือกกุ้งนิ่มขึ้น
ควันสีเขียวหมุนวนเมื่อปู้ฟางเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำออกมา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะพ่นเปลวไฟสีทองไปที่ก้นกระทะ ทำให้อุณหภูมิของกระทะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ
ปู้ฟางเทน้ำที่ได้จากน้ำแข็งของเทือกเขาน้ำแข็งมหากาฬลงในกระทะแล้ววางซึ้งไม้ไผ่ลงไป หลังจากจัดแจงทุกอย่างแล้ว เขาก็วางเนื้อกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพลงบนซึ้ง
ฟู่ๆ!
ไอน้ำค่อยๆ ลอยขึ้นมาเมื่อน้ำในกระทะเริ่มเดือด มันปั่นป่วนพลุ่งพล่านแล้วแผ่ออกไปยังซึ้งไม้ไผ่ ทำให้เนื้อกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพสีใสค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงสวย
ขณะที่ปู้ฟางกำลังทำอาหารอย่างสนุกสนานอยู่ในครัว สถานการณ์นอกเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วกลับกำลังวิกฤติ
สีหน้าของทุกคนในเมืองหลวงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง พวกเขายืนอย่างผ่าเผยอยู่บนกำแพงเมือง พลางมองยานรบโลหะซึ่งกำลังบินอยู่บนฟ้า
ยานรบปล่อยพลังกดดันรุนแรงออกมาทำให้พวกเขาหายใจไม่ออกเล็กน้อย
หลังเดินออกจากร้าน ลูกตาของต้วนอวิ๋นก็หดแคบเมื่อเห็นยานรบโลหะบนท้องฟ้า
“นั่นยานรบของสำนักมหาพิภพไม่ใช่รึ มันมาทำอะไรที่นี่น่ะ” ต้วนอวิ๋นสูดอากาศเย็นเข้าปอด สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
สำนักมหาพิภพไม่ใช่สำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียงในทวีปมังกรซ่อนเร้น มันคือสำนักชั้นหนึ่งที่มียอดฝีมืออยู่นับไม่ถ้วน ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในสำนักคือหนึ่งในผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปมังกรซ่อนเร้น
นอกจากวิหารราชันมังกรซ่อนเร้นแล้ว สำนักนี้เป็นหนึ่งในสำนักที่ทรงอิทธิพลที่สุด เหล่ายอดฝีมือของสำนักมหาพิภพโปรดปรานการต่อสู้อย่างยิ่ง พวกเขาไม่เคยปล่อยใครไว้ ทุกคนที่อยู่ในสถานที่ที่ยานรบแล่นผ่านล้วนถูกฆ่าตาย มีสำนักระดับสองและระดับสามมากมายที่ถูกสำนักมหาพิภพทำลาย
ต้วนอวิ๋นเป็นศิษย์ของสำนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เขาต้องเกรงกลัวสำนักมหาพิภพ ทว่าตอนนี้เขาอยู่ในจักรวรรดิวายุแผ่ว ชายหนุ่มเกรงว่าคนของสำนักมหาพิภพจะจำเขาไม่ได้และสังหารเขาเอาง่ายๆ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาควรจะทำอย่างไรดี
หากต้องตายเพราะเหตุนั้นจริงๆ คงสายเกินไปที่จะทันได้หลังน้ำตา
เหตุใดยานรบของสำนักมหาพิภพจึงมาที่จักรวรรดิวายุแผ่วกัน หรือจะเป็นเพราะเถ้าแก่ปู้… พวกนั้นมาชิงหมื่นไฟประลัยกัลป์หรือ
รูม่านตาของต้วนอวิ๋นหดแคบเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้
“ใครกันที่มาอาละวาดในจักรวรรดิวายุแผ่วของข้า”
จีเฉิงเสวี่ยในตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจไม่น้อย หลังได้รับการสนับสนุนจากเถ้าแก่ปู้ เขาก็ได้ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดมาไว้ในครอบครอง ความแข็งแกร่งของทั้งอาณาจักรจึงเพิ่มสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
หากเทียบกับขุมอำนาจอื่นๆ พวกเขาอาจขาดแคลนยอดฝีมือ แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมก็หาได้ด้อยกว่าขุมอำนาจใดในดินแดนทางใต้ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งพอจึงรู้สึกมั่นใจในตนเองเช่นนี้
จีเฉิงเสวี่ยยืนอยู่บนกำแพงเมืองอย่างสง่าผ่าเผยสมความเป็นจักรพรรดิ
เซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยสองพ่อลูกคือยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดในนครหลวง ทั้งคู่ยืนเคียงข้างจีเฉิงเสวี่ยอย่างองอาจอยู่บนกำแพงเมือง
หลังจากบรรลุปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ร่างของเซียวเหมิงก็เต็มไปด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ส่งเสียงดังกระหึ่มอยู่ในกายประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง เขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมั่นคง เหนือชั้นกว่าพื้นฐานของศิษย์หลายคนจากสำนักใหญ่ๆ เสียอีก เซียวเหมิงไม่มีทรัพยากรใดๆ ในการฝึกปราณ เขาบรรลุปราณแต่ละขั้นได้ด้วยการต่อสู้ในสมรภูมิ
จิตใจของเซียวเหมิงหนักแน่นและแน่วแน่ พลังกดดันจากยานรบไม่อาจทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้
ดวงตาของเซียวเยวี่ยที่สะพายกระบี่ไว้บนหลังเฉียบคมยิ่งนัก ในฐานะผู้ฝึกตนกระบี่ พื้นฐานของเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว
ครืน!
เสียงกึกก้องดังมาจากยานรบพร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยันจากข้างใน
“สมกับที่เป็นพวกป่าเถื่อนในสนามฝึกซ้อมจริงๆ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่ พวกเจ้านี่มันมั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน กล้าดีอย่างไรถึงยืนวางท่าต่อหน้ายานรบของสำนักมหาพิภพ”
เสียงหัวเราะขี้เล่นระคนเย้ยหยันดังมาจากในยานรบ เสียงของคนผู้นี้ดังสนั่นราวฟ้าคำราม กึกก้องไปทั่วนครหลวง
ภายในร้าน ปู้ฟางมีสีหน้าประหลาดใจพลางมองออกไปนอกครัว กระนั้นเขาก็ไม่คิดสนใจสิ่งอื่นใด เอาแต่เพ่งสมาธิกับซึ้งไม้ไผ่ตรงหน้า
ดูเหมือนมีกลุ่มควันหลากสีสันลอยออกมาจากซึ้งไม้ไผ่ พลังปราณเข้มข้นและกลิ่นหอมหวานลอยฟุ้งเต็มห้อง ใครก็ตามที่ได้กลิ่นล้วนต้องน้ำลายสอกันทั้งสิ้น
ปู้ฟางเม้มริมฝีปาก ทำท่าอยากจะชิมเต็มแก่
นัยน์ตาของจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่บนกำแพงเมืองหดแคบ
พวกเขาเห็นคนเหาะออกมาจากยานรบแล้วค้างตัวอยู่กลางอากาศ รัศมีพลังน่าเกรงขามแผ่ออกมา เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้คือยอดฝีมือขั้นเซียนเทพอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายคนนี้คือศิษย์ขั้นเซียนเทพเพียงหนึ่งเดียวของสำนักมหาพิภพที่รอดชีวิต แม้จะบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับสำนักเมฆาขาว แต่ก็ไม่พรั่นพรึงสักนิดยามที่ต้องเผชิญหน้ากับเหล่ายอดฝีมือจากนครหลวง นั่นเพราะคนพวกนี้เป็นเพียงมดปลวกในสายตาของเขาเท่านั้น
ไม่มียอดมือขั้นเซียนเทพในหมู่คนเหล่านี้แม้แต่คนเดียว ไฉนเลยเขาจึงต้องเกรงกลัวด้วย
เหลียงไคยังยืนอยู่ด้านหน้าของยานรบ ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องลงมือเอง โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงคนท้องถิ่นในสนามฝึกซ้อม
ศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักมหาพิภพก็สามารถจัดการได้
เขาจะแค่สังเกตการณ์และเพลิดเพลินกับการต่อสู้จากบนยานรบ
สำนักมหาพิภพกวาดล้างสำนักนับไม่ถ้วนในทวีปมังกรซ่อนเร้นมาแล้ว เกียรติอันสูงสุดของพวกเขาหาใช่สิ่งที่อาณาจักรกระจิริดในสนามฝึกซ้อมจะสามารถยั่วยุหรือทำตัวเป็นศัตรูได้
หากคนพวกนี้คิดแข็งข้อ ทั้งอาณาจักรต้องถูกทำลายไม่เหลือซากแน่
“พวกเจ้าเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น” ศิษย์จากสำนักมหาพิภพยิ้มออกมาพลางมองพวกเขาด้วยสายตาดูแคลน
แววตาของเซียวเหมิงเปลี่ยนเป็นขึงขัง รัศมีจากยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทรงพลังยิ่งนัก
ทว่าเซียวเหมิงก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกริ่งแม้แต่น้อย
แสงหนึ่งวูบวาบออกจากมือของชายวัยกลางคนขณะหยิบก๋วยเตี๋ยวอาละวาดร้อนๆ ออกจากกระเป๋าคลังเก็บ น้ำซุปของก๋วยเตี๋ยวสีแดงก่ำ ไอร้อนลอยขึ้นมาไม่ขาดสาย
เซียวเหมิงที่มีสีหน้าขึงขังเอาจริงเอาจังอ้าปากอย่างแน่แน่วแล้วกินก๋วยเตี๋ยวเข้าไปคำโต หลังจากกินเข้าไปสองคำเต็มๆ ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดก็หมดชาม
ภาพที่แสนพิสดารนี้ทำให้ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักมหาพิภพตะลึงงันไป
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่อึ้ง เหลียงไคก็ประหลาดใจเช่นกันตอนมองลงไปจากด้านหน้ายานรบ เขาผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มออกมา พลางมองเซียวเหมิงประหนึ่งว่ากำลังมองตัวตลก
“อยากกินให้หนำอกหนำใจก่อนตายเช่นนั้นสินะ เจ้าคิดว่าปราณขี้ปะติ๋วระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามอย่างเจ้าจะสู้ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้หลังซดก๋วยเตี๋ยวไปชามหนึ่งรึ”
หากสิ่งที่อีกฝ่ายกินคือโอสถทิพย์ มันอาจจะฟังขึ้นนิดหน่อย แต่ความจริงแล้วมันคือก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม… เหตุใดหมอนี่จึงต้องกินอาหารก่อนต่อสู้ด้วย นี่มันนิสัยพิลึกกึกกืออะไรกัน
เคร้ง!
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เซียวเหมิงก็รู้สึกเหมือนมีพลังอัดแน่นอยู่เต็มกาย ดวงตาของเขาส่องประกายวาววับราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายใน
เซียวเหมิงโยนชามลงพื้นจนมันแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นว่อนไปทั่ว
เขารู้สึกว่าร่างกายมีพลังล้นปรี่ รู้สึกเหมือนตัวเองไร้เทียมทานและทรงอานุภาพ เขามองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักมหาพิภพก่อนจะแผดเสียงแล้วกระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง
กำแพงเมืองสั่นไหวด้วยแรงกระทืบของเขา ทั้งยังมีเสียงกราวก้องดังมาจากใต้ฝ่าเท้า
เซียวเหมิงชักกระบี่แล้วบุกเข้าใส่ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจากสำนักมหาพิภพอย่างรวดเร็ว
แสงกระบี่ของเขาส่องประกายวูบวาบ พลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มขึ้นฉับพลัน
เมื่อเห็นเซียวเหมิงลงมืออย่างรวดเร็ว เซียวเยวี่ยก็รีบหยิบก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ออกมาเช่นกัน เขากินสองคำโตก็หมดชาม รัศมีพลังเริ่มพวยพุ่งออกจากร่าง
ในฐานะผู้ฝึกตนกระบี่ เจตจำนงกระบี่ของเขาจึงทรงพลังยิ่ง ผู้ฝึกตนกระบี่คือผู้ผู้ฝึกตนที่มีพลังการโจมตีแข็งแกร่งที่สุด
ลำแสงกระบี่ที่ดูราวจะตัดท้องฟ้าออกเป็นสองเสี่ยงได้พุ่งออกมาด้านหลังของเซียวเหมิง
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักมหาพิภพยิ้มพลางมองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามกับระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ มดปลวกขี้ปะติ๋วบังอาจต่อกรกับขั้นเซียนเทพเชียวรึ
ไปลงนรกเลยดีกว่าไหม
เขาแผดเสียงก้อง เปลวไฟเหมือนจะหมุนวนอยู่รอบกาย ทั้งยังลุกโชนขึ้นบนหมัดทั้งสองข้าง
ปัง! ปัง! ปัง!
เขาซัดหมัดใส่คนทั้งคู่ เปลวไฟบนหมัดเปลี่ยนสภาพเป็นมังกรสองตัวที่พุ่งเข้าหาเซียวเหมิงและเซียวเยวี่ย
เขาเชื่อว่าตนสามารถบดขยี้มดสองตัวนั้นด้วยพลังของขั้นเซียนเทพได้
ในยานรบ แววตาขี้เล่นของเหลียงไคเปลี่ยนเป็นขึงขังตอนที่เห็นภาพเบื้องหน้า ชายหนุ่มอดอุทานออกมาไม่ได้
“รัศมีจากสองคนนั้นเพิ่มขึ้นมากเกินไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ประสิทธิผลของมันไม่ต่างอะไรจากการกินยาปะทุสารัตถะเลย หรือพวกเขาจะผสมตัวยาในก๋วยเตี๋ยว ไม่น่าใช่… หากผสมตัวยาในก๋วยเตี๋ยวจริง สู้กินยาไปตรงๆ ไม่ง่ายกว่าหรือ ทำไมต้องจับผสมกันด้วย”
เซียวเหมิงและยอดฝีมือขั้นเซียนเทพพุ่งเข้าปะทะกันแล้วเริ่มเปิดฉากต่อสู้ คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้กวาดซัดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขา
เกิดเสียงดังกึกก้องอย่างต่อเนื่องเมื่อเซียวเหมิงเจ้าของปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามห้ำหั่นกับยอดฝีมือขั้นเซียนเทพชนิดไม่ตกเป็นรอง
ในห้องครัวของร้าน ไอหลากสีหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะสลายหายไปในที่สุด
ปู้ฟางเปิดซึ้งด้วยความปลาบปลื้ม
กุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพปรุงสุกแล้ว กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกจากเนื้อกุ้งแวววาวซึ่งแผ่รัศมีเจ็ดสีเลือนรางแต่ก็ยังพอจะมองเห็นได้อยู่
ปู้ฟางเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมางัดเปลือกกุ้งตั๊กแตน เผยให้เห็นเนื้อสีขาวนุ่มและโปร่งใสเล็กน้อย
ไอน้ำเข้มข้นและกลิ่นหอมเย้ายวนลอยออกมาจากเนื้อกุ้ง
ปู้ฟางกัดเนื้อกุ้งตั๊กแตนนึ่งเข้าไปเต็มคำ
หลังจากกลืนเนื้อกุ้งที่ร้อนระอุแต่นุ่มแสนนุ่มลงท้อง ปู้ฟางก็ตาเบิกโพลง เขาประหลาดใจอย่างมาก
เขาหยิบเนื้อกุ้งตั๊กแตนทั้งชิ้นขึ้นแล้วเดินออกจากครัวไป จากนั้นก็เดินมาตรงประตูร้านพลางกินไปด้วย
โอวหยางเสี่ยวอี้ เซียวเสี่ยวหลง และลูกค้ารายอื่นในร้านมาออกันอยู่ที่หน้าประตูร้าน พวกเขากำลังเฝ้าดูการต่อสู้เหนือกำแพงเมือง
แม้ว่าความสนใจของทุกคนจะพุ่งไปที่การต่อสู้ แต่กลิ่นหอมละมุนก็พุ่งเตะปลายจมูก มันเป็นกลิ่นหอมของอาหารทะเล และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองต้นตอของกลิ่น
ทุกคนมีสีหน้าประหลาดเล็กน้อยตอนเห็นปู้ฟางถือเนื้อกุ้งตั๊กแตนขนาดเท่าหินโม่อยู่ มันดูน่าขำและน่าอายในเวลาเดียวกัน
“ง่ำๆ! คนพวกนั้นมาสร้างปัญหาในนครหลวงอีกแล้วรึ”
ปู้ฟางเคี้ยวเนื้อกุ้งตั๊กแตนในปาก ส่วนตาก็มองเซียวเหมิง เขารู้ว่าเซียวเหมิงกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไปแล้วหนึ่งชามและกำลังต่อสู้กับขั้นเซียนเทพอยู่บนท้องฟ้า
พื้นฐานของเซียวเหมิงค่อนข้างแข็งแกร่ง ไม่เช่นนั้นต่อให้กินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไปหนึ่งชามก็คงไม่อาจต่อกรกับขั้นเซียนเทพได้
ยิ่งพื้นฐานดีเท่าไรก็ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นหลังกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไป
ฉึก!
ยิ่งสู้ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพของสำนักมหาพิภพก็ยิ่งประหลาดใจ เขาเริ่มกระวนกระวายและขุ่นเคืองเพราะถูกผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามพัวพันไม่เลิก
ตอนนั้นเองหัวใจของเขาก็สั่นสะท้านเมื่อรู้สึกได้ว่ามีมวลอากาศแหลมคมพุ่งเข้าใส่จากด้านหลัง
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้าหาชายหนุ่มอย่างฉับพลัน มันฟาดใส่เขาจนเกิดแผลราวผ่าความมืดมิดให้แยกออกจากกัน
เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว
เซียวเหมิงฉวยโอกาสซัดกระบี่ใส่ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพอย่างรุนแรง
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพบาดเจ็บสาหัสก่อนจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า เขาตกลงไปฟาดพื้นอย่างรุนแรงพร้อมเสียงดังสนั่น
เซียวเหมิงกระชับกระบี่ด้วยมือข้างเดียว สายตามองตรงไปที่ยานรบ ส่วนเซียวเยวี่ยยืนลูบกระบี่อยู่ข้างๆ
สองพ่อลูกยืนอย่างผึ่งผาย รัศมีพลังแผ่พุ่งออกมา จีเฉิงเสวี่ยกำหมัดแน่น สีหน้าตื่นเต้นยินดี ในที่สุดจักรวรรดิวายุแผ่วก็มีพลังพอปราบยอดฝีมือขั้นเซียนเทพเสียที
เหลียงไคเอนตัวพิงระเบียงของยานรบพลางหรี่ตามองลงมาด้านล่าง เขายกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางขี้เล่น