ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 424 เต้าหู้เหม็นที่เทพธิดาของเรากิน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 424 เต้าหู้เหม็นที่เทพธิดาของเรากิน
ที่ใจกลางเมืองหมอกนภามีหอสัมฤทธิ์สี่ทิศเก่าแก่ตั้งอยู่ ตัวหอดูเหมือนจะทำมาจากสัมฤทธิ์ มีวงแหวนปราณจำนวนนับไม่ถ้วนฝังอยู่ในผนัง วงแหวนปราณจะเคลื่อนไหวและปล่อยคลื่นพลังออกมาเ เป็นครั้งคราว
หอดังกล่าวคือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหมอกนภา มีชื่อว่าหอโอสถ
หอโอสถคือสัญลักษณ์ของเมืองโอสถแต่ละเมือง มีเมืองมากมายที่อยู่ใต้อิทธิพลของวังโอสถ แต่มีเพียงไม่กี่เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองโอสถ และพวกมันก็คือสามเมืองใหญ่ที่มีหอโอส สถอยู่ในครอบครอง
เมืองหมอกนภาคือหนึ่งในสามเมืองดังกล่าว
บนผนังของหอโอสถมีรูเล็กรูน้อยอยู่มากมาย รูเหล่านี้ปล่อยกลิ่นหอมของโอสถและพลังปราณหนาแน่นออกมา กลิ่นเหล่านี้หอมอบอวลไปในอากาศและทำให้เมืองหมอกนภามีกลิ่นชวนดมไปทั่ว
ที่ด้านหน้า หยางเหม่ยจี๋เงยหน้ามองยอดของหอโอสถอย่างเลื่อนลอย
อาจารย์ของนางคือปรมาจารย์เสวียนเปย นักเล่นแร่แปรธาตุไตรเมฆา ซึ่งตอนนี้อยู่ภายในหอโอสถ นางมาที่นี่เพื่อรับการทดสอบของหอโอสถ เมื่อผ่านการทดสอบ นางจะกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเ เอกเมฆา
เมื่อกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา สถานะของนางในเมืองหมอกนภาจะสูงขึ้น ไม่ใช่คำพูดเกินจริงแต่อย่างใดหากบอกว่านางจะถือเป็นชนชั้นสูงหลังได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา
นักเล่นแร่แปรธาตุคือชนชั้นปกครองของนครโอสถ
หยางเหม่ยจี๋ถอนหายใจยาว มีอาการประหม่าเล็กน้อย นางผัดผ่อนการทดสอบมานานเพราะกังวลเรื่องร้านอาหารหมอกเมฆา และไม่แน่ใจว่าครั้งนี้จะผ่านการทดสอบหรือไม่
ร้านอาหารหมอกเมฆาจะเป็นอย่างไรบ้างนะตอนนี้
ดูเหมือนว่าร้านโอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกงจะขายดิบขายดีในย่านนั้น
แล้วร้านจะโดนกดขี่จนกลายเป็นตัวตลกหรือไม่
หยางเหม่ยจี๋อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงร้านเล็กน้อย
เอี๊ยด…
เสียงประตูสัมฤทธิ์บานหนักของหอโอสถดังก้องไปในอากาศขณะถูกเปิดออกช้าๆ
พลังปราณเข้มข้นของโอสถแผ่พุ่งออกมา จนทำให้ตัวของหยางเหม่ยจี๋สั่นสะท้าน
นางแข็งใจเดินไปในหอโอสถแล้วเริ่มการทดสอบเพื่อเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา
…
หนานกงหวั่นเป็นคนหยิ่งทะนงพอสมควร
ตอนที่เดินออกจากร้านแล้วเอ่ยว่าจะชิมอาหารของปู้ฟาง นางก็พลันนึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง
แน่นอนว่านางรู้สึกเสียใจเพราะกลิ่นเหม็นที่อบอวลอยู่ในอากาศ แต่ในเมื่อหาเรื่องใส่ตัวเพราะหลงผิดและออกปากไปแล้วว่าจะชิมอาหารของปู้ฟาง หนานกงหวั่นที่หยิ่งในศักดิ์ศรีย่อมไม่ย ยอมถอนคำพูด จึงได้แต่กัดฟันชิมอาหารเหม็นๆ ลงท้อง
ใจนางไม่ได้อยากเอาอาหารเข้าปากแม้แต่น้อยเพราะไม่ใช่คนโง่เง่า นางรู้ว่าการกินอาหารจานนี้จะทำลายภาพลักษณ์ความเป็นเทพธิดาของตนราบคาบ และไม่มีหญิงใดในโลกไม่ห่วงภาพลักษณ์ของต ตนเอง
ตอนฉวยจานมาแล้วเห็นวัตถุสีดำปนเหลืองที่อยู่ข้างใน หนานกงหวั่นก็อยากจะโยนจานคืนใส่หน้าปู้ฟางทันที
ทว่านางก็พยายามระงับอารมณ์และควบคุมการกระทำของตัวเอง คำพูดของนางก็เหมือนน้ำที่บ้วนทิ้งไปแล้ว ไม่มีวันเก็บคืนมาได้
นางตัดสินใจกินของในจาน
หากเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงจริงๆ นางก็แค่กลับมากินโอสถทำความสะอาดร่างกายชะล้างความสกปรกทั้งปวงในตัวออกไป
ทว่าหนานกงหวั่นกลับรู้สึกสงสัยขึ้นมาขณะเล็มชิมอาหารที่ชื่อว่าเต้าหู้เหม็น
นางไม่รู้สึกถึงความน่าสะอิดสะเอียนสักนิด ภายในปากกลับมีแต่กลิ่นหอมหวาน
“นี่มัน… ประหลาดมาก”
ตอนได้กลิ่น มันฉุนรุนแรง กลิ่นจะเปลี่ยนไปขณะที่นางเอามันเข้าปากได้อย่างไร หรือพ่อครัวจะซ่อนวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอมไว้ในเต้าหู้
ร่องรอยความตกใจปรากฏบนใบหน้างดงามของหนานกงหวั่น นางมองปู้ฟางโดยไม่รู้ตัวก่อนกินเต้าหู้เหม็นอีกหนึ่งคำ
รสชาติของมันเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลิ่นหอมทะลักออกมาภายในปาก หนานกงหวั่นรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังนวดเฟ้นช่องปากของตนเองอยู่
พอกลืนเต้าหู้เหม็นลงคอ หนานกงหวั่นก็รู้สึกเหมือนรูขุมขนในร่างเปิดกว้าง พลังปราณและพลังชีวิตพลุ่งพล่านออกมาจากเต้าหู้ นางรู้สึกสบายและผ่อนคลายถึงขนาดเผลอส่งเสียงครางออกมา
หนานกงหวั่นกินเต้าหู้เหม็นคำแล้วคำเล่า หยุดตัวเองไม่ได้เลยสักนิด นางหลงเสน่ห์อาหารจานนี้เข้าให้แล้ว
มันอร่อยมากจริงๆ นางไม่เคยชิมอะไรเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ได้รับต่างจากรสชาติของโอสถอดอาหารอย่างสิ้นเชิง
หนานกงหวั่นตกหลุมรักความรู้สึกเช่นนี้
นางกินเต้าหู้เหม็นจนหมดจาน
“ข้า… ขออีกชามได้หรือไม่” หนานกงหวั่นกระดากใจเล็กน้อยขณะเอ่ยขอเต้าหู้เหม็นอีกจานจากปู้ฟาง ใบหน้างดงามขึ้นสีแดงก่ำ
หนานกงหวั่นสวยหยาดฟ้ามาดิน ยิ่งนางแสดงสีหน้าเช่นนี้ ยิ่งสะกดจิตและดึงดูดใจผู้คนมากกว่าเดิม
เหล่าบุรุษแถวนั้นต่างเบิกตาโพลง ควันแทบจะพุ่งออกจากรูจมูก ประหนึ่งว่าถูกฉีดเลือดไก่เข้าตัวก็ไม่ปาน
“ให้ตายเถิด! เทพธิดาของเรากินชามเดียวไม่หนำใจ… ดูเหมือนนางจะเสพติดมันเข้าเสียแล้ว”
การรับรู้ของบางคนเฉียบแหลมกว่าคนอื่น พวกเขามองจานเต้าหู้เหม็นด้วยสีหน้าสงสัย เจ้าสิ่งนี้กินได้จริงหรือนี่
ก็น่าจะกินได้นั่นละนะ… พวกเขาเชื่อใจหนานกงหวั่น เมื่อเทพธิดาของพวกเขากินอย่างมีความสุข แปลว่ามันต้องกินได้แน่ๆ
ความรู้สึกหลากหลายเริ่มขยายตัวอยู่ภายในหัวใจของทุกคน สายตาที่พวกเขาใช้มองเต้าหู้เหม็นไม่มีความสะอิดสะเอียนอีกต่อไป เพราะนี่คืออาหารที่เทพธิดาของพวกเขากิน…
ปู้ฟางเมินใส่ความงดงามของหนานกงหวั่นอย่างสิ้นเชิง
เขายกยิ้มมุมปากพลางเก็บกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ ก่อนหยิบถังแล้วเดินกลับเข้าร้านไป
“หากเจ้าอยากกินอีกชาม ก็เชิญที่ร้านของข้า”
หนานกงหวั่นจับจานแน่นพลางมองแผ่นหลังบางๆ ของปู้ฟาง นางเม้มริมฝีปากสีแดงก่ำเพราะเพลิดเพลินกับรสชาติของเต้าหู้เหม็นที่ยังกรุ่นอยู่ในปาก หญิงสาวส่งสายตาไม่พอใจให้ปู้ฟางก่อน จะเดินตามอีกฝ่ายเข้าร้านไป
หลายคนที่รวมตัวกันรอบๆ ร้านเริ่มส่งเสียงอึกทึก
เทพธิดาของพวกเขาเดินเข้าร้านอาหารหมอกเมฆาซอมซ่อที่ควรจะปิดไปนานแล้ว แน่นอนว่าความงามของนางย่อมนำชื่อเสียงและเกียรติยศมาสู่ร้านแห่งนี้
พวกเขาประหลาดใจและเริ่มกระซิบกระซาบกันเอง
พวกเขาไม่คิดลังเลใจอีกต่อไป หลายคนแข็งใจทนกับความเหม็นเดินออกจากฝูงชนตรงเข้าร้านไป ส่วนคนที่เหลือก็ล้อมอยู่รอบๆ ร้านปิดทางเข้าออกเสร็จสรรพ
พอหนานกงหวั่นเดินเข้าไปในร้าน นางพบว่าแม้ภายนอกจะเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสุดจะทน ทว่าภายในร้านกลับไม่มีกลิ่นเลวร้ายเลยสักนิด ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมาฉับพลัน
ภายในร้านเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ
หนานกงหวั่นกวาดสายตามองไปทั่วแล้วพบว่าที่มาของกลิ่นหอมคือต้นตื่นรู้ทางห้าสายที่อยู่ตรงมุมร้าน...
หลังต้นตื่นรู้มีสายปรากฏขึ้นมาห้าสาย และจะกลายเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่ง ร้านนี้ใช้ต้นไม้ชนิดนี้เพื่อประดับประดาจริงๆ หรือ
หนานกงหวั่นมองหาที่นั่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ นางวางจานกระเบื้องบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วหนึ่งกวาดไปทั่วโต๊ะ บนโต๊ะสะอาดไร้ที่ติ ไม่มีร่องรอยของฝุ่นแม้สักนิด
นางออกอาการตกใจสุดขีด
ดูเหมือนว่าร้านอาหารหมอกเมฆาจะต่างจากที่ร่ำลือกัน
“เจ้าอยากกินอะไร เอาเต้าหู้เหม็นอีกหรือ” หลังจากวางถังลงในครัว ปู้ฟางก็เดินออกมาแล้วจ้องหนานกงหวั่น หญิงสาวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่างามตอนเขาเอ่ยถามคำถาม
หนานกงหวั่นใช้ดวงตาคู่งามจับจ้องเรือนร่างของปู้ฟาง หลังจากสังเกตชายหนุ่มหน้าตายได้สักพัก แววตาของนางก็ปรากฏเสี้ยวความประหลาดใจวูบหนึ่ง
‘สายตาที่เขาใช้มองข้านิ่งเฉยและไร้อารมณ์เกินไป’
หนานกงหวั่นคุ้นเคยกับสายตาของเหล่าบุรุษที่หลงใหลได้ปลื้มกับเรือนร่างของนาง สายตาที่ไม่แยแสของปู้ฟางจึงทำให้นางตื่นเต้นเล็กน้อย
“นอกจากเต้าหู้เหม็น เจ้ายังมีอาหารอื่นอีกหรือ”
หนานกงหวั่นกะพริบตาคู่งามพลางเอ่ยถาม
“ต้องมีอยู่แล้ว ดูรายการอาหารข้างหลังเจ้าสิ” ปู้ฟางตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
หนานกงหวั่นผงะไป นางหันไปมองรายการอาหารที่มีสี่อย่างด้วยกัน
หนึ่งในนั้นคือเต้าหู้เหม็น น่าประหลาดที่มันไม่ใช่อาหารที่แพงที่สุด
หนานกงหวั่นถึงกับผวา ริมฝีปากสีแดงเผยอเล็กน้อย นางยกมือป้องปากขณะตกใจ ในใจมีแต่ความกังขาเมื่อเห็นราคาบนรายการอาหาร ความตกใจที่นางประสบหลังเข้ามาในร้านแห่งนี้ใหญ่หลวงไม่ น้อยเลย
“หนึ่งหมื่นผลึก? เจ้าขายอาหารจานละหนึ่งหมื่นผลึกเชียวหรือ เสียสติไปหรือเปล่า นี่เท่ากับราคาของโอสถทิพย์ระดับแปดเชียวนะ”
หนานกงหวั่นแผดเสียงด้วยความตกใจ อัจฉริยะที่กำลังจะได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาอย่างนาง เข้าใจดีว่าการปรุงโอสถทิพย์ระดับแปดนั้นยากเย็นเพียงใด
ราคาอาหารหนึ่งจานเท่ากับราคาของโอสถทิพย์ระดับแปด เจ้าของร้านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
เต้าหู้เหม็นชามละยี่สิบผลึกยังพอยอมรับได้ แม้จะแพงแต่ไม่ได้เกินกว่าเหตุ
กระนั้นพระกระโดดกำแพงราคาชามละหนึ่งหมื่นผลึกนั้นบ้าบอเกินไปมาก
“ราคานี้จริงใจและซื่อสัตย์แล้ว ร้านเราตรงไปตรงมาและค้าขายอย่างเป็นธรรมไม่ว่ากับคนชราหรือหนุ่มสาว” ปู้ฟางมองหนานกงหวั่นด้วยสายตาที่ใช้มองพวกบ้านนอกเข้ากรุง
เมื่อครั้งอยู่ในจักรวรรดิวายุแผ่วเขาขายพระกระโดดกำแพงชามละหนึ่งหมื่นผลึก แถมรู้สึกขาดทุนด้วยซ้ำที่ต้องขายราคาเดียวกันในเมืองหมอกนภา
“นี่เจ้ากล้าพูดว่าราคาจริงใจและซื่อสัตย์รึ”
หนานกงหวั่นกลอกตาใส่ปู้ฟาง นางใช้นิ้วเคาะโต๊ะสักพักก่อนสั่งเต้าหู้เหม็นอีกจาน
ปู้ฟางจ้องหญิงสาวด้วยแววตาเฉยเมย ทำเอานางขนลุกซู่
หญิงสาวผู้นี้ลังเลอยู่เป็นนานสองนาน แต่กลับสั่งแค่เต้าหู้เหม็นจานเดียว… ช่างตระหนี่ขี้เหนียวเสียนี่กระไร
ริมฝีปากของปู้ฟางกระตุก
“โปรดรอสักครู่”