ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 417 ข้าวผัดไข่ไร้กลิ่น
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 417 ข้าวผัดไข่ไร้กลิ่น
“ว่าอย่างไรนะ เจ้าบอกว่าเถ้าแก่ปู้เดินทางออกจากนครหลวงไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
หนี่หยันจ้องมองโอวหยางเสี่ยวอี้ที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก หลังจากที่ถูกซักไซ้อยู่สักพักหนึ่ง เสี่ยวอี้ก็พยักหน้ายืนยัน
เสี่ยวอี้นั้นเคยชินกับวิถีชีวิตของปู้ฟางที่ออกเดินทางไปโน่นมานี่อยู่เป็นนิจเสียแล้ว ตัวของเถ้าแก่ปู้แทบจะไม่เคยอยู่ที่ร้านเลย ทุกๆ ครั้งที่เขากลับมา ชายหนุ่มจะคิดค้นอาหาร จานใหม่ขึ้นมาได้ จึงเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการเดินทางของปู้ฟางเป็นการออกเสาะแสวงหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์อาหารจานใหม่
หนี่หยันถอนใจและมีสีหน้าผิดหวัง นางต้องการพบเถ้าแก่ปู้และชิมอาหารรสมือเขา แต่เด็กหญิงตรงหน้ากลับไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่แห่งหนใด
หนี่หยันตัดใจ นางได้แต่หวังว่าโชคชะตาจะทำให้ได้พบพานเถ้าแก่ปู้อีกครา
หลังจากที่ทำใจได้ หนี่หยันก็สบายใจและสงบขึ้น รอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของนาง
พอกล่าวอำลาโอวหยางเสี่ยวอี้และเซียวเสี่ยวหลงแล้ว หนี่หยันก็หันหลังก้าวเดินออกมาจากร้าน ร่างงามระหงหายไปในถนนอันจอแจของนครหลวงอย่างรวดเร็ว
ถึงเวลาที่นางจะต้องออกจากดินแดนทางใต้แล้วเช่นกัน
…
ปู้ฟางรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งในห้องนอนราคาคืนละห้าสิบผลึก ราวกับว่าชายหนุ่มได้รับบริการที่สมราคาอย่างแท้จริง ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและสภาพแวดล้อมล้วนได้รับการตระเตรียมมาให้ ปู้ฟางใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย
วันต่อมา ชายหนุ่มตื่นแต่เช้าแล้วรีบไปแจ้งออกจากโรงเตี๊ยม แต่พนักงานวันนี้กลับไม่ใช่สตรีที่เขาพบเมื่อวานแต่อย่างใด
ปู้ฟางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะตั้งใจจะมาถามนางเรื่องร้านอาหารหมอกเมฆา
พอออกจากโรงเตี๊ยมอันหรูหรา ปู้ฟางก็เดินท่องไปตามท้องถนนของเมืองหมอกนภาอีกครั้ง คราวนี้เขาเดินโดยมีเป้าหมายอยู่ในใจตามทิศทางที่สตรีคนเมื่อคืนได้บอกกล่าวเอาไว้
เมืองหมอกนภากว้างใหญ่ไม่น้อย สิ่งปลูกสร้างเรียงแถวต่อๆ กันไปตามถนน มีตรอกซอกซอยและทางเดินซ้อนทับพัวพันกันไปมา เมื่อต้องย่างเท้าไปตามถนนหนทางของเมืองหมอกนภาแห่งนี้ ปู้ฟางก็ร รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในเขาวงกตอย่างไรอย่างนั้น
บนถนนมีรถที่ลากโดยอสูรเวทชนิดต่างๆ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอยู่ขวักไขว่
ความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่งภายในเมืองหมอกนภานั้นล้ำหน้าไปกว่านครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วมากนัก
ร้านขายโอสถทิพย์ตั้งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งถนน เจ้าของร้านทั้งหลายล้วนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทั้งสิ้น
การมองว่าอาชีพนักเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่ทำเงินได้เร็วนั้นเป็นเรื่องผิด อันที่จริงแล้วผู้ที่สามารถสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำมีอยู่เพียงหยิบมือ การเล่นแร่แปรธาตุมีโอกาสล้มเห หลวสูง ทันทีที่พลาด ทั้งทรัพยากรและแรงกายที่ทุ่มลงไปก็จะสูญสลายไปในพริบตา
นักเล่นแร่แปรธาตุเป็นอาชีพที่เสี่ยงมาก แถมการจำหน่ายโอสถทิพย์ในเมืองหมอกนภาก็ยากลำบากเพราะมีการแข่งขันที่สูงยิ่ง
ระหว่างกำลังก้าวผ่านร้านรวงข้างทางไป ปู้ฟางก็เกือบถูกฉุดกระชากเข้าไปในร้านบางร้านด้วยน้ำมือของข้ารับใช้ที่กระตือรือร้น
ขณะกำลังจะถูกดึงเข้าไปในร้าน ปู้ฟางก็ชักสีหน้าจริงจังและเย็นชา ก่อนจะปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ชายหนุ่มเลือกอาหารไม่ใช่โอสถทิพย์
“ร้านอาหารหมอกเมฆา… ดูเหมือนว่าเดินตรงขึ้นไปอีกสักหน่อยก็จะถึงแล้ว” ปู้ฟางก้มลงมองที่อยู่ในมือก่อนจะขมวดคิ้ว
ปู้ฟางผู้ที่มีกุ้งตั๊กแตนสีทองนอนงีบอยู่บนไหล่ก้าวฉับๆ ไปทางทิศของร้านอาหารเป้าหมาย
ขณะที่ก้าวเดินต่อไปตามทาง เสียงวุ่นวายก็ค่อยๆ จางหายไป ตึกรามสูงลิบถูกแทนที่ด้วยบ้านหลังเล็กจ้อย
บ้านเหล่านี้ดูผุพังและค่อนข้างเก่า ตรงกันข้ามกับตึกสูงที่ปู้ฟางเพิ่งเห็นอย่างสิ้นเชิง
เมื่อปู้ฟางเห็นบ้านเรือนเหล่านี้ความตื่นเต้นยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนว่าเขาใกล้จะถึงเป้าหมายเต็มที ชายหนุ่มก้าวไปอีกอึดใจก็พบว่าด้านหน้าเป็นร้านอาหาร
ร้านอาหารหมอกเมฆา
ป้ายร้านห้อยอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของปู้ฟางก็คือ ร้านอาหารแห่งสุดท้ายในเมืองหมอกนภานั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านแม้แต่โต๊ะเดียว
ทั้งๆ ที่เป็นร้านอาหารหนึ่งเดียวในเมือง ไร้ซึ่งคู่แข่งใดๆ เหตุใดจึงไม่มีลูกค้ากันเล่า
ปู้ฟางสับสนเล็กน้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็ก้าวเข้ามาในร้านอาหาร ความสะอาดของร้านอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งยังไม่มีกลิ่นอับชื้นอย่างที่บ้านเก่าๆ มักจะมี ถึงจะไม่มีลูกค้าสักคน แต่โต๊ะทุกตั วก็สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในร้านมีต้นไม้พลังปราณปลูกไว้สองสามต้น ต้นไม้เหล่านี้มีใบขึ้นดกและเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ อากาศภายในร้านอาหารบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอากาศด้านนอกเสียด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำคนหนึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะพนักงาน
แม้ว่าเสียงฝีเท้าของปู้ฟางจะเบาหวิวเมื่อก้าวเข้ามาในร้าน ร่างของชายหนุ่มผู้นั้นกลับสั่นไหว ดวงตากระตุกเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมามองปู้ฟาง
“ยินดีต้อนรับสู่ร้านอาหารหมอกเมฆา มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้หรือไม่”
เสียงนุ่มนวลของสตรีดังก้องออกมาขณะที่ชายหนุ่มร่างกำยำขยับตัว เขาเดินจากหลังโต๊ะมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าปู้ฟาง
ปู้ฟางจ้องมองร่างตรงหน้าด้วยสีหน้าฉงน
ข้าเข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือ สตรีที่โรงเตี๊ยมบอกว่าเพื่อนของนางเปิดร้านแห่งนี้ เพื่อนของนางก็น่าจะเป็นสตรีนี่นา…
เหตุใดบุรุษร่างกำยำผู้นี้จึงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากัน
บุรุษร่างกำยำผงะไปเมื่อเห็นว่าปู้ฟางยืนงุนงงอยู่อย่างนั้น เพื่อจะดึงความสนใจของอีกฝ่าย เขาจึงเอ่ยปากเรียกปู้ฟาง ทันทีที่บุรุษผู้นั้นเปิดปากพูด ปู้ฟางก็ขนลุกซู่
เสียงที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าเป็นเสียงของสตรี
ดูเหมือนว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเป็นสตรีผู้หนึ่ง
ปู้ฟางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้จะเป็นสตรีจริงๆ ดูเหมือนว่าเขามาถูกที่แล้ว
พอหายตกตะลึง ปู้ฟางก็ค่อยๆ ทำใจให้สงบ เขามองหาที่นั่งแล้วนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปมองสตรีร่างยักษ์ก่อนจะกล่าว
“เอาอาหารที่ดีที่สุดของเจ้ามา”
ปู้ฟางย่อมไม่ดูเบาหรือดูถูกร้านอาหารแห่งใดทั้งสิ้น ใครเลยจะล่วงรู้ว่าพวกเขาอาจทำให้ปู้ฟางประหลาดใจด้วยอาหารเลิศรสก็ได้ ยิ่งร้านเก่าแก่โอกาสที่จะมีอาหารสูตรพิเศษที่สืบทอดกัน นมาหลายชั่วอายุคนก็ยิ่งมีมาก
เมื่อได้ยินปู้ฟาง สตรีนางนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางหรี่ตาลงก่อนจะรีบรุดเข้าไปในห้องครัว ร่างกายใหญ่ยักษ์โยกย้ายไปมา
เมื่อปู้ฟางเห็นสตรีนางนั้นโบกมือขึ้นลงขณะวิ่งไปในห้องครัว มุมปากของปู้ฟางก็กระตุกถี่รัวใครจะไปคาดคิดว่าภาพของคนร่างใหญ่ที่วิ่งด้วยท่าทางราวเด็กสาวตัวเล็กๆ…
จะน่าสยดสยองถึงเพียงนี้
ปู้ฟางคาดว่าเหตุผลที่ร้านอาหารแห่งนี้ว่างเปล่าก็เพราะสตรีผู้นี้นั่นเอง
ฉ่า!
เสียงผัดอาหารและเสียงกระทะเหล็กกระทบตะหลิวดังแว่วออกมาจากในครัว
ปู้ฟางสัมผัสได้ว่าเสียงนั้นดังออกมาเป็นจังหวะ
แต่ชายหนุ่มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาเบื่อจนแทบจะขาดใจขณะเฝ้ารออาหาร ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด ปู้ฟางก็ไม่ได้กลิ่นหอมโชยออกมาจากห้องครัวแม้แต่น้อย
ตามปกติอาหารประเภทผัดย่อมต้องผลิตกลิ่นออกมาบ้าง และด้วยจมูกอันเฉียบคมของปู้ฟาง เขาจะต้องได้กลิ่นอย่างแน่นอน
จู่ๆ ปู้ฟางก็รู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัด ชายหนุ่มเริ่มกลัวและกังวล
ผ่านไปพักหนึ่งสตรีกำยำก็เดินถือชามอาหารควันฉุยออกมาจากห้องครัว ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มขณะตรงมายังปู้ฟาง
“ข้าวผัดไข่อย่างนั้นหรือ”
ปู้ฟางเบิกตากว้าง จับจ้องไปที่อาหารตรงหน้า มันดูเหมือนข้าวผัดไข่ไม่ผิดเพี้ยน การที่สตรีนางนี้ทำข้าวผัดไข่ออกมาได้โดยที่ไม่ส่งกลิ่นแม้แต่น้อยก็นับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่งเช่นกั น
ปู้ฟางถึงกับอับจนถ้อยคำขณะจ้องมองข้าวผัดไข่ไร้กลิ่นตรงหน้า ข้าวนั้นถูกผัดจนเริ่มดำ ทักษะการทำอาหารของสตรีนางนี้เทียบเท่าได้กับสาวน้อยโอวหยางเสี่ยวอี้ไม่มีผิด
“ท่านลูกค้าได้โปรดลองชิม เป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกินแล้วตั้งแต่ที่ข้าทำอาหารครั้งสุดท้าย เพราะเหตุนี้ทักษะของข้าจึงอาจอ่อนด้อยลงไปบ้าง” สตรีกำยำพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย ก่อน นจะทำท่าบิดเอวที่ใหญ่เท่ากะละมังอย่างรุนแรง
ปู้ฟางสูดลมหายใจเข้าลึก แต่ก็ยังไม่ได้กลิ่นอะไรแม้สักนิด สีหน้าของเขาหม่นลง ชายหนุ่มยกช้อนกระเบื้องก่อนจะตักข้าวผัดไข่ขึ้นมาหนึ่งช้อนพูน
“โฮ่! สงสัยดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ววันนี้ มีคนมากินข้าวที่ร้านโกโรโกโสนี่ด้วย”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังจะยัดข้าวผัดไข่เข้าปาก น้ำเสียงล้อเลียนก็ดังมาจากนอกร้าน คนพูดดูจะประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นลูกค้าอยู่ในร้าน
ทันทีที่สตรีกำยำได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางหันไปมองที่ทางเข้าร้านด้วยสายตาเศร้าสร้อย
มีคนสองคนกำลังเดินเข้ามาในร้านอาหารหมอกเมฆา
ทั้งสองสวมชุดยาวสีดำ ใบหน้าของคนหนึ่งเต็มไปด้วยความดูถูกขณะมองไปรอบๆ ร้าน เขาพ่นลมเยาะออกมาจากริมฝีปาก
“หนานกงหมิง เจ้าต้องการสิ่งใดกัน ข้ากำลังดูแลลูกค้าอยู่ หากจะมาสร้างปัญหา รออีกสักพักค่อยกลับมาใหม่”
สตรีร่างกำยำเคลื่อนตัวมาใช้ร่างกายของนางขวางปู้ฟางเอาไว้ นางยืนจังก้าแถมน้ำเสียงยังเจือไปด้วยความเย็นชา
เมื่อพูดกับคนทั้งคู่เสร็จ สตรีกำยำก็หันมามองปู้ฟางด้วยสีหน้าอบอุ่น
“ท่านลูกค้าเจ้าคะ โปรดกินอาหารให้อร่อยเถอะเจ้าคะ ข้าหยางเหม่ยจี๋ จะคอยปกป้องไม่ให้มีใครมารบกวนท่านลูกค้าขณะกินอาหารเป็นอันขาดเจ้าค่ะ”
นางจะยอมให้ใครมารบกวนลูกค้าของนางได้อย่างไรกัน แถมลูกค้ารายนี้ยังเป็นลูกค้ารายแรกในช่วงระยะเวลาเนิ่นนานเสียด้วย
นางรับช่วงต่อร้านอาหารนี้มาจากบิดา เป้าหมายของนางไม่ใช่การหาเงินแต่อย่างใด กลับกันนางต้องการเก็บรักษาอดีตอันยิ่งใหญ่ของร้านอาหารนับไม่ถ้วนภายในเมืองหมอกนภาไว้ต่างหาก
“หยางเหม่ยจี๋เอ๋ยหยางเหม่ยจี๋ เจ้าเชื่อว่าตัวเองจะหยุดพวกข้าได้จริงๆ น่ะหรือ ข้าไม่คิดเลยว่าจะยังมีคนเลือกมากินอาหารที่ร้านอาหารอยู่อีก หึๆๆ… โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดมากมายจริงๆ”
หนานกงหมิงเดินอาดๆ ตรงเข้ามา ส่วนหยางเหม่ยจี๋ก็ถลึงตาใส่อีกฝ่าย นางก้าวขาออกไปข้างหน้าอีกก้าวเพื่อขวางเขาเอาไว้
ก่อนที่หยางเหม่ยจี๋จะทันได้ขยับต่อเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้างหนานกงหมิงก็ก้าวออกมาแล้วใช้มือจับไหล่นางไว้ เพื่อหยุดไม่ให้นางเข้าใกล้หนานกงหมิงไปมากกว่านี้
“ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพอย่างนั้นหรือ” หยางเหม่ยจี๋จ้องเด็กหนุ่มผู้นั้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
หนานกงหมิงก้าวผ่านหยางเหม่ยจี๋แล้วนั่งลงตรงหน้าปู้ฟาง เขาจับจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้
“เจ้าไม่ใช่คนของเมืองหมอกนภา เพราะหากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็คงไม่มากินอาหารที่ร้านอาหารแห่งนี้” หนานกงหมิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้บอกไปแล้วว่าใครก็ตามที่มากินอาหารที่ร้านนี้ เท่ากับประกาศตนเป็นศัตรูกับข้า”
ปู้ฟางมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะจ้องข้าวผัดไข่ในช้อนกระเบื้อง ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะขยับช้อนเข้าใกล้ปาก
ปู้ฟางไม่ได้ยินสิ่งที่หนานกงหมิงพูดเลยสักนิด ถึงต่อให้ได้ยินชายหนุ่มก็ไม่สนใจจะตอบ ขณะกำลังกินอาหาร ปู้ฟางไม่คิดสนใจสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มบรรจงยัดข้าวผัดไข่ร้อนฉ่าในช้อนเข้าปา าก เมินหนานกงหมิงโดยสิ้นเชิง
หืม
หัวใจของปู้ฟางสั่นระรัว ชายหนุ่มรู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ
“เจ้าน่ะ… หูหนวกหรืออย่างไร ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ” หนานกงหมิงจ้องปู้ฟางที่เมินเขาเขม็ง แววตาของเขาตอนนี้ปรากฏความไม่พอใจออกมา
ชายหนุ่มยกมือทุบโต๊ะอย่างแรง เสียงดังสนั่นสะเทือนก้องในหูของหยางเหม่ยจี๋ นางกระโดดตัวโยนด้วยความกลัว
แหวะ!
นัยน์ตาของปู้ฟางเบิกโพลง ทันทีที่ฝ่ามือหนานกงหมิงสัมผัสโต๊ะ ปู้ฟางก็ไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเปิดปากแล้วปล่อยให้ทุกสิ่งที่อยู่ภายในพวยพุ่งออกมา อาหารทั้งหมดพุ่ง งตรงไปสัมผัสใบหน้าของหนานกงหมิง
หนานกงหมิงตัวชา ใบหน้าของเขาตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยเมล็ดข้าวและเศษไข่ เขามองปู้ฟางด้วยสายตาว่างเปล่า
ปู้ฟางยกมือสองข้างขึ้นตบหน้าตัวเองก่อนทอดถอนใจยาว ชายหนุ่มแสยะยิ้มออกมาน้อยๆ แม้ว่าสีหน้าจะบ่งบอกถึงความกลัว”
“ข้าวผัดไข่จานนี้… รสชาตินรกเรียกพี่”