ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 409 เจ้ากล้ามาก
“ข้าตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวสักชามก่อนไป”
คำพูดของเหลียงไคก้องอยู่ในหูของจีเฉิงเสวี่ย เขาผงะไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานนักก็ตระหนักได้ว่าเหลียงไคผู้นี้สนใจก๋วยเตี๋ยวอาละวาดของเถ้าแก่ปู้
ก๋วยเตี๋ยวอาละวาดช่วยเสริมพลังของผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามให้เทียบเท่าขั้นเซียนเทพได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะสะกิดใจยอดฝีมือผู้นี้
ทว่าการยอมให้ผู้ที่กำราบแม่ทัพเซียวเหมิงได้อย่างง่ายดายกินก๋วยเตี๋ยวอาละวาด ก็เท่ากับเสี่ยงให้พลังของคนผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน และอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่น่าสะพรึง งได้
พลังของฝ่ายตรงข้ามอาจพุ่งไปถึงขั้นที่ทำให้หัวใจของจีเฉิงเสวี่ยสั่นไหวรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“หือ อะไร เจ้าลังเลรึ”
เหลียงไคยิ้มให้จีเฉิงเสวี่ย แต่รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นกลับดูน่าพรั่นพรึงในสายตาของจักรพรรดิหนุ่ม
จีเฉิงเสวี่ยมีสีหน้าเป็นทุกข์ ภายใต้พลังกดดันที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมของเหลียงไค กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายของจักรพรรดิหนุ่มจึงสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขารู้สึกอึดอัดหายใจไ ไม่ออก
ตึง…
บนกำแพงเมือง เหล่ายอดฝีมือของอาณาจักรถูกพลังกดดันบังคับให้คุกเข่าลง สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดไม่ต่างกัน
ยอดฝีมือผู้ก้าวลงจากยานรบมีระดับปราณน่าเกรงขามยิ่ง บนยานรบเบื้องบน เซียวเหมิงพยายามพยุงตัวขึ้นจากดาดฟ้าเรืออันเย็นเฉียบ แววตาฉายร่องรอยของความสิ้นหวัง
เซียวเหมิงไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าเขาจะพ้นขั้นเซียนเทพไปแล้ว ‘ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้อยู่ขั้นใดกันแน่’ ความคิดของเซียวเหมิงยุ่งเหยิง
เขาคิดจะคว้าโอกาสสุดท้าย แต่ก็ถูกเหล่าศิษย์สำนักมหาพิภพบนยานรบกำราบไว้ก่อนจะทันได้ขยับตัวด้วยซ้ำ ระดับปราณของคนพวกนี้แข็งแกร่งพอจะข่มเซียวเหมิงได้
ชาวเมืองทุกคนในนครหลวงเกิดอาการสับสน ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งตื่นเต้นขนาดโห่ร้องยินดีตอนเห็นแม่ทัพเซียวเหมิงเล่นงานศัตรูอย่างดุเดือด แต่เพียงไม่นานแม่ทัพเซียวเหมิงก็ถูกฝ่ายตร รงข้ามตบปลิวขึ้นไปบนยานรบ
เซียวเหมิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป
ชาวเมืองที่กำลังตกตะลึงต่างตื่นตระหนักเมื่อเห็นเหลียงไคลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เหลียงไคเดินทอดน่องไปในท้องฟ้าทีละก้าว การมาถึงของเขาเหมือนหินก้อนยักษ์ที่กดทับหัวใจจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ บีบบังคับให้พวกเขาต้องถอยร่นหน้าถอดสี
เหล่าผู้ที่อ่อนแอกระอักเลือดออกมาแล้วหมดสติลงทันที
เหลียงไคลงมายืนข้างๆ จีเฉิงเสวี่ยพลางตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ
“บอกหน่อย เจ้าไปได้… ก๋วยเตี๋ยวนี่มาจากไหน” เหลียงไคพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั้งดวงตาตอนที่โลกรอบตัวเริ่มหมุน จิตของเขาเปลี่ยนเป็นเลอะเลือน ราวกับว่าทั้งจิตใจและร่างกายตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย ศีรษะหนักอ อึ้งและมึนงง เมื่อตั้งสติได้ ใบหน้าที่กำลังยกยิ้มจอมปลอมก็ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า อาการตระหนกทำให้ชายหนุ่มฟื้นคืนสติเต็มที่
“เจ้าทำอะไรข้า” หัวใจของจีเฉิงเสวี่ยเหมือนถูกบีบรัด
รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าของเหลียงไค เขาเหลือบมองจีเฉิงเสวี่ยแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา
เหลียงไคสะบัดแขนเสื้อฟาดจีเฉิงเสวี่ยกระเด็นทันที
ร่างของจีเฉิงเสวี่ยกระแทกกำแพงเมืองอย่างรุนแรงก่อนจะกระอักเลือดออกมา
“ฮึ… เป็นแค่จักรพรรดิของสนามฝึกซ้อม บังอาจปิดบังข้อมูลจากนายน้อยอย่างข้าหรือ” เหลียงไคหัวเราะ
สายตาของเขาเปลี่ยนไปจับจ้องด้านล่างของกำแพงเมือง ก่อนจะมองออกไป เป้าหมายคือทิศทางที่ตรงไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางเคี้ยวกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพที่นึ่งเสร็จใหม่ๆ ตุ้ยๆ
แม้ว่ากลิ่นหอมของเนื้อกุ้งตั๊กแตนจะมีความคาวและความเค็มของน้ำทะเล ทว่าเนื้อของมันก็หอมหวาน เนื้อสัมผัสแปลกประหลาดทำให้ปู้ฟางตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมพลางเคี้ยวไม่หยุด
บนกำแพงเมือง สายตาเกรี้ยวกราดที่พุ่งไปยังร้านแทบปรากฏเป็นลำแสงสายหนึ่ง
ปู้ฟางเองก็มองกลับไปอย่างเยือกเย็น สองสายตาปะทะกันกลางอากาศโดยปราศจากเสียง
เหลียงไคหัวเราะ เขาพบเป้าหมายแล้ว
นั่นหรือร้านที่จักรพรรดิเอ่ยถึงหลังถูกเขาสะกดจิต
น่าสนใจยิ่งนัก
เมื่อได้ตำแหน่งของเป้าหมายแล้ว เหลียงไคก็ไม่ไยดีจีเฉิงเสวี่ยอีก เขาตบเท้าลอยตัวขึ้นจากนั้นก็ลงสู่พื้น แล้วสืบเท้าไปที่ร้านโดยไม่รอช้า
ไม่นานนักเหลียงไคก็มาถึงหน้าร้าน
ปู้ฟางยังเคี้ยวกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพไม่หยุดขณะมองเหลียงไคด้วยสายตาเย็นชา
เซียวเสี่ยวหลงและคนอื่นๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอยกลับเข้าไปในร้าน โอวหยางเสี่ยวอี้หลบอยู่หลังปู้ฟาง พิจารณาชายผู้น่าเกรงขามแต่รูปงามด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าทำก๋วยเตี๋ยวที่สามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างนั้นรึ”
เหลียงไคมองปู้ฟาง ยกมุมปากขึ้นพลางเอ่ยถาม
ปู้ฟางไม่ได้ตอบกลับทันที แต่เลือกกัดเนื้อกุ้งตั๊กแตนที่แทบจะส่องประกายในมืออีกหนึ่งคำ
เขากินอย่างเปรมปรีดิ์ ทั้งตัวจมอยู่กับความเพลิดเพลิน
เมื่อหนำใจแล้ว ปู้ฟางจึงปรายตามองเหลียงไคก่อนจะตอบกลับ “ใช่”
“ข้าขอสักชาม” เหลียงไคยิ้ม
“ชามละหนึ่งร้อยผลึก” ปู้ฟางตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หนึ่งร้อยผลึกไม่ใช่ราคาที่สูงเกินไป
กระนั้นราคาของมันก็พิกลไปมากสำหรับก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม
เหลียงไคเลิกคิ้ว เขาไม่เคยเห็น… ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละหนึ่งร้อยผลึกมาก่อน ชายหนุ่มโบกมือสองข้างเรียกถุงผลึกออกมา เหลียงไคมองปู้ฟางก่อนจะโยนถุงไปให้ ผลึกถุงนั้นลอยตรงไปหาปู้ฟ ฟาง
ปู้ฟางกำกุ้งตั๊กแตนด้วยมือข้างหนึ่ง ยื่นมืออีกข้างรับถุงผลึกไว้ แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีตอนที่ยื่นมือออกไป
ปู้ฟางตระหนักได้ว่าถุงผลึกที่เหลียงไคโยนให้ถูกพลังมหาศาลตรึงเอาไว้กลางอากาศ ก่อนจะลอยกลับเข้ามือของเหลียงไคไป
ปู้ฟางขมวดคิ้ว ส่วนเหลียงไคฉีกยิ้มจอมปลอม
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้… เหตุใดข้าต้องให้ผลึกเจ้าด้วย เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะได้ผลึกของนายน้อยผู้นี้ หากข้าสั่งให้ทำ… เจ้าก็ต้องทำ ยังมีหน้ามารับผลึกจากข้าอีกรึ”
เหลียงไคมองปู้ฟางพลางเปล่งคำพูดสบประมาทออกมา
คำพูดขอชายผู้นี้สามหาวเสียจนโอวหยางเสี่ยวอี้ที่หลบอยู่หลังปู้ฟางถึงกับโกรธขึ้นมาทันที
และอารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กหญิง… ไม่อาจยับยั้งได้
ก่อนที่โอวหยางเสี่ยวอี้จะปะทุความโกรธออกมา ปู้ฟางก็ดันศีรษะนางกลับไปเสียก่อน สีหน้าของเขาไร้ความรู้สึก มองพิจารณาเหลียงไคด้วยสายตาเย็นชา เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าหยอกเขาเช่ นนี้ จิตใจภายใต้ใบหน้าที่เยือกเย็นของปู้ฟางแผดเผาไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ เขาสูดหายใจเข้าลึก
ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ เขาจะอัดหมอนี่ให้มีสภาพเหมือนหมูถูกทารุณเลย
‘ลองดูซิว่าหมอนี่จะยังขี้โอ่ได้อยู่หรือไม่ หลังจากถูกซ้อมจนกลายเป็นหมูแผ่น’
“เจ้ากล้ามาก” ปู้ฟางจ้องเหลียงไคพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ปู้ฟางกัดกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพอีกหนึ่งคำ เขาสะบัดมือแล้วโยนเนื้อกุ้งตั๊กแตนที่เหลือเข้ากระเป๋าคลังเก็บ
เหลียงไคผงะไป ไม่คิดไม่ฝันว่าคนที่อ่อนด้อยราวมดปลวกจะกล้าต่อปากต่อคำกับตนเช่นนี้ เขาหรี่ตามองปู้ฟางที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจ้าคือคนที่สองที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ คนแรกนั้น… ตอนนี้กำลังนอนเหมือนซากสุนัขอยู่บนยานรบ และทำได้เพียงมองข้าอย่างเจียมตัว เจ้ามันก็แค่คนขี้แพ้ในสนามฝึกซ้อม ไปกิ นดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนจึงกล้าพูดกับข้าเช่นนี้” เหลียงไคหัวเราะอย่างเดือดดาล
ชายหนุ่มเริ่มปล่อยพลังกดดันของชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ออกมา พลังกดดันนั้นรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนสีของสายลมและหมู่เมฆได้เลยทีเดียว
เกิดลมกระโชกแรงภายในพริบตา
เศษหินกระเด้งกระดอนขึ้นมาจากพื้นประหนึ่งว่าถูกดึงไปบนอากาศด้วยพลังที่มองไม่เห็น หินทั้งหลายแตกกระจายภายใต้พลังอันน่าหวาดกลัวจนเหลือเพียงฝุ่นผงแล้วถูกลมพัดลอยไป นี่คือพลั งกดดันของปราณระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพยังต้องศิโรราบราวคนไร้ฝีมือให้กับพลังกดดันนี้
เหลียงไคอยากเห็นว่าคนท้องถิ่นขั้นเทพแห่งสงครามที่ไร้ค่าผู้นี้ ยังกล้ามองเขาอย่างโอหังอยู่อีกหรือไม่
เหลียงไคเชื่อว่าคนท้องถิ่นในสนามฝึกซ้อมที่มีปราณเพียงระดับแปดต้องฟุบลงกับพื้นภายใต้พลังกดดันของเขา ไม่อาจขยับตัวได้ สีหน้าของคนผู้นี้จะต้องแสดงอาการหวาดกลัว แล้วทำตัว วอ่อนน้อมถ่อมตนขึ้นมาทันที
กระนั้นก็ดีเมื่อเหลียงไคปรายตามองปู้ฟาง ลูกตาดำของเขาก็ขยายกว้าง หัวใจสั่นสะท้าน พลางตะลึงงันไป
“เจ้าขี้แพ้นี่ควรนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นไม่ใช่รึ เกิดบ้าอะไรถึงยังยืนตรงอยู่ได้
“ท่าทางจะแข็งแกร่งไม่เบา ข้าเข้าใจแล้ว…” เหลียงไคหัวเราะเสียงเย็น เขาพลันเกิดความรู้สึกชื่นชมที่หาได้ยากต่อปู้ฟาง
พลังกดดันที่ออกมาจากร่างของเหลียงไคขยายใหญ่ขึ้น เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมถนนที่แตกร้าว มันแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังมหาศาล
เส้นผมของเหลียงไคปลิวไสวตามสายลม สายตาอำมหิตจับจ้องปู้ฟาง เขาต้องการเห็นปู้ฟางตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวภายใต้รัศมีพลังของตน
ทว่า…
ไม่ว่าเหลียงไคจะปลดปล่อยพลังออกมาเพียงใด คนที่อยู่ตรงหน้าก็ยังยืนหยัดอยู่ได้ ทั้งยังมองกลับมาด้วยสายตาที่เห็นเขาเป็นไอ้โง่ ปู้ฟางไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดดันของเขาสักนิด ด พลังซึ่งเรียกได้ว่าเกินต้านทานสำหรับขั้นเซียนเทพกลับไม่สามารถจัดการคนท้องถิ่นที่มีปราณระดับแปดได้
หึ่ง…
คลื่นพลังที่มองไม่เห็นกระจายอยู่ภายในร้าน ร่างหนึ่งพุ่งออกจากครัวด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ดวงตาสีแดงของมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงในเสี้ยวพริบตา ตอนพุ่งออกมา ดวงตาสีม่วงก็แปล เปลี่ยนเป็นสีเทาคล้ายน้ำแข็ง
“กำจัดให้สิ้นซาก!!”
เจ้าขาวตวาดออกมาสั้นๆ ขณะที่ร่างของมันทะยานตรงไปราวลมพายุ มันเหวี่ยงหมัดขนาดยักษ์ ก่อนจะกระทืบเท้าลงพื้นบดขยี้ก้อนหินเบื้องล่าง คลื่นพลังพลุ่งพล่านส่งเสียงหวีดหวิว
หมัดของเจ้าขาวกำลังจะซัดใส่ใบหน้าหล่อเหลาของเหลียงไค
ลมแรงพัดผ่านใบหน้าของชายหนุ่มจนผมของเขาปลิวไสว
ทว่าเหลียงไคกลับไม่ยี่หระแม้แต่น้อย เขาไม่รู้สึกกระวนกระวายใจแต่อย่างใด ใบหน้ากลับมีร่องรอยของความซุกซนปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง
ขณะที่หมัดอันทรงพลังของเจ้าขาวกำลังจะฟาดลงมา เหลียงไคก็ยกฝ่ามือขึ้น
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
คลื่นพลังกระจายไปทั่ว
หมัดของเจ้าขาวไม่ระคายเคืองเหลียงไคแม้แต่น้อย