ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 419 เปลี่ยนเถ้าแก่ร้าน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 419 เปลี่ยนเถ้าแก่ร้าน
เกิดเสียงดังกึกก้องเมื่อเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพซึ่งมากับหนานกงหมิงร่วงกระแทกพื้นอย่างจัง เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มเขาไม่หยุดหย่อน
เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของตนไม่ใช่ของตนอีกต่อไป เขาเจ็บจมูกมากเสียจนสัมผัสได้ถึงโลกแห่งความทุกข์ทรมาน มันทำให้เขาน้ำตาไหลพรากๆ
หนานกงหมิงสูดหายใจลึกพลางมองปู้ฟางด้วยอาการตกตะลึง เนื่องจากปู้ฟางเพิ่งซัดยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจนปลิวไปไกล
หนานกงหมิงไม่คาดคิดว่าชายที่อยู่นอกสายตาผู้นี้จะมีความแข็งแกร่งอย่างเหนือความคาดหมาย ถึงขนาดเล่นงานยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจนหมดท่าได้
หมอนี่ถืออะไรในมือ กระทะเช่นนั้นหรือ เขาใช้กระทะเล่นงานยอดฝีมือขั้นเซียนเทพหรือนี่
ภาพตรงหน้าเป็นสิ่งที่สุดจะจินตนาการได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนใช้กระทะเป็นอาวุธ
คนผู้นี้เป็นพ่อครัวรึ
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในสมองของหนานกงหมิง ขณะจ้องมองปู้ฟางด้วยสายตามืดมนและซับซ้อน
หยางเหม่ยจี๋ตะลึงงัน กระทั่งคลานขึ้นจากพื้นแล้วก็ยังอ้าปากค้างอยู่ กล้ามเนื้อทุกมัดของนางสั่นกระตุกขณะมองปู้ฟางและกระทะของอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง
ปู้ฟางทำเพียงเพ่งมองหยางเหม่ยจี๋ที่ดูปลอดภัยดี ก่อนหันหลังกลับมาเผชิญหน้าหนานกงหมิง
หนานกงหมิงกัดฟันกรอด กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อยขณะมองปู้ฟางด้วยสายตาเย็นชา
ความรู้สึกร้อนเหมือนใบหน้าถูกลวกเบาบางลงหลังจากเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพปาดน้ำตา
เด็กหนุ่มมองปู้ฟางด้วยสายตามุ่งร้าย
“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว”
เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกพลางกัดฟันกรอด ทันใดนั้นรัศมีน่าเกรงขามก็ค่อยๆ พุ่งออกจากร่างของเขา
การที่ขั้นเซียนเทพเช่นเขาต้องมาบาดเจ็บด้วยน้ำมือของผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามที่โผล่มาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ถือเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง
ปัง!
พลังปราณเที่ยงแท้ของเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพพุ่งออกมาแล้วหมุนวนประดุจมังกรคลั่ง เส้นผมของเขาปลิวสะบัดขณะมองปู้ฟางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นเขาก็สืบเท้ามาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้ว วส่งร่างตนเองให้พุ่งออกไป เด็กหนุ่มดันฝ่ามือหมายกระแทกใส่ปู้ฟาง
ทั้งที่กำลังจะถูกจู่โจมแต่สายตาของปู้ฟางกลับไม่แยแส สีหน้ายังคงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก
มีกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในมือ การรับมือยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั่วๆ ไปจึงถือเป็นเรื่องง่าย คนพวกนี้ไม่อาจต้านทานกระทะของเขาได้
เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพตรงหน้าปู้ฟางเพิ่งบรรลุขั้นเซียนเทพชั้นต้น ดังนั้นปู้ฟางจึงไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด เขาไม่คิดกินบะหมี่อาละวาดด้วยซ้ำ ปู้ฟางถ่ายพลังปราณเที่ยงแท้ลงไปใน กระทะ ทำให้มันเรืองแสงสีทองเจิดจ้าออกมา
รัศมีน่าเกรงขามของเด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพน่าพรั่นพรึงมาก แต่ละก้าวย่างของเขาทำให้พื้นใต้ฝ่าเท้ากระจุยกระจาย
เศษหินดินทรายปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ
เขายกฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดลงมาด้วยท่วงท่าผ่าเผย
และครั้งนี้เด็กหนุ่มขั้นเซียนเทพก็ออกแรงเต็มกำลัง เพราะเชื่อว่าตนไม่มีทางถูกฟาดกระเด็นอีกครั้งแน่ เขาถือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นผลจากความประมาทของตัวเองและการล ลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวของคู่ต่อสู้
การลอบโจมตีทั้งปวงล้วนเปล่าประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์
ปัง!
เสียงทุ้มดังก้องไปทั่ว
พลังแกร่งกล้าพุ่งออกจากกระทะ
ผู้เยาว์ขั้นเซียนเทพถึงกับงุนงงไป นั่นเพราะพลังปราณเที่ยงแท้จากฝ่ามือของเขาถูกกระทะฟาดจนกระจัดกระจาย
เขารู้สึกจุกในอกก่อนจะกระอักเลือดออกมา
ครั้งนี้เขาไม่ได้ถูกฟาดจนหน้าหงาย แต่แรงกระแทกกลับส่งเขาลงไปกระแทกพื้น หน้าอกกระเพื่อมรุนแรงขณะอ้าปากหอบหายใจ
เป็นไปได้อย่างไรกัน…
สีหน้าของหนานกงหมิงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาไม่คาดคิดว่าหนึ่งในลูกน้องขั้นเซียนเทพของตนจะเสียท่าให้กับผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามง่ายดายปานนี้
ความกลัวเข้าท่วมท้นในใจของหนานกงหมิงอย่างไม่อาจยับยั้งได้ ขณะมองชายที่ใช้กระทะปราบลูกน้องของตนอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลหนานกงของข้ารึ ในเมืองหมอกนภา ศัตรูทุกคนของตระกูลหนานกงล้วนมีจุดจบไม่ดี” ใจของหนานกงหมิงสั่นสะท้านขณะใช้ชื่อเสียงของตระกูลข่มคนตรงหน้า
ตระกูลหนานกงคือหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหมอกนภา พวกเขาควบคุมทรัพยากรของหอโอสถเกือบทั้งหมด ที่ดินและธุรกิจการค้าก็มีอยู่ทั่วเมือง แถมยังมีเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุฝีมือดีจำนว วนมากในสังกัด อิทธิพลของพวกเขาไม่อาจมองข้ามได้ มีสถานะประหนึ่งเจ้าเหนือหัวในเมืองหมอกนภาและไม่มีผู้ใดกล้าเป็นปรปักษ์
กระนั้นก็ดี ตระกูลหนานกงย่อมไม่ออกโรงเพื่อหนานกงหมิงคนเดียวแน่ เขาแค่พยายามใช้ชื่อเสียงของตระกูลขู่ขวัญปู้ฟางเท่านั้น
ทว่าน่าเสียดายที่เขาเลือกใช้แผนนี้ผิดคน
หากเป็นคนของเมืองหมอกนภา พวกเขาอาจกลัวจนหัวหด
แต่ปู้ฟางไม่รู้จักตระกูลหนานกง และต่อให้รู้จัก คนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำให้เขากลัวได้
อย่างไรเสียเขาก็เป็นพวกหัวแข็งที่กล้าใช้กระทะประมือกับยอดฝีมือระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ทั้งที่มีปราณเพียงระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเท่านั้น
ปู้ฟางเตะยอดฝีมือขั้นเซียนเทพปลิวไปไกลก่อนตกกระแทกพื้นอย่างแรง คนผู้นั้นกระอักเลือดแล้วพยายามอย่างหนักเพื่อพยุงตัวเองขึ้น
“ไปเสีย! เจ้าของร้านอาหารหมอกเมฆาจะไม่ขายร้านนี้ให้เจ้า” ปู้ฟางประกาศอย่างใจเย็นพลางกวาดสายตามองไปทั่วร้าน
หนานกงหมิงอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะเย็นชา เขาอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ลูกตาดำกลับหดลงฉับพลัน
ปัง
หนานกงหมิงเห็นปู้ฟางเอากระทะสีดำฟาดพื้นอย่างแรงจนพื้นสั่นสะเทือน ภาพนี้ทำให้เขาหวาดกลัวไม่น้อย
หนานกงหมิงกลับหลังหันเดินตรงไปที่ประตูร้านอย่างไม่นึกลังเล
“คอยดูเถอะ… ไม่ช้าทั้งเมืองก็จะขายโอสถอดอาหารของตระกูลข้า เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะแห่ไปซื้อและร้านของเจ้าก็จะร้างไร้ผู้คน คอยดู เจ้าจะกลายเป็นตัวตลกของเมืองหมอกนภาแห่งนี้ ”
ขณะกำลังก้าวออกจากร้าน หนานกงหมิงก็หันหน้ามาเล็กน้อยพลางยิ้มเยาะพวกเขา
หนานกงหมิงตั้งใจจะพูดเย้ยอีกสักหน่อย แต่กลับใจหายแวบเมื่อเห็นปู้ฟางยกกระทะสีดำขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขารีบหมุนตัวแล้วเดินออกชนิดไม่รีรอสักนิด
ความเงียบสงบกลับคืนสู่ร้านอีกครั้ง
ทว่าร้านที่ตอนแรกสะอาดเอี่ยมอ่องกลับสกปรกและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
หยางเหม่ยจี๋ถอนหายใจพลางมองความเละเทะรอบร้าน นางคุ้นชินกับเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว
หยางเหม่ยจี๋เอ่ยขอบคุณปู้ฟาง ก่อนถกแขนเสื้อแล้วเริ่มเก็บกวาดร้าน โต๊ะเก้าอี้พังยับ พื้นร้านเป็นหลุมเป็นบ่อ ร้านไม่มีวงแหวนปราณคอยปกป้องจึงไม่อาจต้านทานความพินาศที่เกิดจาก กการพลังของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ หลังทำความสะอาดสักพัก ร้านก็กลับมาเอี่ยมอ่องเหมือนเดิม
กระนั้นในร้านก็ไม่มีโต๊ะกับเก้าอี้สักตัว เหลือเพียงร้านเปล่าๆ เท่านั้น
“นายท่านเจ้าคะ ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านต้องมาเห็นภาพไม่น่าดูเช่นนี้” หยางเหม่ยจี๋เอ่ยขอโทษปู้ฟาง
สีหน้าของหยางเหม่ยจี๋ซีดเซียวดูน่าเกลียด นางรีบหยิบขวดกระเบื้องจากกระเป๋าคลังเก็บ เทยาเม็ดกลมออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกลืนลงคอ
ปู้ฟางมองหยางเหม่ยจี๋ ก่อนหยิบขนมปังหอยนางรมจากกระเป๋าคลังเก็บของระบบแล้วโยนให้อีกฝ่าย
“กินซะ มันฟื้นฟูพลังปราณเที่ยงแท้ได้เร็วกว่าโอสถนั่น” ปู้ฟางกล่าว
ตอนรับขนมปังหอยนางรมมา หยางเหม่ยจี๋ถึงกับตกตะลึง
“สิ่งนี้คืออะไร กลิ่นหอมดีเหลือเกิน มันกินได้ใช่หรือไม่”
หยางเหม่ยจี๋เหลือบมองปู้ฟางด้วยสายตากังวล ก่อนกัดขนมปังหอยนางรมเข้าไปหนึ่งคำ นัยน์ตาของนางเบิกกว้างกลมโต แววตาเต็มไปด้วยความกังขาระคนแปลกใจ
เจ้านี่จะอร่อยเกินไปแล้ว!
นางไม่เคยชิมของอร่อยเช่นนี้มาก่อน!
หลังจากกินขนมปังหอยนางรมเข้าไปคำใหญ่ หยางเหม่ยจี๋ก็ห้ามตัวเองไม่อยู่แล้วกินส่วนที่เหลือเข้าไปอีกหลายคำ
พอได้กินหอยนางรมอร่อยล้ำที่อยู่ในขนมปังหอยนางรม นางก็ตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ออกมา
หยางเหม่ยจี๋เติบโตในเมืองหมอกนภา วันๆ ได้กินแต่โอสถอดอาหารหลากรส เพราะร้านอาหารทุกแห่งในเมืองล้วนปิดกิจการเนื่องจากขาดทุน มีเพียงร้านของตระกูลนางที่เหลือรอดมาได้
ทว่าร้านอาหารหมอกเมฆาไม่มีพ่อครัวแม่ครัว แล้วจะทำอาหารอร่อยๆ ออกมาได้อย่างไร
นานมากแล้วที่นางได้กินอาหารซึ่งทำให้รู้สึกปลื้มปริ่มจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ขณะกินร่างใหญ่โตของหยางเหม่ยจี๋ก็สั่นเทิ้ม ราวกับว่านางสะอื้นเป็นพักๆ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าอาหารที่กำลังกินประทับจิตประทับใจเพียงใด
“เจ้าคงได้ยินที่หมอนั่นพูดก่อนไป” ปู้ฟางมองหยางเหม่ยจี๋ที่กำลังเคลิบเคลิ้มก่อนจะพูดออกมา
หยางเหม่ยจี๋ผงะ สีหน้าเปลี่ยนเป็นหมองหม่นอีกครั้ง
“ข้าได้ยินแล้ว หากแถวนี้เต็มไปด้วยร้านโอสถทิพย์ที่ขายโอสถอดอาหารหลากรส ร้านอาหารหมอกเมฆาจะกลายเป็นตัวตลกสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง” หยางเหม่ยจี๋พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
นางรู้ตัวว่าตนเองไม่มีพรสวรรค์มากพอที่จะเป็นแม่ครัว การเปิดร้านอาหารเกิดขึ้นเพราะความเชื่อมั่นของนางล้วนๆ
ก็อย่างที่หนานกงหมิงพูดไว้ หยางเหม่ยจี๋มีพรสวรรค์ด้านเล่นแร่แปรธาตุ นางเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามและเคยเป็นศิษย์ของปรมาจารย์เสวียนเปย
“แล้วเจ้าอยากให้ร้านอาหารหมอกเมฆากลายเป็นตัวตลกรึ” ปู้ฟางถามอย่างจริงจัง
หยางเหม่ยจี๋อึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะออกอาการกระวนกระวายใจ
“แน่นอนว่าต้องไม่อยาก ร้านอาหารหมอกเมฆาคือผลจากความอุตสาหะของท่านพ่อข้า ข้าจะปล่อยให้มันเป็นตัวตลกของเมืองหมอกนภาได้อย่างไร แต่การจะทำกิจการร้านอาหารในเมืองหมอกนภาเป็น นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว หยางเหม่ยจี๋ก็รู้สึกอับจนหนทาง
ปู้ฟางสำรวจร้านอาหารหมอกเมฆาอย่างพินิจพิเคราะห์ และค่อนข้างพึงพอใจ
เขากำลังมองหาร้านอยู่พอดี ร้านอาหารหมอกเมฆาถือว่าเหมาะสมมิใช่หรือ
“ข้ามีทางที่จะทำให้ร้านอาหารหมอกเมฆาไม่กลายเป็นตัวตลกของคนในเมืองหมอกนภา” ปู้ฟางกล่าวกับหยางเหม่ยจี๋ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทางไหน” หยางเหม่ยจี๋ถามด้วยความตื่นเต้นจนร่างใหญ่โตสั่นไหว
ปู้ฟางไม่ได้ตอบนางทันที เขาเอามือไพล่หลังแล้วเดินวนรอบร้านอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “เจ้าแค่ยกร้านอาหารหมอกเมฆาให้ข้า”
หยางเหม่ยจี๋ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนร่องรอยความโกรธจะปรากฏบนใบหน้า “ท่านก็อยากฮุบร้านของข้ารึ ท่านอยากเปิดร้านโอสถทิพย์ใช่หรือไหม ข้าหยางเหม่ยจี๋ไม่มีวันยอมเด็ดขาด”
นางคาดไม่ถึงว่าปู้ฟางเองก็ต้องการร้านอาหารหมอกเมฆาเช่นกัน จึงโกรธมากเพราะรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายหักหลัง
ปู้ฟางมองหญิงสาวด้วยสายตาพิกล
“ใครบอกว่าข้าอยากเปิดร้านโอสถทิพย์ ข้าอยากเปิด…ร้านอาหาร แต่ข้าต้องเป็นเจ้าของร้านเอง…” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
ภารกิจของระบบระบุว่าเขาต้องเปิดร้านสาขา ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นเจ้าของร้าน ถ้าจะให้ช่วยร้านอาหารหมอกเมฆา เขาจำเป็นต้องเป็นเจ้าของร้านแห่งนี้
เรื่องนี้ยังเป็นผลดีต่อหยางเหม่ยจี๋ด้วย เพราะปู้ฟางแน่ใจแล้วว่านางไม่เหมาะกับการทำร้านอาหารแม้แต่น้อย
“หากท่านจะเปิดร้านอาหาร เช่นนั้นข้าก็ยอมรับได้ แต่ว่าต้องมีเงื่อนไข”
ความจริงที่ว่านางไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอแต่กลับตกลงทันที ถือได้ว่าเกินกว่าที่ปู้ฟางคาดเอาไว้ มันทำให้เขารู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา
“ว่ามา เงื่อนไขอะไร” ปู้ฟางถาม
หยางเหม่ยจี๋ตื่นเต้นมากจนเนื้อตัวสั่นสะท้าน “ข้อแรก มันต้องชื่อร้านอาหารหมอกเมฆาเหมือนเดิม และข้อสอง หากท่านรักษามันไว้ไม่ได้ ท่านต้องคืนมันให้ข้า”
ปู้ฟางขมวดคิ้วพลางจ้องมองหยางเหม่ยจี๋อย่างลุ่มลึกสักพักก่อนยินยอม ชายหนุ่มพูดขึ้น “ตกลง แต่เจ้าไม่มีโอกาสได้มันคืนไปแน่ ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายแล้วเจ้าจะได้เห็นว่าพวกที่เจ๊งน น่ะไม่ใช่ร้านอาหารแต่เป็นร้านโอสถทิพย์”