ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 408 ข้าตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวสักชามก่อนไป
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 408 ข้าตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวสักชามก่อนไป
ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามต่อกรกับยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ มิหนำซ้ำยอดฝีมือขั้นเซียนเทพยังพลาดท่าอีกต่างหาก แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บแต่ก็ยังเ เป็นขั้นเซียนเทพอยู่วันยังค่ำ เขารู้สึกได้ว่าพลังการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นของผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามนั้นผิดธรรมดา
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพคลานออกจากเศษหินเศษอิฐที่อยู่บนพื้น หลังจากลุกขึ้นยืน ทุกคนก็เห็นเต็มสองตาว่าสภาพของเขาช่างน่าสังเวชยิ่งนัก มีบาดแผลขนาดใหญ่บนหน้าอก เลือดสดๆ ไหลออก กมาไม่หยุดหย่อน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เลือดของขั้นเซียนเทพทรงพลังมาก กลิ่นคาวเลือดสามารถแพร่กระจายออกไปไกลจนทำให้คนอื่นรู้สึกฉุนจมูก
พอได้กลิ่นเลือดของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ ทุกคนในเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
ร่างของพวกเขาสั่นเทิ้มเพราะความตื่นเต้น
ในที่สุดเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วก็มียอดฝีมือที่สามารถต่อกรกับขั้นเซียนเทพได้เสียที แม้ว่าต้องพึ่งปัจจัยภายนอกอย่างก๋วยเตี๋ยวอาละวาด แต่ใครจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นกัน ตร ราบใดที่สามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ การใช้อาหารช่วยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด
เหลียงไคจับระเบียงของยานรบแล้วก้มมองเซียวเหมิงกับเซียวเยวี่ยที่ยืนอย่างภาคภูมิใจอยู่กลางเวหาเบื้องล่าง ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็กขณะจ้องมอง
ต่อให้ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามกินยาปะทุสารัตถะระดับแปดเข้าไป ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะสู้กับยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ นั่นเพราะความแข็งแกร่งระหว่างขั้นเซียนเทพแล ละขั้นเทพแห่งสงครามนั้นแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
กระนั้นภาพเบื้องหน้าก็ทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไป
ศิษย์สำนักมหาพิภพอ่อนแอเช่นนั้นหรือ
ไม่จริง แม้วิธีฝึกปราณของศิษย์สำนักมหาพิภพจะไม่จัดว่าเป็นวิธีชั้นยอด กระนั้นก็ยังเหนือกว่าวิธีที่คนในสนามฝึกซ้อมใช้อยู่หลายขุมนัก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ศิษย์ขั้นเซียนเทพของสำนักเขาก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี
ถึงแม้ศิษย์ผู้นี้จะอ่อนแอกว่าเป่ยกงหมิง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล เหลียงไคคิดออกเพียงเหตุผลเดียว นั่นคือก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ชามนั้นช่วยเพิ่มพลังให้พวกเขา
ใครจะมัวกินก๋วยเตี๋ยวก่อนการต่อสู้กัน เหลียงไคไม่ใช่คนโง่ เขาแน่ใจว่าต้องมีบางอย่างอยู่ในก๋วยเตี๋ยวชามนั้น
ก๋วยเตี๋ยวนั่นดูแล้ว… น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
“เป่ยกงหมิง ไปจัดการไอ้มดปลวกสองตัวนั้นเสีย ให้พวกนั้นได้สัมผัสพลังของสำนักมหาพิภพ” เหลียงไคขยับริมฝีปากเป็นยิ้มทีเล่นทีจริง พลางออกคำสั่งเป่ยกงหมิงที่อยู่ด้านหลัง
เป่ยกงหมิงตัวแข็งทื่อ ลูกตาดำของเขาหดแคบขณะมองเหลียงไคด้วยสีหน้าเย็นชา
เหลียงไคเหมือนรู้ว่าเป่ยกงหมิงกำลังจ้องตนอยู่จึงหันหน้ามาช้าๆ ร่องรอยการดูถูกปรากฏบนใบหน้าขณะมองเป่ยกงหมิง
“อย่าบอกนะว่าแค่มดปลวกพวกนั้นเจ้าก็จัดการไม่ได้… เจ้าเคยประมือกับข้ามาก่อนไม่ใช่รึ”
แววความโกรธปะทุวาบในแววตาของเป่ยกงหมิง เขาส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา ขยับเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็งอเข่าเพื่อถีบตัวออกจากยานรบ รัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกจากร่างกายของเขา
เป่ยกงหมิงคือศิษย์ชั้นในของสำนักมหาพิภพ เขาเคยประมือกับเหลียงไคมาหนึ่งครั้ง แม้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะล้ำหน้าเขาไปหลายช่วงตัว แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่มีใครปฏิเสธได้
เป่ยกงหมิงนั้นทรงพลังมาก แม้จะมีปราณเพียงขั้นเซียนเทพชั้นกลาง แต่พลังความแข็งแกร่งของเขาบรรลุชั้นสูงสุดแล้ว
“อืม… ช่างเถอะ เจ้าอยู่บนยานรบดีกว่า”
ครั้นเป่ยกงหมิงกำลังจะเหินหาวออกจากยานรบ น้ำเสียงเกียจคร้านของเหลียงไคก็ดังแหวกอากาศมาเข้าหู
เป่ยกงหมิงตาเบิกโพลง เขารู้สึกเหมือนมีพลังกดดันมหาศาลทับใส่ตัวแล้วถูกมันกระแทกอย่างแรง
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่น ร่างของเป่ยกงหมิงถูกกระแทกจมลงไปกับพื้น
พลังกดดันมหาศาลนั้นทำให้จมูกของเขาเริ่มมีเลือดออก
“เหลียงไค!”
เป่ยกงหมิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมาขณะคลานขึ้นมาจากพื้น ก่อนแผดเสียงคำรามดังลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่เหลียงไค
“ฮ่ะๆ เจ้าเองก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง ส่วนข้าเป็นผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ของสำนักมหาพิภพ! ข้าคือตัวตนที่เจ้าได้แต่แหงนมองไปชั่วชีวิต!”
เหลียงไคหัวเราะเริงร่าพลางยกมือขึ้น พลังแห่งจักรวาลดูราวกับล้อมรอบทุกสิ่งเอาไว้
เป่ยกงหมิงถูกตรึงไว้กับที่ ขนาดสีหน้าโกรธแค้นของเขายังแข็งทื่อ เลือดอุ่นๆ ไหลออกจากจมูกแล้วหยดลงไปบนพื้น
เหลียงไคสะบัดนิ้ว พลังที่แข็งแกร่งเข้ากระแทกร่างของเป่ยกงหมิงจนปลิวไปตกบนดาดฟ้ายานรบอย่างรุนแรง
เหลียงไคมองเป่ยกงหมิงที่มีสภาพเหมือนโคลนพลางยิ้มเยาะออกมา
เป่ยกงหมิงที่เคยประลองกับเขาบนเวทีมีความกล้าหาญเต็มเปี่ยม แต่บัดนี้คนผู้นี้กลับนอนแผ่หลาต่อหน้าเขาเหมือนสุนัขที่ตายแล้ว ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นในใจทำให้เหลียงไครู้สึกว่า รูขุมขนบนร่างของเขาเปิดออกอย่างเต็มที่
เหลียงไคหยุดสนใจไยดีเป่ยกงหมิงที่นอนแผ่อยู่บนพื้นเหมือนซากสุนัข ร่างของเขาเริ่มลอยขึ้นกลางอากาศแล้วเหาะออกจากยานรบไป
เซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนยานรบ
สายตาของพวกเขาจับจ้องที่เหลียงไค
เซียวเหมิงรู้ว่าบุรุษตรงหน้าคือเจ้าของยานรบ บางทีคนผู้นี้อาจมีสถานะสูงสุดภายในยานรบลำนั้น พลังปราณที่ปล่อยออกมานั้นน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย น่าจะอยู่ขั้นเซียนเทพชั นสูงสุด
เฉกเช่นปีศาจที่น่ากลัวของลัทธิอสุราผู้นั้น
อย่างไรก็ตามเซียวเหมิงไม่ได้ยำเกรงคนผู้นี้แม้แต่น้อย รัศมีพลังพวยพุ่งออกจากตัวเขา เซียวเหมิงโบกมือเรียกก๋วยเตี๋ยวอาละวาดร้อนๆ ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ น้ำซุปกระเซ็นไปทั่วส่ง งกลิ่นหอมอบอวลในอากาศ
เซียวเหมิงตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดอีกชามเพื่อรักษาความแข็งแกร่งให้อยู่ในจุดสูงสุด เขาหลงใหลความรู้สึกที่ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง
ก่อนที่เซียวเหมิงจะทันได้กลืนก๋วยเตี๋ยวอาละวาด เขาก็รู้สึกเหมือนว่าร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อได้แม้สักมัด ราวกับถูกพันธนาการไว้ด้วยพลังที่น่าสะพรึงกล ลัว ขนาดแค่จะกินก๋วยเตี๋ยวก็ยังไม่สามารถทำได้
เกิดอะไรขึ้นกัน
ดวงตาของเซียวเหมิงเบิกโพลงพลางมองเหลียงไคที่กำลังแสยะยิ้ม
เหลียงไคลอยตัวกลางอากาศอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาหาเซียวเหมิง ผมที่ปลิวไสวไปตามสายลมทำให้ชายหนุ่มดูหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง
“ก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้เจ้านั้น… น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว” เหลียงไคพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ พลางยกมือขาวผ่องของตนขึ้นมา ชายหนุ่มแค่โบกมือ ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดในมือของ งเซียวเหมิงก็ลอยมาหาเขาแล้ว
เซียวเหมิงตื่นตกใจ พลังเมื่อครู่คือพลังอะไรกัน คนคนนี้สามารถขัดขวางไม่ให้เขาขยับตัวได้ มิหนำซ้ำเพียงแค่โบกมือก็เอาสิ่งของในมือของเขาไปได้แล้ว
เป็นขั้นเซียนเทพจริงๆ หรือ เหตุใดขั้นเซียนเทพจึงทรงพลังถึงเพียงนี้
หัวใจของเซียวเหมิงเริ่มเต้นเร็วรัว เขาสงสัยว่าก๋วยเตี๋ยวอาละวาดจะส่งผลกับขั้นเซียนเทพอย่างไร
ชายวัยกลางคนไม่รู้ว่ามันจะมีผลต่ออีกฝ่ายหรือไม่ ทว่าหากก๋วยเตี๋ยวอาละวาดส่งผลต่อขั้นเซียนเทพจริงๆ ผลที่ตามมาคงเลวร้ายมาก
ฉึก!
ลำแสงกระบี่ซึ่งดูราวกับเป็นดวงอาทิตย์แผดเผาขับไล่ความมืดออกไป พุ่งฉีกอากาศตรงไปหาเหลียงไค
ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดซึ่งกำลังลอยอยู่กลางอากาศถูกลำแสงนั้นผ่าครึ่ง
น้ำซุปสีแดงกระเซ็นไปในอากาศก่อนจะร่วงลงสู่พื้น
“บังอาจ!”
รอยยิ้มของเหลียงไคหายไปในบัดดล เขามองเซียวเยวี่ยด้วยแววตาฉุนเฉียว รู้ชัดว่าชายผู้นี้คือเจ้าของลำแสงกระบี่
เซียวเยวี่ยจับกระบี่มั่น เผชิญหน้ากับเหลียงไคด้วยใบหน้าหล่อเหลาไร้อารมณ์ แววตาของเขาไร้ซึ่งความกลัวโดยสิ้นเชิง
ผู้ฝึกตนกระบี่ควรกล้าเปิดฉากบุกโดยไม่กริ่งเกรงสิ่งใด
เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!
เหลียงไคเหยียดยิ้มเย็นชา หายตัวไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าของเซียวเยวี่ย
นัยน์ตาของเซียวเหมิงและเซียวเยวี่ยหดแคบ
เหลียงไคว่องไวเกินไป ความเร็วของเขาเกินจินตนาการไปแล้ว
ปัง!
หมัดหนึ่งหมัด หมัดธรรมดาหนึ่งหมัดซัดใส่เซียวเยวี่ย
ชายหนุ่มยกกระบี่เล่มยาวขึ้นพยายามป้องกัน
กระนั้นจังหวะที่กระบี่ของเขาปะทะหมัดของเหลียงไค กระบี่ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
แกร๊ง!
เซียวเยวี่ยกระอักเลือดออกมา รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะแตกสลาย ชายหนุ่มมึนงงก่อนจะหมดสติไปทันที ร่างของเขาร่วงหล่นจากกลางอากาศ ตกลงมาฟาดพื้นอย่างแรงจนฝุ่นตลบ
เซียวเหมิงเดือดดาลจนแผดเสียงคำรามดังลั่นออกมา เขาพุ่งเข้าหาเหลียงไคพลางสะบัดกระบี่ หลังกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไปหนึ่งชาม เขาก็สามารถปลดปล่อยพลังขั้นเซียนเทพออกมาได้ กระบ บี่ของเขาแข็งแกร่งขึ้นจากทั้งเลือดเนื้อและพลังปราณเที่ยงแท้ เขาต้องการฟันเจ้าคนน่าชังตรงหน้าด้วยกระบี่ของตัวเอง
ขั้นเซียนเทพรึ เจ้าเป็นขั้นเซียนเทพแล้วอย่างไรกัน
“ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามสามารถปลดปล่อยพลังรุนแรงได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าประหลาดใจนัก หากข้าสามารถเพิ่มพลังได้เช่นนั้นบ้าง คงไม่ต้องรั้งท้ายอันดับสิบของทายาทแห่งส สวรรค์อีกต่อไป ข้าต้องได้ก๋วยเตี๋ยวนั่น…”
แววตาของเหลียงไคปรากฏร่องรอยความโลภ
ภาพการบุกของเซียวเหมิงหาได้คุกคามจิตใจของเขาแม้แต่น้อย
เหลียงไคเพียงโบกมือเบาๆ ก็ตบกระบี่ของเซียวเหมิงได้แล้ว กระบี่ที่ทรงพลังของเซียวเหมิงแตกเป็นเสี่ยงๆ ตัวของเขาปลิวไปไกลก่อนจะกระอักเลือดออกมา
เหลียงไคยกมือขวาขึ้นสร้างฝ่ามือยักษ์จากพลังปราณเที่ยงแท้ เขาคว้าตัวเซียวเหมิงที่รัศมีพลังเริ่มจางและอ่อนกำลังลงก่อนจะโยนไปบนยานรบ
เหลียงไคจับตัวเซียวเหมิงไว้เพราะต้องการรู้เหตุผลเบื้องหลังความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างปุบปับของคนผู้นี้
เป็นเพราะก๋วยเตี๋ยวนั่นจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็อยากรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวนั่นเสียหน่อย
เซียวเหมิงตกลงบนดาดฟ้ายานรบพร้อมเสียงดังสนั่น หลังกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังปราณของตัวเองถูกผนึกไว้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ขั้นเซียนเทพจะมีพลังที่ร้ายกาจปานนั้นเชียวรึ” เซียวเหมิงพึมพำกับตัวเองด้วยอาการใจลอย
“แคก แคก... เขาไม่ใช่ขั้นเซียนเทพ” เสียงอ่อนแรงอีกเสียงหนึ่งดังมาจากข้างๆ เสียงนั้นฟังดูเหมือนคนกำลังหอบหายใจ
เป่ยกงหมิงมองเซียวเหมิงที่นอนอยู่บนพื้น เขาเอ่ยปากกับเซียวเหมิงหลังพยายามอ้าปากโกยอากาศเข้าปอด
เซียวเหมิงตื่นตกใจ… ไม่ใช่ขั้นเซียนเทพรึ
เหนือชั้นกว่าขั้นเซียนเทพหรืออย่างไร
สีหน้าของทุกคนบนกำแพงเมืองต่างเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
ใบหน้าของจีเฉิงเสวี่ยแข็งทื่อ เป็นไปได้อย่างไรกัน พอเซียวเหมิงกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเข้าไป พลังของเขาก็ขึ้นมาเทียบเท่าขั้นเซียนเทพ แล้วเหตุใดเขาจึงถูกจับตัวไปง่ายดายเช่นนั้น
จีเฉิงเสวี่ยตัวสั่นเทิ้ม เกือบประคองตัวเองไม่อยู่ จักรวรรดิวายุแผ่วเจ็บปวดมามากกว่าจะหาคนที่สามารถต่อกรกับขั้นเซียนเทพได้ ทว่าเรื่องนี้กลับเปลี่ยนความจริงไม่ได้
ชุดคลุมยาวของเหลียงไคปลิวไสวตามสายลมขณะเหาะมายังกำแพงเมือง เขามองจีเฉิงเสวี่ยที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหลียงไคยกยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก
“เจ้าคือจักรพรรดิของอาณาจักรใช่หรือไหม ตอนแรกนายน้อยผู้นี้ต้องการเพียงเปลวไฟจากนั้นก็จะจากไป แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวสักชามก่อนไป เจ้าจะยอมบอกชื่อ ร้านก๋วยเตี๋ยวกับข้า หรือ…”
เหลียงไคยิ้มอบอุ่นก่อนเอ่ย “จะยอมตาย”