ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 415 สาขาใหม่
“สาขาใหม่รึ”
ปู้ฟางชะงักไปเมื่อที่ได้ยิน เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าระบบจะตอบกลับมาเช่นนี้ แปลว่าร้านนี้มีหลายสาขาได้หรอกหรือ ชายหนุ่มรู้สึกสับสนพอตัว แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจสิ่งที่ระบบพยายามจะสื่อ
วิธีการเพิ่มรายรับของร้านนั้นมีอยู่สองวิธีด้วยกัน วิธีแรกคือการขายอาหารราคาแพงในร้านประจำนครหลวง ยิ่งขายอาหารราคาแพงได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลึกมาครอบครองเยอะขึ้นเท่านั้น ซึ่งถือเป็นวิธีการเพิ่มรายรับแบบปกติ
แน่นอนว่ามีอีกวิธีเช่นกัน ซึ่งก็คือการเพิ่มสาขาของร้านให้มากยิ่งขึ้น ระบบบอกว่าหากเพิ่มสาขาของร้านแล้ว รายรับที่เพิ่มขึ้นมาจะแปลงเป็นพลังปราณได้ หากร้านมีสองสาขา รายรับก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา
ถึงอย่างไรนครหลวงก็มีขนาดและจำนวนลูกค้าจำกัด แม้ปู้ฟางจะขายอาหารราคาแพงกว่านี้ได้ แต่ที่นี่ก็อาจจะไม่ใช่ตลาดที่ถูกต้องสำหรับอาหารเหล่านั้น ดังนั้นการเพิ่มสาขาจึงเป็นอีกทางเลือกที่เขาควรทำ
นอกเสียจากว่าปู้ฟางตั้งใจจะขลุกอยู่ที่ร้านนี้ไปตลอดชีวิต
ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ครั้งนี้ ปู้ฟางตั้งใจว่าจะทำร้านอาหารอย่างสงบสุข แต่หลังจากที่ต้องประมือกับเหลียงไค ชายหนุ่มก็กระจ่างใจว่าเขาจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ หากขั้นปราณยังไม่สูงพอ
หากขั้นปราณของเขายังไม่แข็งแกร่งนำหน้าใคร ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือแก่กล้ากว่าก็อาจมาขัดขวางไม่ให้เขาดำเนินกิจการอย่างปกติสุข ไม่ต่างอะไรจากการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
“ระบบ เจ้าใบ้ข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าจะเปิดสาขาใหม่ต้องทำอะไรบ้าง” ปู้ฟางยืดเส้นยืดสาย เอ่ยถามระบบขณะเดินกลับไปหาเจ้าขาวที่นอนอยู่บนพื้นร้าน เจ้าขาวรับศึกหนักมากในครั้งนี้ ร่างของมันบุบสลายไปทั้งตัว กระแสไฟรั่วออกจากบาดแผลเปิดตามร่างกาย
ปู้ฟางถอนใจแล้วยืดแขนออกไปลูบร่างของเจ้าขาว กระแสไฟไหลเข้ามาตามนิ้วมือของเขา
“ระบบยังไม่สามารถให้คำใบ้ได้ในตอนนี้ แต่หากนายท่านยังทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายในร้านสาขาไม่สำเร็จ ก็จะยังไม่สามารถกลับมาที่ร้านหลักได้” ระบบทำเพียงพูดประโยคเดิมซ้ำอีกครั้ง
ปู้ฟางรู้ดีว่าการจะสร้างร้านสาขาใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาคิดมาก เนื่องจากขั้นปราณยังอ่อนแอเกินกว่าจะสร้างทางเลือกให้ตนเองได้
“ระบบ ต้องทำอย่างไรจึงจะซ่อมเจ้าขาวได้” ปู้ฟางมองเจ้าขาวพลางถอนใจออกมาขณะเอ่ยถาม
เจ้าขาวอยู่เคียงข้างเขามาตลอดตั้งแต่เปิดร้านวันแรก ปู้ฟางทนเห็นมันพังหมดสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ
“ทันทีที่นายท่านจัดการเรื่องสาขาใหม่ตามพิกัดที่ระบบมอบหมายได้เรียบร้อย เจ้าขาวจะได้รับการซ่อมแซมให้เป็นปกติและพร้อมกลับมาทำงานได้ดังเดิม…” ระบบเอ่ยตอบปู้ฟางอย่างเคร่งขรึม
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขากลัวเหลือเกินว่าระบบจะบอกว่าเจ้าขาวจะต้องถูกนำไปแยกชิ้นส่วน ถ้าเป็นเช่นนั้นเห็นทีชายหนุ่มต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นลำแสงสว่างจ้าก็ส่องลงบนร่างของเจ้าขาว ลำแสงนั้นกะพริบอยู่สักพัก ก่อนที่ร่างของเจ้าขาวจะค่อยๆ จางลงแล้วหายวับไปกับตา
ปู้ฟางลุกขึ้นยืน ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอีกต่อไป เขาเชื่อมั่นในระบบอย่างเต็มเปี่ยม
ชายหนุ่มเก็บผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วสูดหายใจเข้าลึก เขาเอามือลูบตัวเจ้ากุ้งที่นอนหลับอยู่บนไหล่ จากนั้นก็หันหลังเตรียมตัวกลับเข้าห้อง
เจ้าดำยังคงนอนหลับอย่างสบายอุราอยู่ในห้องตอนที่เขาเดินเข้ามา เจ้าสุนัขอ้วนยังนอนหลับลึก แม้แต่กระแสพลังปราณที่ปั่นป่วนจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ทำให้มันตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด
ปู้ฟางมองเจ้าดำแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เขาถอดเสื้อผ้าที่โชกเลือดออก ก่อนจะอาบน้ำร้อนอย่างสบายกาย
ปู้ฟางรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ การพยายามเชื่อมพลังปราณในบะหมี่อาละวาดทั้งเก้าชามเข้าด้วยกันเพื่อสร้างวงแหวนปราณอาหารเลิศรสนั้น จัดว่าเป็นงานที่หนักหนาสาหัสสำหรับพลังจิตของเขามาก จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกมึนหัวขึ้นมา
พออาบน้ำเสร็จ ปู้ฟางก็คลานขึ้นเตียงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
…
ต้วนอวิ๋นออกจากร้านเล็กๆ ของฟางฟาง เขาเงียบเป็นเป่าสากขณะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ในร้านโอสถทิพย์ของตนเองเพื่อครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ พลางกวาดสายตามองเตาเล่นแร่แปรธาตุในร้าน
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องไปเก็บข้าวเก็บของเตรียมเดินทางออกจากเมืองในคืนนั้น เขาหันมองนครหลวงด้วยสายตาละห้อยหา จากนั้นก็จากเมืองไป
การต่อสู้เมื่อวานนี้ส่งผลต่อจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก หากต้วนอวิ๋นต้องการจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีใครมากวนใจ เขาจะต้องมีพลังปราณที่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตนเองได้ ด้วยขั้นปราณครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ หากวันหนึ่งเขาไปเจอคู่ต่อสู้ที่ต่อกรด้วยยาก... เห็นทีชีวิตสงบสุขที่เขาถวิลหาจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
แม้แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นปู้ฟางก็ยังหนีไม่พ้นความจริงข้อนี้
…
ณ ท้องพระโรงหลวงของนครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่ว จีเฉิงเสวี่ยและขุนนางแห่งราชสำนักใช้เวลาทั้งคืนในการคิดแผนการฟื้นฟูบริเวณที่เสียหายจากการต่อสู้ในนครหลวง
จีเฉิงเสวี่ยกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ไปเสียแล้ว
หากเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้า สถานการณ์ในครั้งนี้จัดว่าไม่หนักนัก ทำให้การก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ไม่ได้ยากเย็นอะไร
เซียวเยวี่ยเองก็ออกจากนครหลวงเมื่อจบการต่อสู้ครั้งนี้เช่นกัน เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนระฆังเตือนสติให้เขารู้สึกตัวว่าขั้นปราณของตนนั้นจัดได้ว่าอ่อนแอมาก เมื่อต้องเจอกับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งจริงๆ เขากลับทำไม่ได้แม้แต่จะป้องกันตนเองด้วยซ้ำไป ความรู้สึกนี้ทำให้เซียวเยวี่ยเป็นทุกข์อย่างมาก
ชายหนุ่มรู้ตัวแล้วว่าจะอยู่ในนครหลวงต่อไปไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากที่นี่ไม่ได้ช่วยเปิดโลกให้เขาแต่อย่างใด
เขาบอกลาสมาชิกตระกูลเซียวทุกคน เก็บข้าวเก็บของ แล้วจากนครหลวงไปในหนึ่งราตรี
…
แสงแดดส่องทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง
ปู้ฟางลืมตาที่ง่วงงุนมาเจอแสงแดดอุ่น ดูจากแดดที่ส่องเข้ามาแล้วตอนนี้เหมือนจะไม่ได้เป็นเวลาเช้าอีกต่อไป แต่ใกล้จะเที่ยงเต็มที เขายังไม่ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เอาแต่นอนกลิ้งไปมาบนเตียงอยู่สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน
ปู้ฟางลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วแต่งตัว พอเดินเข้าร้านมา เขาก็เห็นว่าร้านเปิดทำการแล้ว โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังจดรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งอยู่อย่างขะมักเขม้น
เสียงผัดอาหารดังลอยออกมาจากห้องครัว เซียวเสี่ยวหลงกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารทุกจานอย่างตั้งใจ
ปู้ฟางรู้สึกเหมือนสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย
“ภารกิจฉุกเฉิน ตั้งร้านสาขาขึ้นที่เมืองหมอกนภาในทวีปมังกรซ่อนเร้น รางวัลจากภารกิจ พลังปราณเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เวลาเตรียมตัว สามวัน” เสียงของระบบดังขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม
ปู้ฟางไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย เนื่องจากคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับภารกิจเร็วๆ นี้ เมืองหมอกนภานี่…ไม่ได้อยู่ในดินแดนทางใต้กระมัง
ปู้ฟางรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เนื่องจากเขาคิดว่าตนเองคุ้นเคยกับดินแดนทางใต้เป็นอย่างดี แต่กลับไม่เคยได้ยินชื่อเมืองหมอกนภามาก่อน ในเมื่อระบบเลือกเมืองนี้ให้เป็นสถานที่ตั้งสาขาใหม่เพื่อเพิ่มรายรับ ที่นี่จึงไม่น่าจะมีฐานลูกค้าให้ต่อยอดน้อยกว่านครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
“เมืองหมอกนภาเป็นหนึ่งในสามเมืองนักเล่นแร่แปรธาตุที่อยู่ภายในการกำกับดูแลของสำนักเล่นแร่แปรธาตุ เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญการปรุงยามากมายนับไม่ถ้วน อัตราการบริโภคอยู่ในระดับสูงมาก และการแข่งขันก็สูงเป็นเงาตามตัวเช่นกัน”
ระบบเริ่มอธิบายรายละเอียดให้ปู้ฟางฟังราวกับอ่านใจเขาออก
ปู้ฟางรู้สึกไปต่อไม่ถูกพอตัว
เมืองหมอกนภาเป็นหนึ่งในเมืองนักเล่นแร่แปรธาตุ การขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองนักเล่นแร่แปรธาตุ แปลว่าในเมืองจะต้องมีแต่คนอาชีพนี้เป็นหลัก
มุมปากของเขากระตุก ว่าแล้วเชียวว่าจะต้องไม่ใช่ภารกิจที่ทำสำเร็จได้ง่ายๆ แน่นอน
เมืองนักเล่นแร่แปรธาตุนั้นไม่เหมือนนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว แต่เป็นเมืองธรรมดาที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่โอสถทิพย์ธัญพืชอัดแท่งเป็นที่นิยมมาก เม็ดหนึ่งสามารถกินแทนอาหารปกติและอยู่ได้เป็นครึ่งเดือนเลยทีเดียว
ในเมื่อมีโอสถทิพย์เช่นนี้อยู่ แล้วในเมืองจะต้องมีร้านอาหารไปทำไม
นี่คือสิ่งที่ทำให้ปู้ฟางรู้สึกปวดศีรษะเป็นอันมาก
เขาส่ายหน้าแล้วเดินกลับเข้าครัวไปเพื่อเริ่มฝึกทักษะการทำอาหารประจำวัน
นายท่าน ปู้ฟาง
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้ ระดับแปด (ในฐานะชายที่จะก้าวขึ้นมาเป็นพ่อครัวเทพในโลกแห่งจินตนาการ ท่านได้ผ่านช่วงต้นของความอ่อนแอไร้ความหมายมาแล้ว เส้นทางในการก้าวไปสู่การเป็นพ่อครัวเทพต่อจากนี้จะทวีความยากยิ่งขึ้นไปอีก เริ่มขยายกิจการโดยการเปิดสาขาเพิ่มได้ การผจญภัยของท่านจะนำท่านไปสู่ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราว)
พรสวรรค์การทำอาหาร สี่ดาว
สาขา กำลังเตรียมการ...
ทักษะ ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับสอง (100/100) ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ระดับสอง (100/100)
อุปกรณ์ มีดทำครัวกระดูกมังกรทอง (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ) กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ พ่อครัวระดับกลาง (ศาสตร์การทำอาหารของท่านพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว และทักษะของท่านก็ซับซ้อนประณีตยิ่งขึ้น โลกแห่งการครัวที่แสนกว้างใหญ่ได้เปิดออกต่อหน้าท่าน และท่านสามารถเริ่มทำอาหารวิเศษได้)
ระดับของระบบ แปดดาว (อัตราการแปลงหน่วยร้อยเต็ม)
ปู้ฟางอ่านหน้าต่างของระบบแล้วก็พบว่าข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างสาขาใหม่ปรากฏขึ้นมาเรียบร้อย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเริ่มเตรียมตัวขยายสาขาแล้ว
แต่การตั้งสาขาใหม่นั้นทำให้ปู้ฟางไม่สามารถกลับมาที่ร้านในจักรวรรดิวายุแผ่วได้เร็วๆ นี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ที่นั่นนานพอควร ชายหนุ่มรู้สึกว่าทำใจได้ยากเหลือเกินที่จะจากลาเมืองแห่งนี้ไป
แม้เขาจะจากไปร้านก็ยังต้องเปิดทำการเหมือนเดิม หน้าที่ทั้งหมดจะตกอยู่ในมือของเซียวเสี่ยวหลง ปู้ฟางจะต้องกำกับหน้าที่ของเซียวเสี่ยวหลงให้ชัดเจน และสอนวิธีการทำอาหารบางจานให้เขาเพิ่ม
เซียวเสี่ยวหลงไม่รู้ว่าปู้ฟางจะจากไปเพื่อเปิดร้านอาหารสาขาใหม่ เขาคิดว่าชายหนุ่มจะจากไปไม่กี่สัปดาห์เหมือนที่ผ่านมา
เขามีประสบการณ์มากพอ และมั่นใจว่าตนเองจะดูแลร้านได้อย่างดีแน่นอน นอกจากนี้ยังสัญญากับปู้ฟางเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งใจฝึกทำอาหารอย่างสม่ำเสมอ ถึงกับบอกว่ชายหนุ่มจะต้องตกใจกับพัฒนาการอันก้าวกระโดดของเขาทันทีที่กลับมาแน่
โอวหยางเสี่ยวอี้สัมผัสได้ว่าครั้งนี้ปู้ฟางดูแปลกๆ ไป แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร นางอาจจะจับความรู้สึกได้ไวเพราะสัญชาตญาณความเป็นสตรีก็เป็นได้ นางสังเกตเห็นว่าปู้ฟางดูหงอยๆ ไปในคราวนี้
พอร้านปิดทำการในวันนั้น ชายหนุ่มก็เดินมาลูบหัวโอวหยางเสี่ยวอี้เบาๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กหญิงมองว่าผิดปกติเป็นอันมาก นางรู้สึกงุนงงเหลือเกิน ทั้งๆ ที่สีหน้าของปู้ฟางก็ดูปกติดี หรือนางอาจจะคิดมากไปเองก็ไม่รู้
หลังจากที่มองโอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเสี่ยวหลงเดินจากไป ปู้ฟางก็ปิดประตูร้าน
เขาเดินวนรอบร้านแล้วกลับไปที่ห้องของตนเองในที่สุด
เจ้าดำยังคงนอนหลับอุตุ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย บางทีมันอาจจะตื่นหลังจากที่เขาสร้างร้านสาขาใหม่เสร็จแล้วก็เป็นได้
เขาคิดกับตนเองขณะมองไปที่เจ้าดำ
เจ้ากุ้งนั่งอยู่บนไหล่ของเขาพลางกลอกตาไปมา
จุดแสงเริ่มปรากฏขึ้นบนศีรษะของปู้ฟาง และก่อตัวเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว
ปู้ฟางเดินไปที่หน้าต่างพลางมองไปยังทิวทัศน์ของนครหลวง สายตาดูลังเลเล็กน้อย
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนศีรษะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อย ลมพัดกระพือรุนแรงราวพายุ
การเคลื่อนย้าย…กำลังจะเริ่มต้นขึ้น