ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 418 โอสถหลากรสอดอาหารรสชาติเหมือนมูลสุนัข
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 418 โอสถหลากรสอดอาหารรสชาติเหมือนมูลสุนัข
แผละ!
เสียงหนักๆ ดังขึ้นเมื่อผัดไข่ตกลงบนโต๊ะ
ปู้ฟางแสยะยิ้มใบหน้ามืดครึ้ม ชายหนุ่มจับจ้องข้าวผัดไข่ตรงหน้าด้วยความกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจ บัดนี้เขากระจ่างแล้วว่าเหตุใดจึงไม่มีใครมากินอาหารในร้านอาหารแห่งสุดท้ายของเมืองหมอกนภาเลยสักคนเดียว
ข้าวผัดไข่จานนี้มันกินได้ด้วยหรือ
อาหารเช่นนี้ทำคนตายได้เลยนะ!
ร่างของหนานกงหมิงยังคงตื้อชา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธเลอะไปข้าวผัดไข่จากปากของปู้ฟาง
ไข่ชิ้นขนาดเท่าหัวแม่มือชิ้นหนึ่งค่อยๆ ไหลลงไปตามใบหน้าของเขา
เสียง ‘แผละ’ ดังขึ้นเมื่อไข่ชิ้นนั้นตกลงบนโต๊ะ เสียงดังกล่าวฟังดูคมชัดดังก้องไปทั่วร้านอาหารอันเงียบสงัด
บรรยากาศภายในร้าน ณ ตอนนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่ง
หลังจากระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด ปู้ฟางก็กำจัดความรู้สึกคลื่นเหียนออกไปได้จนหมด
“ข้าวผัดไข่ของเจ้ากระเดือกไม่ลงแม้แต่น้อย เจ้ากล้าดีอย่างไรมาเปิดร้านอาหารด้วยฝีมือเพียงเท่านี้” ปู้ฟางยกมือเช็ดปากก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นพลางจับจ้องไปยังหยางเหม่ยจี๋ ชายหนุ่มเกรี้ยวกราดเป็นอย่างยิ่ง ร้านอาหารเพียงแห่งเดียวที่เขาสู้อุตส่าห์ตามหาอย่างยากลำบากกลับทำอาหารที่กินไม่ได้ให้เขา ข้าวผัดไข่จานนี้แข็งราวหินก็ไม่ปาน
เกียรติยศของความเป็นร้านอาหารไปอยู่เสียที่ไหนหมดแล้ว
การกล้าขายอาหารเช่นนี้นำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อร้านอาหารเป็นอย่างยิ่ง ปู้ฟางโมโหมากจึงพูดทุกอย่างออกไปโดยไม่ยั้งปาก
หยางเหม่ยจี๋และเด็กหนุ่มจ้องมองปู้ฟางด้วยสีหน้าประหลาด ราวกับพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าปู้ฟางจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหลังจากที่กินข้าวผัดไข่ไปคำเดียว
เมื่อหยางเหม่ยจี๋รู้ถึงความไม่พอใจที่ปู้ฟางมีต่ออาหารของนาง ใบหน้าเปี่ยมกล้ามเนื้อก็แดงขึ้นมา ประกายแห่งความละอายปรากฏขึ้นในแววตา
“ข้า…”
ปัง!
ก่อนที่หยางเหม่ยจี๋จะทันได้โต้ตอบ หนานกงหมิงผู้ที่กำลังจะสำรอกก็เช็ดข้าวผัดไข่ออกจากหน้าก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ
โต๊ะตัวนี้ไม่เหมือนโต๊ะในร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ถึงแม้ว่าระดับปราณของหนานกงหมิงจะยังไม่ถึงขั้นเซียนเทพ แต่ก็อยู่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม แรงของฝ่ามือทำเอาโต๊ะแหลกเป็นเสี่ยงเลยทีเดียว
ข้าวผัดไข่ตกพื้นก่อนจะกระจายเกลื่อนไปทั่ว
“เจ้าน่ะ กล้าพ่นอาหารใส่หน้าข้า เหนื่อยจะหายใจแล้วหรืออย่างไร”
ดวงตาของหนานกงหมิงเย็นเยียบขณะลุกยืนพลางจ้องมองปู้ฟาง
ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุที่รักความสะอาดเป็นชีวิตจิตใจ หนานกงหมิงรู้สึกสะอิดสะเอียดหลังถูกปู้ฟางพ่นข้าวผัดไข่ใส่เต็มคำ ขณะนี้ความคิดในศีรษะของชายหนุ่มมีเพียงอย่างเดียว คืออัดบุรุษน่ารังเกียจตรงหน้าให้ลงไปนอนวัดพื้น
ประการแรก เจ้าหนุ่มคนนี้กล้าต่อต้านหนานกงหมิงด้วยการมากินอาหารที่ร้านแห่งนี้ ประการที่สองที่สำคัญกว่านั้น คนผู้นี้ยังกล้าพ่นข้าวผัดไข่ใส่หน้าหนานกงหมิง หนานกงหมิงรู้สึกว่าหมอนี่ช่างหน้าด้านและบ้าบิ่นดีแท้
สีหน้าของหยางเหม่ยจี๋เปลี่ยนไปทันที นัยน์ตาของนางเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าหนานกงหมิงกำลังจะอัดปู้ฟาง หญิงสาวคำรามออกมาดังลั่น “หนานกงหมิง จะทำอะไรน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ร่างใหญ่โตของนางขยับรวดเร็วราวพายุมาขวางหน้าหนานกงหมิงเอาไว้
ร่างกายของหยางเหม่ยจี๋นั้นแข็งแรงพอๆ กับบุรุษกำยำ รัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากร่างไม่หยุดหย่อน
“นายท่านผู้นี้เป็นลูกค้าของร้านอาหารหมอกเมฆา หากเจ้ากล้าลงมือ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้เป็นอันขาด”
“เหอะ! หยางเหม่ยจี๋ เจ้ากล้าทำให้ชื่อเสียงของปรมาจารย์เสวียนเปยแปดเปื้อน เจ้าเป็นถึงศิษย์ของเขา แถมยังมีพรสวรรค์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุ แต่กลับวิ่งเข้ามาในซอกรูหนูแล้วเปิดร้านอาหาร เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเปิดร้านอาหารในเมืองหมอกนภามีความหมายเช่นไร”
หนานกงหมิงกลอกตาก่อนจะเหลือบมองร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของหยางเหม่ยจี๋ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“หมายความว่าเจ้ามันโง่เขลา ตั้งแต่ที่ตระกูลหนานกงของข้าคิดค้นโอสถอดอาหารหลากรส ก็ไม่มีใครหน้าไหนโง่เขลาพอที่จะมาเปิดร้านอาหารในเมืองหมอกนภาแห่งนี้ ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุด้วยกัน เจ้าเองก็ควรฉลาดพอที่จะเข้าใจความจริงข้อนี้”
หยางเหม่ยจี๋กำหมัดแน่น ดวงตาทั้งสองของนางแดงก่ำ กล้ามเนื้อบนใบหน้าเริ่มกระตุก ราวกับไม่อาจยอมรับได้ว่าร้านอาหารไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว
“อ้อ อย่างนี้เองหรอกหรือ ไอ้โอสถรสชาติเหมือนมูลสุนัขนั่นตระกูลของเจ้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาสินะ”
ขณะที่หนานกงหมิงกำลังเดือดดาล คนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังร่างกายใหญ่โตของหยางเหม่ยจี๋ น้ำเสียงราบเรียบกระทบโสตประสาทของหนานกงหมิง
หยางเหม่ยจี๋ตกตะลึง กระทั่งหนานกงหมิงและเด็กหนุ่มข้างกายก็ยังอึ้งไปกับคำพูดของปู้ฟาง พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีใครกล้าใช้คำหยาบคายถึงเพียงนี้เรียกโอสถอดอาหารหลากรส นั่นเพราะโอสถนี้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลหนานกง
ขนทั่วตัวของหนานกงหมิงตั้งชันขณะจับจ้องร่างกายเพรียวบางของปู้ฟางด้วยนัยน์ตาอาฆาต
ไอ้หมอนี่รนหาที่แล้ว ราวกับว่าการพ่นข้าวผัดไข่ใส่หน้าหนานกงหมิงนั้นไม่เพียงพอ นี่ยังกล้ามาลบหลู่ตระกูลหนานกงอีก
อันที่จริงปู้ฟางไม่ได้คิดดูถูกตระกูลหนานกงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่วิจารณ์โอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกงก็เท่านั้น
แต่คนผู้นี้คิดจริงๆ หรือว่าหนานกงหมิงจะไม่ลงมือสังหารเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา” หนานกงหมิงพูดเสียงเนิบขณะสูดลมหายใจเข้า สายตายังคงจับจ้องใบหน้าของปู้ฟางไม่หยุด
“โอสถอดอาหารหลากรสเข้าไปกดทับและควบคุมหนึ่งในสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ จัดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดทั้งหลักคุณธรรมและจริยธรรม ข้าพูดสิ่งใดผิดไปเล่า ความรู้สึกยินดีที่ได้กินอาหารอร่อยไม่ใช่สิ่งที่โอสถทิพย์รสชาติเหมือนมูลสุนัขจะมาแทนที่ได้” ปู้ฟางพูดอย่างไร้อารมณ์
ชายหนุ่มไม่คิดเหลือมารยาทเอาไว้แม้สักนิด เขาจงเกลียดจงชังโอสถอดอาหารอะไรนั่นยิ่งนัก
สีหน้าของหยางเหม่ยจี๋ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว นางรีบยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อของปู้ฟาง
การปรากฏของโอสถอดอาหารหลากรสนั้นเปลี่ยนวิถีชีวิตของประชากรในเมืองหมอกนภาไปจริงๆ
ก่อนที่โอสถอดอาหารหลากรสจะปรากฏ เมืองหมอกนภามีร้านอาหารตั้งอยู่ดาษดื่นทั่วทั้งเมือง
ทว่าตั้งแต่ที่โอสถอดอาหารหลากรสปรากฏขึ้น ร้านอาหารทั้งหมดในเมืองหมอกนภาก็พากันปิดตัวลง โอสถอดอาหารหลากรสเพียงเม็ดเดียวมีสารอาหารเพียงพอให้อยู่ไปได้หลายวัน ไม่เพียงเท่านั้น โอสถนี้ยังมีรสชาติหลากหลาย เพราะการมีอยู่ของโอสถที่สะดวกสบายถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะอยากเสียเวลาไปกินอาหารที่ร้านอาหารอีก
“หยางเหม่ยจี๋ ดูเหมือนว่าลูกค้าของเจ้าคนนี้จะเป็นคนที่พิเศษนัก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าเห็นคนกล้าลบหลู่โอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกงต่อหน้า!” หนานกงหมิงพูดพร้อมฉีกยิ้ม รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างของหยางเหม่ยจี๋สั่นไหวขณะที่นางก้าวขาออกมาข้างหน้า เข้ามายืนขวางระหว่างปู้ฟางและหนานกงหมิงไว้
“หยางเหม่ยจี๋ เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการสิ่งใด วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะต้องการหรือไม่ เจ้าก็ต้องขายร้านอาหารของเจ้าให้ข้า สำหรับไอ้หมอนี่ มันจะต้องชดใช้ให้กับสิ่งที่มันพูด” ประโยคมุ่งร้ายหลุดออกมาจากปากของหนานกงหมิง
เมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพข้างกายหนานกงหมิงก็เริ่มเคลื่อนไหว
กลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งปะทุออกมาจากร่างขณะที่เด็กหนุ่มพุ่งเข้าใส่ปู้ฟาง
หยางเหม่ยจี๋เบิกตากว้าง จับจ้องไปยังหนานกงหมิงด้วยสีหน้าโกรธเคือง กล้ามเนื้อทั้งร่างของนางขยายใหญ่ขณะก้าวขาออกมาข้างหน้า ก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นใส่ขั้นเซียนเทพคนนั้น
“ห้ามใครแตะต้องลูกค้าของร้านข้า!”
ปัง!
หยางเหม่ยจี๋ผู้ที่มีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามซัดขั้นเซียนเทพจนซวนเซไปหลายก้าวอย่างไม่น่าเชื่อ
ท่าทางดุดันและอาจหาญของนางทำเอาปู้ฟางตกตะลึงไป
นี่นางเป็นสตรีจริงๆ น่ะหรือ
สีหน้าของเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพถมึงทึง ช่างเสียเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่เขาถูกคนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามผลักกระเด็น
สีหน้าของเด็กหนุ่มเยือกเย็น เขาพุ่งตัวเข้าไปหาหยางเหม่ยจี๋แทน รัศมีทรงพลังแผ่ซ่านออกมาจากร่างขณะใช้พลังปราณที่เหนือกว่าจัดการกับนางอย่างเต็มกำลัง
เมื่อหนานกงหมิงมองเห็นภาพนั้น รอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ทั้งเขาและหยางเหม่ยจี๋ต่างก็เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามแห่งเมืองหมอกนภา และเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เสวียนเปยด้วยกันทั้งคู่
พรสวรรค์ของหยางเหม่ยจี๋เหนือกว่าหนานกงหมิง ดังนั้นเสวียนเปยอาจารย์ของพวกเขาจึงนิยมชมชอบนางมากกว่าหนานกงหมิง
หลังศึกษาจบจากสำนักเล่นแร่แปรธาตุ หยางเหม่ยจี๋ควรเลือกศึกษากับเสวียนเปยต่อ แต่ใครเลยจะคาดคิดว่านางกลับมารับช่วงร้านเก่าคร่ำคร่าของตระกูลและเปิดเป็นร้านอาหารโกโรโกโสขึ้นมา
หนานกงหมิงรู้ทันทีว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว
ตอนอยู่ในสำนักเขาถูกหยางเหม่ยจี๋ข่มมาตลอด ตั้งแต่ที่พวกเขาจบการศึกษาจากสำนัก หนานกงหมิงก็ต้องการให้นางชดใช้ให้สิ่งที่เคยทำกับตนไว้ในสำนัก
นางเป็นห่วงร้านนักไม่ใช่หรือ
หนานกงหมิงตัดสินใจว่าเขาจะซื้อร้านอาหารแห่งนี้ และทำให้สตรีหน้าโง่ผู้นี้กลายเป็นคนไร้บ้าน
ปัง!
อย่างไรเสียหยางเหม่ยจี๋ก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ถึงแม้นางจะพึ่งพากายาศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาแต่กำเนิดและรับมือเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพได้ระยะหนึ่ง นางก็ยังถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นร่วงลงมาทับโต๊ะตัวหนึ่งแหลกละเอียดอยู่ดี
ชั่วอึดใจเดียว ร้านอาหารก็พังยับเยิน ซากโต๊ะเก้าอี้กระจายเกลื่อนไปทั่วบริเวณ
เส้นผมของเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพปลิวไสวไปด้านหลัง เด็กหนุ่มจ้องหยางเหม่ยจี๋ที่นอนหมอบอยู่กับพื้นพลางยิ้มเยือกเย็น
แต่รอยยิ้มนั้นกลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
นั่นเพราะหยางเหม่ยจี๋คลานกลับขึ้นมาก่อนจะเอาร่างไปป้องกันปู้ฟางไว้อย่างดื้อดึง
“นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยอับอายยิ่งนักที่ต้องให้ท่านมาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านรีบไปเสียเถิด… ข้าจะถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้เอง”
หยางเหม่ยจี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้ว่าร่างกายจะสั่นเทาก็ตาม
ปู้ฟางมองไปทางหนานกงหมิงและเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพผู้ที่กำลังยิ้มเยาะหยางเหม่ยจี๋ แล้วหันศีรษะกลับมามองหยางเหม่ยจี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด
กุ้งตั๊กแตนสีทองที่นอนอยู่บนไหล่เริ่มขยับ ดูเหมือนว่ามันจะแค่ลุกมาจัดท่านอนใหม่ให้สบายยิ่งขึ้น…
ปู้ฟางลูบหัวเจ้ากุ้งน้อยเบาๆ ก่อนถอนหายใจออกมา
เปรี้ยง!
หยางเหม่ยจี๋ถูกซัดกระเด็นไปอีกครั้ง นางร่วงลงทับโต๊ะตัวสุดท้ายของร้านจนพังไม่มีชิ้นดี
เจ้าหนุ่มขั้นเซียนเทพดูจะเริ่มรำคาญกับความดื้อดึงของนางแล้ว
หลังจากโดนกำปั้นเข้าไป หยางเหม่ยจี๋ก็ล้มลงบนพื้นไม่เป็นท่า พลังปราณเที่ยงแท้ของเด็กหนุ่มปรากฏออกมาในรูปแบบของใบมีดคมกริบ เขาต้องการจะทำให้ร่างกำยำเปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อตรงหน้านี้พิการ อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ดูเหมือนสตรีอยู่แล้ว
นัยน์ตาของหนานกงหมิงส่องประกาย เขาไม่ได้พยายามจะหยุดเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพ จึงทำให้เจ้าหนุ่มนั่นยิ่งลำพองด้วยความมั่นใจ เขายิ้มเยาะกับตนเองอยู่ในใจ
ศิษย์ที่กล้าไม่แยแสปรมาจารย์เสวียนเปยนั้นมีอะไรให้น่าเสียดายกัน
อย่างไรเสียหนานกงหมิงก็ตั้งใจจะใช้วิธีสกปรกแย่งร้านอาหารของนางมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ดวงตาของเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพฉายแววตื่นเต้น เขายกใบมีดคมกริบที่เกิดจากพลังปราณเที่ยงแท้ขึ้น ก่อนจะวาดมันไปทางหยางเหม่ยจี๋ ใบมีดนั้นตัดผ่านอากาศขณะพุ่งตรงเข้าไปหาสตรีเจ้าของร้าน
ร่างของหนานกงหมิงสั่นเทาด้วยความตื่นเต้นขณะเฝ้ามองทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“นางผู้หญิงโง่… ตายเสียเถอะ!”
ฟึ่บ...
ก่อนที่ใบมีดแหลมคมซึ่งเกิดจากพลังปราณเที่ยงแท้จะฟันคอหยางเหม่ยจี๋ วัตถุสีดำก็มาปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่ม้เสียก่อน กระทะสีดำใบหนึ่งบดบังสายตาของเขาไว้
ในสายตาของเขา กระทะสีดำใบนั้นใหญ่ขึ้นทุกขณะที่มันขยับเข้ามาใกล้
ตู้ม!
เสียงทึบดังสนั่นขณะที่เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะตาย วิญญาณใกล้หลุดลอยไปสู่สรวงสวรรค์ ใบหน้าของเขากระทบเข้ากับกระทะสีดำอย่างจัง เขารู้สึกราวกับว่ารายละเอียดต่างๆ ในชีวิตถูกฉายผ่านดวงตาทันทีที่ใบหน้าสัมผัสเข้ากับกระทะ
“ข้าบอกว่าไอ้โอสถอดอาหารอะไรนี่มันก็ขี้หมาดีๆ นี่เอง มีอะไรข้องใจรึ”
หลังจากที่ฟาดเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพด้วยกระทะ ปู้ฟางก็หันไปมองหนานกงหมิง เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพปลิวกระเด็นไป ขณะที่ปู้ฟางหันมาถามคำถามนั้นกับชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในร้าน