ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 425 การยกระดับของเจ้าขาว
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 425 การยกระดับของเจ้าขาว
“นายท่าน ยินดีด้วยที่ภารกิจสมบูรณ์ ท่านเริ่มกิจการของร้านสาขาสำเร็จแล้ว การซ่อมแซมเจ้าขาวจะเริ่มขึ้นทันที และร้านสาขาจะมีการใช้กฎใหม่”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังมองหนานกงหวั่นที่ถือจานกระเบื้องในมือ เสียงเคร่งขรึมจริงจังของระบบก็ดังก้องขึ้นมาในใจของเขา สายตาของนางที่มองมาแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเต้าหู้เหม็นอีกจ จาน
ปู้ฟางสะดุ้งเล็กน้อยกับการแจ้งเตือนของระบบ แววตาปรากฏร่องรอยความดีใจ เจ้าขาวจะถูกซ่อมเสียที
ตอนที่เจ้าขาวสู้กับเหลียงไค ผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ของสำนักมหาพิภพ ร่างของมันถูกทะลวงเป็นรูโหว่ มันถูกส่งคืนให้ระบบเพื่อรับการซ่อมแซม แต่ระบบแจ้งว่าการซ่อมแซมเจ้าขาวจะเริ่ม หลังจากเปิดร้านสาขาสำเร็จ
การซ่อมแซมเจ้าขาวเริ่มขึ้นหลังจากเขาขายเต้าหู้เหม็นจานแรกได้ และกฎใหม่ของร้านจะมีผลบังคับใช้พร้อมการซ่อมแซมเจ้าขาว
ปู้ฟางสูดหายใจลึก เขาเฝ้ารอวันที่เจ้าขาวกลับมา
เมื่อต้องดำเนินการตามกฎของร้าน ปู้ฟางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิเสธที่จะขายเต้าหู้เหม็นให้หนานกงหวั่นอีกชาม
แม่นางน้อยกินมากเกินไปแล้ว…
ปู้ฟางเผชิญหน้ากับหนานกงหวั่นอย่างไร้อารมณ์พลางยกยิ้มมุมปาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ต้องขอโทษด้วย นับจากวันนี้ไป ในหนึ่งวันลูกค้าสั่งอาหารได้อย่างละจานเท่านั้น”
เสียงของปู้ฟางไม่ได้ดังทว่าชัดเจน
หนานกงหวั่นอึ้งไป นางมองปู้ฟางด้วยสายตาขุ่นเคือง
“หมอนี่รำคาญที่ข้ากินมากไปเช่นนั้นรึ ต่อให้นึกรังเกียจที่ข้ากินเยอะ แต่ก็ไม่เห็นต้องตั้งกฎเช่นนี้ออกมาเลย…”
หนานกงหวั่นจ้องจานกระเบื้องใบใหญ่ตรงหน้า ริมฝีปากกระตุกโดยไม่รู้ตัว นางกินมากไปจริงๆ ดูไม่งามสักนิดที่หญิงสาวอย่างนางจะกินเยอะไปภายในมื้อเดียว
“เจ้าสั่งเต้าหู้เหม็นไม่ได้ แต่ยังสั่งอย่างอื่นได้อยู่” ปู้ฟางรู้สึกยุ่งยากใจ แต่ก็ยังเอ่ยแนะนำอาหารจานอื่นอย่างอดไม่ได้
“พระกระโดดกำแพงเหมาะมากที่จะกินหลังเต้าหู้เหม็น”
“เหมาะตรงไหนกัน” หนานกงหวั่นกลอกตาใส่ปู้ฟาง นางต้องโง่แน่หากคิดสั่งพระกระโดดกำแพง เพราะต้องจ่ายถึงหนึ่งหมื่นผลึก! นางหยิบผลึกใสบริสุทธิ์ออกมาแล้วยื่นให้ปู้ฟาง
หนานกงหวั่นลุกยืนอย่างอ่อนช้อยแล้วยักย้ายเรือนร่างเย้ายวนออกไปหน้าร้าน นางปลื้มปริ่มและดื่มด่ำกับความปีติที่ได้รับหลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญ
หลังจากเดินไปได้หลายก้าว หนานกงหวั่นก็หยุดยืนงงเสียดื้อๆ นางไม่เคยสัมผัสความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจหลังจากกินโอสถอดอาหารหลากรสสักครั้ง นี่คือผลของการกินอาหารอร่อยหรือ
หนานกงหวั่นหันกลับไปมองปู้ฟางซึ่งกำลังเก็บจานกระเบื้องใส่อาหารที่นางเพิ่งกินไป
นางรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างมีความคิดซับซ้อน สถานการณ์ในเมืองหมอกนภาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาหลังการปรากฏตัวของร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ หนานกงหวั่นเผยอริมฝีปากสีแดงก่ำ นางอยากรู้เหลือเกินว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทิศทางใด
หนานกงหมิงยืนห่างจากร้านพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ไกลเกินไป เมื่อเห็นหนานกงหวั่นออกจากร้านด้วยสีหน้าปรีดิ์เปรม รูม่านตาของเขาก็หดลง
ในฐานะหนึ่งในสมาชิกตระกูลหนานกง หนานกงหมิงรู้ว่าหญิงสาวที่สวยจนใจเจ็บผู้นี้น่ากลัวยิ่ง เขายังรู้ด้วยว่าพรสวรรค์ในการเล่นแร่แปรธาตุของนางช่างแสนมหัศจรรย์
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เข้าไปสร้างปัญหาให้ร้านอาหารหมอกเมฆาหรอกหรือ
ทันทีที่หนานกงหวั่นออกจากร้าน ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็โกลาหลขึ้นมา พวกเขารีบเปิดทางให้หญิงสาวได้เดิน
“คุณหนูหนานกง รสชาติของมันเป็นอย่างไร”
“สิ่งนั้นเหม็นมากจริงๆ คุณหนูหนานกงกลืนลงได้อย่างไร”
“เทพธิดา… ท่านไม่รู้สึกอยากอาเจียนบ้างรึ”
คนแถวนั้นเริ่มถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ พวกเขาต่างสงสัยและถามคำถามออกมานับไม่ถ้วน
เมื่อได้ยินคำถามเหล่านี้ หนานกงหวั่นก็ทำเพียงยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วยื่นนิ้วเรียวยาวของตัวเองออกมา นางเอานิ้วแตะริมฝีปากสีแดงเหมือนกุหลาบ น้ำเสียงหวานหยดย้อยดังออกจากปาก
“เชิญพวกเจ้าเดารสชาติของมันได้ตามสบาย”
พอพูดจบ หนานกงหวั่นก็เดินเข้าร้านโอสถทิพย์ของตัวเอง แล้วปิดประตูไล่หลังทันที
ปู้ฟางอดยกยิ้มมุมปากไม่ได้เมื่อได้รับผลึกจากบุรุษหลายคนที่ดูไม่เต็มใจแต่ต้องการชิมรสชาติของเต้าหู้เหม็น
ดูเหมือนหนานกงหวั่นจะพูดกระตุ้นให้คนแถวนี้เกิดความอยากรู้อยากเห็น มีคนอีกไม่น้อยที่เข้ามาในร้านเพราะต้องการชิมเต้าหู้เหม็น
ปู้ฟางลากเก้าอี้มานั่งมองเหล่าคนที่เดินเข้าร้านมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เถ้าแก่… ขอเต้าหู้เหม็นหนึ่งจาน ข้าอยากชิมอาหารที่ทำให้เทพธิดาหลงเสน่ห์เข้าเต็มหมัด”
“ข้าด้วย รอยยิ้มของนางกระตุ้นให้เราอยากมาชิมอาหารจานนี้”
“ในเมื่อเทพธิดาของข้ายังกินได้ แล้วข้าจะไม่กินได้อย่างไร เอามาสิบจานเลย ข้าจะพิสูจน์ว่าตัวเองคู่ควรเป็นคนรักของเทพธิดาที่สุด”
ชายกลุ่มใหญ่แห่เข้ามาในร้าน ทำให้ภายในร้านดูคึกคักขึ้นมา
ปู้ฟางมองกลุ่มคนเสียงดังที่เข้ามาในร้านอย่างไม่ไยดี
เขายืนขึ้นหลังคนพวกนี้เริ่มเบาเสียงลง
“ขอโทษด้วย แต่ร้านปิดแล้ว หากต้องการกินอาหาร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
หลายคนที่เพิ่งเข้ามาในร้านถึงกับสะดุ้ง พวกเขามองปู้ฟางด้วยสีหน้าประหลาดใจ ร้านปิดแล้วเช่นนั้นเรอะ นี่เจ้าล้อกันเล่นหรืออย่างไร…
“ว่าอะไรนะเจ้าหนุ่ม นี่เจ้าตั้งใจใช่ไหม”
“ปิดแล้วอย่างนั้นรึ เรามากินก็ถือว่าให้เกียรติเจ้ามากแล้ว แต่เจ้ากลับบอกว่าร้านปิดแล้วเสียอย่างนั้น”
“บ้าบออะไรกัน หากไม่ใช่เพราะเทพธิดา ใครจะอยากกินของที่เหมือนอึเช่นนั้นกัน เจ้ายังกล้าบอกว่าร้านปิดแล้วอีกรึ”
หลังจากตกตะลึงไปพักหนึ่ง ทุกคนก็ส่งเสียงโวยวาย พวกเขายิ่งพูดยิ่งขุ่นเคืองและโกรธแค้น ไม่มีใครคิดว่าปู้ฟางจะใช้ไม้นี้ หมอนี่พยายามล่อทุกคนด้วยการทำสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกเ เช่นนั้นใช่ไหม
หนานกงหมิงยืนอยู่หน้าร้าน เขาเริ่มยิ้มเยาะปู้ฟางหลังเห็นเหล่าลูกค้าที่กำลังโกรธเคืองและเดือดดาลภายในร้าน
หมอนี่สมองกลวงหรืออย่างไร ในชีวิตของเขาไม่เคยเห็นใครรนหาที่ตายเหมือนปู้ฟางมาก่อน
มันเป็นการตัดสินใจอันโง่เขลาแต่แรกที่เปิดร้านอาหารในเมืองหมอกนภา และยิ่งสมองทึบกันไปใหญ่เมื่อปู้ฟางปฏิเสธลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้าร้าน
หมอนี่เชื่อนักหรือว่าหนานกงหวั่นจะช่วยให้ชื่อเสียงร้านของตัวเองโด่งดังในย่านนี้ได้ นี่เป็นย่านที่ขายโอสถอดอาหารหลากรส ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ปู้ฟางจะลงหลักปักฐานได้
พวกลูกค้าเข้าร้านเพราะความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาแค่อยากลองอะไรใหม่ๆ มันคือความหลงผิดของปู้ฟางแท้ๆ หากคิดว่าอาหารหน้าตาเหมือนอึจะเอาชนะโอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกงได ด้
สภาพของฝูงชนที่โกรธเกรี้ยวและปู้ฟางที่สงบนิ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ปู้ฟางไม่ได้ใส่ใจคนพวกนี้แม้แต่น้อย เขาลูบคางพลางมองด้วยสายตานิ่งเฉย “เลิกเข้ามาเกะกะในร้านข้าเสียที ข้าบอกว่าร้านปิดแล้วอย่างไรเล่า ข้าจะปิดประตูแล้ว พวกเจ้าควรกลับไปเส สีย”
“คิดว่าแค่เจ้าพูดแล้วเราจะยอมไปรึ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน”
“วันนี้ข้าต้องกินเต้าหู้เหม็นให้ได้”
“รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นทายาทของป้าสามของฮูหยินรองทางฝั่งแม่ของเจ้าเมืองหมอกนภา”
หากปู้ฟางยังเงียบปากอยู่ก็แล้วไป ทว่าทันทีที่เขาอ้าปากพูด ทุกคนต่างก็เบิกตาโพลงออกอาการเกรี้ยวกราดกันใหญ่
เหล่าคนที่เข้ามาเกี้ยวพาราสีหนานกงหวั่นต่างมาจากตระกูลมีชื่อเสียงของเมืองหมอกนภาทั้งสิ้น คนพวกนี้ทะเยอทะยานแต่กลับไร้ความสามารถ แล้วบุรุษเช่นนี้จะทนการกระทำที่เหมือนการดูถ ถูกของปู้ฟางได้อย่างไร
ปู้ฟางแสยะยิ้มมุมปาก ร่องรอยเอือมระอาปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ข้าพูดดีด้วยแล้ว… พวกเจ้าไม่ยอมฟังกันเองนะ”
ควันสีเขียวหมุนวนรอบมือขณะที่เขาเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำออกมา ปู้ฟางคว้ากระทะพลางชูมันขึ้นช้าๆ เขาชี้กระทะไปทางกลุ่มคนที่กำลังเอะอะโวยวายอยู่ในร้าน
“พวกเจ้าเสียงดังหนวกหูเกินไปแล้ว ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของปู้ฟางเย็นชา
ชายหลายคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ปู้ฟางพลันกระวนกระวายขึ้นมา หมอนี่จะเล่นงานกันจริงๆ น่ะหรือ พวกเขาไม่มีเวลาเปิดปากพูด รูม่านตาพลันหดเล็กลงตอนพบว่าปู้ฟางเขวี้ยงกระทะใส่จริงๆ
กระทะสีดำขยายขนาดอย่างรวดเร็วขณะพุ่งเข้าหากลุ่มคน
“เวรเถอะ ไอ้นี่มันคืออะไรกัน”
ชายหนึ่งคนอุทานออกมาด้วยความตกใจขณะพยายามปัดป้องกระทะสีดำ แต่กลับถูกพลังมหาศาลฟาดใส่ และไม่สามารถหยุดมันได้
ทุกคนในร้านถูกกระทะผลักออกจากร้านทันที
พวกเขาล้มกระแทกพื้นอย่างจัง เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนโกรธหนักขณะคลานขึ้นจากพื้น ต่างจ้องปู้ฟางที่ยืนอยู่ในร้านอย่างเคืองแค้น
ปู้ฟางเก็บกระทะกลุ่มดาวเต่าดำแล้วเดินมาหน้าร้านช้าๆ เขาเมินทุกคนพลางเริ่มปิดประตูสัมฤทธิ์
“พรุ่งนี้ข้าจะเปิดร้านเหมือนเดิม หากอยากชิมเต้าหู้เหม็น พวกเจ้าควรมากันแต่เช้าตรู่”
น้ำเสียงสงบนิ่งของปู้ฟางดังมาจากหลังประตูสัมฤทธิ์ สีหน้าของทุกคนนอกร้านเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
“พรุ่งนี้เปิดร้านเหมือนเดิมรึ เจ้าคิดว่าหลังจากเล่นงานนายน้อยคนนี้แล้วยังจะค้าขายได้อยู่หรืออย่างไร”
เสียงหัวเราะเยาะเย็นชาดังมาจากหนึ่งในคนเหล่านั้นขณะที่พวกเขาเดินออกจากร้านไป
ทั้งหมดจากไปโดยมีเจตนาแตกต่างกัน
หนานกงหมิงแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เป็นไปไม่ได้ที่ร้านแห่งนี้จะเปิดได้อีกหลังทำให้คนกลุ่มนี้ไม่พอใจ พรุ่งนี้เขาจะกลับมาใหม่เพื่อดูอะไรดีๆ
…
หลังจากปิดประตู ในใจของปู้ฟางก็เกิดความรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย
เขาหวังว่าเจ้าขาวจะได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว เขายังต้องการปีศาจจอมเปลื้องเสื้อผ้าอย่างเจ้าขาวมาจัดการพวกคนสมองทึบเหล่านั้น
วิธีเดียวที่คนพวกนี้จะหลาบจำคือถูกทึ้งเสื้อผ้าจนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อนแล้วโยนออกจากร้าน
“ระบบ ต้องใช้เวลาซ่อมเจ้าขาวนานขนาดไหน” ปู้ฟางถามระบบ
“เจ้าขาวกำลังอยู่ระหว่างการยกระดับสติปัญญา และบางส่วนของมันต้องถูกเปลี่ยนออก ทั้งหมดใช้เวลาหกชั่วยาม” ระบบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หกชั่วยามเชียวหรือนี่
ปู้ฟางพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะได้เจอเจ้าขาวในวันพรุ่งนี้
ปู้ฟางหันหลังกลับเข้าครัวพลางใส่ถังใบใหญ่ไว้ในตู้ มันน่าจะพอช่วยซ่อนกลิ่นเหม็นได้ แม้ว่าเต้าหู้เหม็นจะอร่อย แต่กลิ่นเหม็นของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทานทนไหว
ปู้ฟางตั้งใจจะคิดอาหารรายการใหม่อีกหลายอย่างนอกจากเต้าหู้เหม็น ไม่มีเวลาให้เอ้อระเหยอีก
…
ภายในร้านโอสถทิพย์ หนานกงหวั่นแช่ตัวในถังไม้ขนาดใหญ่ กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของโอสถทิพย์โชยออกมาจากน้ำ มีฟองผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อนจากโอสถเหลวในถังใบนั้น
หนานกงหวั่นใช้นิ้วม้วนปอยผมสีแดงเล่นพลางหรี่ตาสองข้างลงเล็กน้อย
“พลังปราณเที่ยงแท้ในตัวของข้ากำลังเดือดพล่าน แถมปริมาณของมันยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นเพราะเต้าหู้เหม็นนั่นหรือเปล่า อาหารจานนั้นช่วยเพิ่มพลังปราณเที่ยงแท้ได้หรือนี่”
หนานกงหวั่นค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ค้นพบโดยบังเอิญ
นางจะยังสงบนิ่งอยู่ได้อย่างไรหลังรู้ว่ามีอาหารที่สรรพคุณเทียบเท่าโอสถทิพย์
ซ่า!
โอสถเหลวกระเพื่อมสูงขณะที่ไอน้ำลอยขึ้นจากผิวน้ำ หนานกงหวั่นเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวมาพันรอบกายปกปิดเรือนร่างอันเย้ายวนไว้
“เถ้าแก่ร้านแห่งนั้นเป็นคนเช่นใดกันแน่ เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุหรือเปล่า ข้ารู้สึกว่าอาหารที่เขาทำได้รับอิทธิพลมาจากการเล่นแร่แปรธาตุ มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน”
หนานกงหวั่นพึมพำกับตัวเองตอนขึ้นจากถังน้ำ เท้าสีขาวโปร่งใสย่ำลงบนพื้น เรียวขาคู่งามของนางสามารถสะกดสายตาทุกคนได้
หนานกงหวั่นดีดนิ้ว ร่างในชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นทันที ร่างนั้นยืนอยู่ข้างนางอย่างนอบน้อม
“ป้ามู่ ไปสืบสถานะของเถ้าแก่ร้านนั้นมาให้ข้า คนเช่นนั้นมาโผล่ในเมืองหมอกนภาตั้งแต่เมื่อไร ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู”
ร่างในชุดคลุมสีดำตอบหนานกงหวั่นอย่างยำเกรงแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หนานกงหวั่นยืนอยู่ในห้อง สายตามองลอดหน้าต่างไปยังร้านอาหารหมอกเมฆาซึ่งจุดไฟสว่างจ้า นางยิ้มพลางส่งยาเม็ดสีน้ำเงินอมเขียวในมือเข้าปาก
“ร้านอาหารหมอกเมฆา ร้านอาหารร้านสุดท้ายในเมืองหมอกนภาเช่นนั้นรึ”