ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 414 ใครกันที่จะตายถ้าไม่ใช่เจ้า
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 414 ใครกันที่จะตายถ้าไม่ใช่เจ้า
ลำแสงสีทองกระจายตัวออก เผยให้เห็นกุ้งตั๊กแตนสีทองที่ดูเหมือนวาดด้วยทองคำแท้ทั้งแท่ง
กุ้งตั๊กแตนลอยอยู่ในอากาศ ก้ามที่ดูเหมือนเคียวทั้งสองข้างยังคงส่องประกายอยู่เหนือศีรษะ มันกลอกดวงตาสอดส่ายไปมา มองไปที่เหลียงไคจากระยะไกล
การปรากฏตัวอย่างปัจจุบันทันด่วนของเจ้ากุ้งตั๊กแตนเหนือความคาดหมายของทุกคนไปมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้ากุ้งที่โดนทุกคนมองข้าม จะกระโดดออกมาในช่วงเวลาสำคัญแล้วซัดการโจมตีอันรุนแ แรงใส่เหลียงไค
โอวหยางเสี่ยวอี้ที่ประคองปู้ฟางไว้ในอ้อมแขน หันหลังกลับไปมองเจ้ากุ้งที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างอึ้งกิมกี่
เซียวเสี่ยวหลงชะลอฝีเท้าลงแต่ก็มาหยุดยืนอยู่ข้างเด็กหญิงพอดี
จากนั้นต้วนอวิ๋นก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเสียงดังวืด
เขาลากทั้งโอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเสี่ยวหลงออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
แม้เหลียงไคจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ และดูเหมือนว่าเจ้ากุ้งก็ไม่น่าจะหลีกหนีการถูกเหลียงไคสังหารไปได้ ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าหากไม่เข้าไปข ขวางทาง
เหลียงไคตัวสั่นรุนแรงพลางกระอักเลือดออกมา
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ เขาพยายามก้มหน้าลงมองร่างกายตนเอง แล้วก็เห็นแผลสดขนาดใหญ่ที่มีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เขา…เขาถูกไอ้กุ้งนี่หยามเป็นครั้งที่สองได้อย่างไรกัน!
เหลียงไคมองไปที่กุ้งตั๊กแตน รู้สึกโกรธมากเสียจนอยากกระอักเลือดออกมาอีกยก ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านรุนแรง ใบหน้าซีดเผือดเหมือนผี
“บัดซบ… ข้าจะจับเจ้ามาตุ๋นให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเสียเลย!”
ความโหดเหี้ยมพาดผ่านดวงตาของเหลียงไคขณะก้าวขาออกมาข้างหน้า
เจ้ากุ้งที่ลอยอยู่กลางอากาศโบกก้ามที่หน้าตาเหมือนเคียวของมันไปมา เมื่อเห็นเหลียงไคก้าวออกมา มันก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นลำแสงสีทองอร่าม จากนั้นร่างกายก็ขยับพุ่งลงไปด้านล่าง
ฉึก!!
เหลียงไคร้องเสียงหลงอีกครั้งอย่างทุกข์ระทม ร่างถูกเจาะทะลวงอีกคราจนเป็นรูโบ๋
ลำแสงสีทองสลายหายไป พร้อมเจ้ากุ้งที่ลอยเด่นอยู่กลางอากาศ ร่างกายของมันยังคงเป็นสีทองสว่าง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดแปดเปื้อน
ฉึก ฉึก!
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เจ้ากุ้งก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นลำแสงสีทองอีกครั้ง มันเจาะทะลวงร่างของเหลียงไคไม่หยุดหย่อน ทิ้งปากแผลเปิดเลือดสาดกระจายเอาไว้มากมาย
เหลียงไคกระอักเลือดออกมาไม่หยุด พลังปราณของเขาลดระดับลงอย่างรวดเร็ว
เขาอยากจะต้านทานพลังของเจ้ากุ้ง แต่กายาปีศาจอาทิตย์แผดเผาของเขาอ่อนแอเกินไปจนใช้งานอะไรไม่ได้เลยในตอนนี้
ตึง…
เขาเกลียดช่วงเวลานี้เสียเหลือเกิน!
ร่างกายที่พรุนไปด้วยบาดแผลทำให้เหลียงไครู้สึกได้ว่าชีพจรของตนกำลังอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความทุกข์และความเศร้าใจ
สิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์จากสำนักมหาพิภพที่เก่งกล้าสามารถจนอาจครองทั้งอาณาจักรนี้ได้ กลับมาถูกกุ้งตั๊กแตนโง่ๆ ในสนามฝึกซ้อมสังหาร
ช่างน่าอดสูอะไรเช่นนี้
ผมเผ้าของเหลียงไคหลุดลุ่ยไปหมด เขาหายใจเข้าลึกอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ชีวิตของเขากำลังมอดดับลงเรื่อยๆ
ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ที่หน้าอกมีรูโบ๋ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ทำให้หัวใจของเขาได้รับความเสียหายไม่น้อย
ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตเขาได้ ชายหนุ่มหมดเวรหมดกรรมแล้วในชาตินี้
บรรดาศิษย์จากสำนักมหาพิภพที่ยืนดูอยู่บนยานรบต่างตกใจเป็นอันมาก หลังจากอึ้งอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยรู้สึกได้ถึงความสยดสยองของสถานการณ์ตรงหน้า ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกล ลัวจับขั้วหัวใจ
ตายอีกแล้ว ตายอีกคนแล้ว
สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง!
ผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ถึงสองคนต้องมาจบชีวิตลงที่นี่
ผู้บัญชาการเฟิงและเหลียงไคเป็นผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์จากสำนักมหาพิภพทั้งคู่ พวกเขาควรจะแข็งแกร่งไร้เทียมทานในสนามฝึกซ้อม แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายยิ่งนัก
ทั้งสองคนจบชีวิตลงเสียแล้ว
ครืน…
พอร่างไร้ชีวิตของเหลียงไคตกลงกระแทกพื้น กระแสพลังปราณก็กระจายออกเป็นวงคลื่น
ลำแสงเจิดจ้าพุ่งออกจากร่างของเหลียงไคแล้วลอยเข้าหายานรบ พร้อมยันต์หยกที่พันรอบวิญญาณดวงหนึ่งเอาไว้
นี่คือเคล็ดวิชากู้ชีวิตของสำนักมหาพิภพที่มอบให้สิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ทุกคน แม้ร่างกายของพวกเขาจะถูกศัตรูสังหารจนไม่เหลือลมหายใจ แต่วิญญาณจะยังสามารถหลบหนีมาได้ด้วยยันต์ หยกนี้
ยันต์หยกนี้เป็นของล้ำค่ามาก มีไว้สำหรับสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์เท่านั้น
เจ้ากุ้งไม่ได้สนใจยันต์หยกแม้แต่น้อย มันพุ่งกลับมาหาปู้ฟางที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของโอวหยางเสี่ยวอี้
จากนั้นก็คลานขึ้นไปบนไหล่ของชายหนุ่ม แล้วผล็อยหลับลึกไปเรียบร้อย
วืด…
ยันต์หยกที่มีวิญญาณของเหลียงไคอยู่ภายในกลับมาที่ยานได้สำเร็จ
“ออกเดินทาง…กลับสำนักมหาพิภพเดี๋ยวนี้!!”
พอกลับขึ้นยานรบมาได้ เงาร่างของเหลียงไคก็ปรากฏขึ้นในยันต์หยก เขาตะโกนเสียงดังลั่น ตั้งใจจะออกจากสถานที่แสนอันตรายนี้ทันที
บรรดาศิษย์ของสำนักบนยานเริ่มเดินเครื่องอย่างรวดเร็ว
ยานรบเหล็กขนาดยักษ์ส่งเสียงคำรามอยู่กลางอากาศแล้วค่อยๆ หันหัวกลับ เดินหน้าออกห่างจากนครหลวง
เซียวเหมิงที่ยังอยู่บนยานรบเอามือกุมหน้าอกตนเองไว้ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขามองไปรอบๆ ฉวยโอกาสระหว่างที่หมู่ศิษย์กำลังโกลาหลวุ่นวายกระโจนออกจากยานรบเพื่อหลบหนี
บรรดาศิษย์จากสำนักมหาพิภพตกใจ แต่ก็ไม่ได้ติดตามเซียวเหมิงไปแต่อย่างใด
เป่ยกงหมิงลุกขึ้นยืนพลางเอามือเช็ดคราบเลือดที่มุมปากทิ้ง
เขามองวิญญาณที่เลือนจนแทบมองไม่เห็นของเหลียงไคซึ่งอยู่ภายในยันต์หยก ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
เขาค่อยๆ ก้าวไปหายันต์หยกทีละก้าว กล้ามเนื้อบนใบหน้าสั่นไปหมดขณะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะเต็มพิกัดของชายหนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เขาหัวเราะอย่างเอร็ดอร่อยจนท ทำเอาศิษย์สำนักทั้งหลายที่อยู่บนยานรบต้องหันกลับมามองด้วยความตกใจ
“เป่ยกงหมิง! ทำบ้าอะไร! ไอ้ขี้แพ้นี่! ไสหัวไปเสีย!”
เมื่อเห็นเป่ยกงหมิงกำลังเดินอาดๆ เข้ามาใกล้ตน เหลียงไคที่อยู่ในยันต์หยกก็กรีดร้องเสียงแหลมออกมา เสียงกรีดร้องนั้นเจือไปด้วยความหวาดหวั่นเล็กๆ ทำให้ยันต์สั่นสะเทือนตามเสียง งที่ดังออกมา
ศิษย์สองคนจากสำนักเข้ามากันเป่ยกงหมิงเอาไว้พลางถามเสียงเย็น “เจ้าจะทำอะไร”
เป่ยกงหมิงกลอกตาแล้วหันมามองศิษย์ทั้งสองคนนั้น เขาแสยะยิ้มร้ายกาจออกมา
“จะทำอะไรน่ะหรือ ไม่เห็นยาก ก็แก้แค้นอย่างไรเล่า…ข้ารอมาหลายปีดีดัก…ในที่สุดก็มีโอกาสแก้แค้นให้มันสาสมเสียที ใครที่ขวางข้าจะต้องตาย”
ตู้ม!!
พลังปราณระเบิดออกจากร่างเป่ยกงหมิง พุ่งเข้ากระแทกศิษย์ทั้งสองของสำนักมหาพิภพทันที
ร่างของชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้ารวดเร็วราวกับเป็นวิญญาณ จากนั้นก็ส่งฝ่ามือทั้งสองออกไป กระแทกเข้าใส่หน้าผากของคนทั้งคู่อย่างจัง
ศิษย์ทั้งสองตกลงกระแทกพื้นด้วยสีหน้าพรั่นพรึง ตายคาที่ทันทีด้วยฝ่ามือเดียว
เป่ยกงหมิงหัวเราะเสียงดังลั่น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปหมด
พวกที่เหลือไม่กล้าเข้ามากันเป่ยกงหมิงเลยสักคน
เหลียงไคที่อยู่ในยันต์หยกเองก็กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ! หากเจ้าฆ่าข้า…สำนักจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!”
เมื่อเห็นยันต์ที่สั่นสะท้าน เป่ยกงหมิงก็ถอนใจยาว ยันต์หยกนี้ถึงอย่างไรก็เป็นของเขา เขาต่างหากที่ควรจะเป็นสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกไอ้บ้าเหลียงไคชุบมือ อเปิบเอาไป
“ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร วันนี้ถึงอย่างไรทุกอย่างก็ต้องกลับมาเป็นของข้าเป่ยกงหมิงคนนี้อยู่แล้ว”
เป่ยกงหมิงยกยิ้มมุมปาก
เขายกมือขึ้นหยิบยันต์หยกมาถือไว้
เหลียงไคที่อยู่ในยันต์หยกพยายามดิ้นรนอย่างยากลำบาก ทั้งกรีดร้อง ทั้งโหยหวนอย่างเกรี้ยวกราด เขาทำแม้กระทั่งอ้อนวอนร้องขอชีวิต แต่เป่ยกงหมิงกลับไม่มีทีท่าว่าจะโอนอ่อนแม้แต่น้อ อย ทันทีที่ยันต์นี้ถูกทำลาย เหลียงไคคงต้องจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าชายหนุ่มยังไม่อยากตาย
“ใครกันเล่าที่จะตาย… ถ้าไม่ใช่เจ้า…” เป่ยกงหมิงเย้ยเบาๆ จากนั้นก็ออกแรงบีบมือ พลังปราณพุ่งกระจายไปทั่ว ยันต์หยกระเบิดกลายเป็นผุยผงพร้อมเสียงดังลั่น แหลกสลายคามือไม่เหลื อแม้แต่ซาก
สีหน้าของเหลียงไคบิดเบี้ยวอยู่ท่ามกลางกระแสพลังปราณ ก่อนจะสลายหายไป
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังจับขั้วหัวใจขณะมองมาที่เป่ยกงหมิง ปากกรีดร้องไม่หยุดหย่อน
เมื่อไม่มียันต์หยกแล้ว ดวงวิญญาณของเขาก็จะสลายหายไปในไม่ช้า
เหลียงไค สิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์จากสำนักมหาพิภพ…สิ้นชีพแล้ว
ศิษย์คนอื่นๆ บนยานรบไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเป่ยกงหมิงจะกล้าฆ่าเหลียงไคทิ้งดื้อๆ เช่นนี้ นั่นมันสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์เชียวนะ ศิษย์ที่สำนักเป็นคนเล ลือกฝึกเองกับมือ แต่กลับต้องมาตายง่ายๆ เช่นนี้
ตอนนั้นเองบรรดาศิษย์ทั้งหลายก็ตัวสั่นสะท้าน พวกเขาเห็นว่าสายตาของเป่ยกงหมิงตวัดมองมา สายตานั้นทั้งเย็นชาทั้งกระหายเลือด เป่ยกงหมิงตั้งใจจะฆ่าพวกเขาทิ้งเช่นกันหรือนี่!
“จะโทษว่า…พวกเจ้ามาเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ได้” พลังปราณจากกายของเป่ยกงหมิงทวีความรุนแรงขึ้น จากนั้นร่างของเขาก็กระโจนไปข้างหน้าด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ในกาย
ฉึก!
ศิษย์ที่เหลืออยู่ไม่อาจต้านทานเป่ยกงหมิงได้ ทุกคนถูกสังหารเรียบ เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณจนยานรบกลายเป็นสีแดงฉาน ยานรบทั้งลำเต็มไปด้วยซากศพมากมายและกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น
ร่างทั้งร่างของเป่ยกงหมิงชุ่มโชกไปด้วยเลือด เขาเดินออกไปที่ดาดฟ้าเรือช้าๆ เอามือจับระเบียงเอาไว้ จักรวรรดิวายุแผ่วที่อยู่เบื้องล่างค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ เขาจ้องลงไปด้านล่าง เขม็ง จนนครหลวงหายลับไปจากสายตา
…
ภายในนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นยานรบค่อยๆ ลอยออกไป ยานรบนั้นไม่ต่างอะไรจากเครื่องจักรสังหารที่ลอยตะคุ่มๆ อยู่เหนือศีรษะของพวกเขาตลอดเวลา พอมันหายไปทุกคนจึงรู้ส สึกโล่งใจขึ้นมา
การต่อสู้ครั้งนี้…เรียกได้ว่าเละเทะยิ่ง
จีเฉิงเสวี่ยเดินลงจากกำแพงเมืองด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะออกคำสั่งกับเหล่าขุนนาง เขาเริ่มเคยชินกับการเก็บกวาดซากจากการต่อสู้เสียแล้ว
ปู้ฟางกำลังนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ในร้าน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ รู้สึกเหมือนหนังตาของตนเองทำมาจากตะกั่วหนักอึ้ง เจ้าขาวเองก็ถูกฝูงชนยกเข้าร้านมาเช่นก กัน แต่ทุกคนที่เข้ามาในร้านคราวนี้กลับเงียบเป็นเป่าสาก
ไม่เคยมีใครเห็นเจ้าขาวในสภาพย่อยยับเช่นนี้มาก่อน
เจ้าขาวมีรอยบุบเต็มตัวไปหมด ตามรอยมีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาด้วย เจ้าขาวที่เคยไร้เทียมทาน บัดนี้กลับสภาพหลุดลุ่ยจนขยับตัวไม่ได้
ปู้ฟางเองก็ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไม่ต่างกัน
“วันนี้ร้านปิดแล้ว…ทุกคนรบกวนออกไปให้หมด”
ปู้ฟางพูดเสียงเบาบอกให้แขกออกจากร้านไป
โอวหยางเสี่ยวอี้และคนอื่นๆ อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสภาพในตอนนี้ของปู้ฟางและได้ยินเขาบอกให้ออกจากร้านไป ทุกคนก็ทำได้แต่ถอนหายใจแล้วทำตาม
ประตูถูกปิดลง
ปู้ฟางยืนพิงประตูอย่างหมดแรง รู้สึกหมดสภาพไปทั้งตัว เขาไม่อยากขยับแม้แต่น้อย นี่เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดที่เขาเคยเผชิญมา ชายหนุ่มใช้ทุกกลเม็ดที่ตนเองพอมีอยู่ แต่ก็ยั งสังหารศัตรูไม่ได้
หากไม่ใช่เพราะเจ้ากุ้งที่ช่วยทะลวงร่างเหลียงไคจนพรุนไปหมด เขาไม่อยากคิดเลยว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร
ปู้ฟางรู้สึกสิ้นไร้ไม้ตอกเป็นอันมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพลังปราณของเขาต่ำเกินไป แม้หลังจากใช้วงแหวนปราณอาหารเลิศรสแล้ว เขาก็ยังเป็นได้แค่ขั้นเทพแห่งสงครามอยู่วันยังค่ำ การ ที่เขาสามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับสิบได้ก็เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว คราวนี้เจ้ากุ้งเป็นพระเอกตัวจริง
แต่ปู้ฟางก็รู้ดีว่าปัญหาหลักในเรื่องนี้คือขั้นปราณของเขานั้นต่ำเกินไป เขาตระหนักแล้วว่าถ้าตนเองอยากใช้ชีวิตเป็นพ่อครัวอย่างสงบสุข…ก็ต้องมีพลังปราณที่แก่กล้าเสียก่อน มิเช่นนั้นก็จะมีคนมาตามราวีเขาเช่นนี้อยู่ร่ำไป
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง
จากนั้นก็เอนกายลงพิงประตู แล้วถามระบบเสียงเบา
“ระบบ…มีวิธีให้ข้าเพิ่มขั้นปราณเร็วๆ หรือไม่”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ระบบก็เอ่ยตอบ
“ระดับพลังปราณของนายท่านขึ้นอยู่กับยอดขายของร้าน การจะเพิ่มพลังปราณนั้น นายท่านต้องเพิ่มยอดขายของร้านให้ได้ หรือจะ…เปิดสาขาเพิ่มก็ได้เช่นกัน แต่ทันทีที่ตัดสินใจรับภารก กิจเปิดสาขาใหม่ นายท่านจะไม่สามารถกลับมาที่ร้านหลักได้ จนกว่าจะทำภารกิจเสร็จสิ้น”