ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 429 เหตุใดจึงอร่อยถึงเพียงนี้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 429 เหตุใดจึงอร่อยถึงเพียงนี้
หอโอสถ เมืองหมอกนภา
หอโอสถสูงเสียดฟ้าน่าเกรงขามของเมืองหมอกนภาอบอวลด้วยรัศมีเก่าแก่โบราณ พลังปราณของโอสถไหลทะลักออกมาจากรูเล็กรูน้อยบนผนังทั้งสี่ด้านอย่างต่อเนื่อง พลังปราณเหล่านี้มีหลากส สีสันดูงดงามตระการตาคล้ายก้อนเมฆสีสวยหลายสีมารวมตัวกัน
การที่พลังปราณโอสถไหลล้นออกมาไม่ขาดสายเป็นเพราะนักเล่นแร่แปรธาตุส่วนใหญ่ของเมืองหมอกนภาอาศัยอยู่ในหอแห่งนี้ พวกเขาอยู่ที่นี่เพราะมันช่วยให้ปรุงโอสถทิพย์ได้ดีกว่าปกติ
ยิ่งกว่านั้นนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นสูงแทบทั้งหมดยังอาศัยอยู่ในหอโอสถแห่งนี้ด้วย
เมื่อนักเล่นแร่แปรธาตุชั้นสูงเริ่มปรุงโอสถทิพย์ อากาศจะเกิดการปั่นป่วนรุนแรง สมุนไพรพลังปราณที่พวกเขาใช้ถือเป็นของวิเศษหายาก ทำให้พลังปราณโอสถหนาแน่นยิ่งกว่าปกติ
พลังปราณโอสถที่รวมตัวกันและควบแน่นภายในบริเวณหอโอสถ ดูคล้ายก้อนเมฆหลากสีและมีมากเกินกว่าจะนับได้ ส่งผลให้หอโอสถดูงดงามยิ่งขึ้น
วันนี้ประตูเหล็กหนักอึ้งของหอโอสถถูกเปิดกะทันหัน ขณะเปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดประหนึ่งถูกส่งต่อมาจากจุดเริ่มต้นของกาลเวลาก็ดังเล็ดลอดออกมา
พลังปราณเข้มข้นพุ่งออกจากประตูพร้อมกลิ่นหอมจับใจของโอสถทิพย์
ชายคนหนึ่งเดินออกจากประตูมาช้าๆ เมื่อเขาออกมาแล้ว ประตูเหล็กของหอโอสถก็ค่อยๆ ปิดลง ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอีกครั้ง
ชายที่เพิ่งออกมาจากหอโอสถมีผมสีแดง ใบหน้าดูคมคายหล่อเหลาเอาเรื่อง รัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกจากตัวขณะเดิน พลังปราณเที่ยงแท้ชายหนุ่มพลุ่งพล่าน ทำให้ผมของเขาปลิวไสวไปข้างหลังอย ย่างต่อเนื่อง
หากเห็นคนผู้นี้จากระยะไกล ใครๆ ก็ย่อมคิดว่าเขาเป็นลูกรักของพระเจ้า
พอชายหนุ่มออกมาพ้นบริเวณหอโอสถแล้ว เขาก็หยุดยืนยืดเส้นยืดสาย เสียงกรอบแกรบจากการเสียดสีของกล้ามเนื้อและกระดูกดังออกมาจากร่างกาย
ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำของนักเล่นแร่แปรธาตุ บนชุดคลุมประดับภาพเมฆสีขาวสดใสแลดูเหมือนของจริง
คนผู้นี้คือนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา
ไม่นานหลังจากนั้น หลายคนก็กุลีกุจอมาต้อนรับชายหนุ่มคนนี้
“คุณชายอู๋เชวีย ยินดีด้วยที่เก็บตัวฝึกวิชาสำเร็จ” ชายชราคนหนึ่งเดินมาหาแล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ด้านหลังชายชราคือกลุ่มคนจากตระกูลหนานกง รวมถึงหนานกงหมิงที่เบิกตากว้างมองชายหนุ่มด้วยสายตาเคารพนับถือ
ชายหนุ่มผู้นี้คือหนานกงอู๋เชวีย บุตรชายคนโตของหัวหน้าตระกูลหนานกงและเป็นพี่ชายของหนานกงหวั่น เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ซึ่งกำลังจะได้เลื่อนชั้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทวิเมฆาในไม่ ช้า
หนานกงอู๋เชวียเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ขั้นปราณของชายหนุ่มไม่เพียงสูงส่ง เขายังมีพรสวรรค์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่น่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย
“ท่านพ่อกลับจากดินแดนเร้นลับหรือยัง” หนานกงอู๋เชวียมองชายชราก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“อีกประเดี๋ยวนายท่านคงจะกลับออกมา การประลองเพื่อชิงสัดส่วนคนที่จะได้เข้าไปในดินแดนเร้นลับใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว นายท่านคงจะออกมาจากดินแดนเร้นลับอีกไม่ช้า และความแข็งแกร่งของ งตระกูลหนานกงก็จะสูงขึ้นอีกระดับเป็นแน่” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของหนานกงอู๋เชวียปรากฏรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านช่างมั่นใจในตระกูลหนานกงของเรานัก”
ชายชราหัวเราะเบาๆ ท่าทางของคนผู้นี้ดูไม่มีพิษมีภัย
“น้องสาวตัวแสบของข้าล่ะ หลายวันมานี้นางก่อเรื่องบ้างไหม” หนานกงอู๋เชวียถามพลางออกเดินช้าๆ
ดวงตาของหนานกงอู๋เชวียหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงหนานกงหวั่น
“เอ่อ… คุณหนูเพิ่งเปิดร้านโอสถทิพย์ได้ไม่นาน ตอนนี้นางกำลังค้าขายโอสถทิพย์อยู่” ชายชราถอนหายใจยาวก่อนตอบ
“หือ? คุณหนูของตระกูลหนานกงที่สูงส่งออกไปขายโอสถทิพย์หรือนี่… ช่างทำตัวเสื่อมเสียจริงๆ” หนานกงอู๋เชวียคิ้วขมวดน้อยๆ
หนานกงหมิงที่อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากทำตัวเคร่งขรึมขึ้นทันที เหมือนกำลังปลุกความกล้าหาญในตัวขึ้นมา เขามองชายหนุ่มก่อนพูดขึ้น “คุณชายอู๋เชวีย… ช่วงที่คุณหนูขายโอสถทิพย์อ อยู่นั้น นางไปข้องแวะกับร้านอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้ว…”
“แล้วอะไร” หนานกงอู๋เชวียจ้องหนานกงหมิง ความน่าเกรงขามปรากฏให้เห็นทันที
“นางถึงขนาดกินอาหารที่มีกลิ่นเหม็นมากของร้านนั้น ตอนนี้ชาวเมืองพากันพูดว่า… คุณหนูตระกูลหนานกงกิน… อึ”
หนานกงหมิงพูดไปตัวสั่นไปเพราะพลังกดดันแห่งจักรวาลที่แผ่ออกมาจากร่างของหนานกงอู๋เชวีย มันทำให้เขาหายใจไม่ออก
เหงื่อกาฬเองก็แตกพลั่กไปทั้งตัว
“อุจาดแท้! นางตั้งใจจะทำให้ตระกูลหนานกงเสื่อมเสียหรืออย่างไร ว่าแต่… เมืองหมอกนภามีร้านอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเหตุใดร้านนั้นจึงกล้าทำของเช่นนั้นให้นางกิน มันไม่อยากมี ชีวิตอยู่แล้วสินะ”
สายตาของหนานกงอู๋เชวียเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาพ่นลมเยาะออกมา
เมื่อได้ฟังชายหนุ่มระดมยิงคำถาม หนานกงหมิงก็ดีใจจนเนื้อเต้น หากหนานกงอู๋เชวียลงมือเอง ร้านอาหารร้านนั้นย่อมไม่เหลือซากแน่นอน
หนานกงหมิงนึกถึงความอับอายที่ถูกปู้ฟางทำไว้ ในใจลิงโลดยิ่งกว่าเดิม
“ทุกคนกลับไปก่อน ข้าจะไปที่ร้านอาหารนั่น… หนานกงหมิง เจ้านำทางซิ”
ดวงตาของหนานกงหมิงพร่าไปเมื่อหนานกงอู๋เชวียมาปรากฏตัวตรงหน้าอย่างปุบปับ แล้วตบบ่าเขาเบาๆ แรงของอีกฝ่ายทำเอาเขาเข่าแทบทรุด
“หากว่าเจ้าหลอกข้าหรือแต่งเรื่องเกินจริง รู้ใช่ไหมว่าผลลัพธ์คืออะไร” ผมของหนานกงอู๋เชวียยังคงปลิวไสวไปตามสายลม เขามองหนานกงหมิงก่อนส่งยิ้มอบอุ่นให้ ทำเอาอีกฝ่ายใจหายวา าบ
…..
หนานกงหวั่นที่เบื่อเจียนตายนั่งอยู่ในร้านอาหารหมอกเมฆา คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ด้านนอกชะโงกศีรษะเข้ามาในร้านเพราะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของนาง
ไม่นึกไม่ฝันว่าเทพธิดาของเราจะมาร้านนี้อีกแล้ว มันมีอะไรดีนักหนา
ไอ้อาหารที่กลิ่นเหมือนอึนั่น มันดึงดูดตุ่มรับรสของเทพธิดาจริงหรือนี่
กลิ่นของเต้าหู้เหม็นยังชัดเจนในความทรงจำของพวกเขา หลายคนอดหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้เมื่อนึกถึงกลิ่นของมัน
สมกับเป็นเทพธิดาจริงๆ รสนิยมของนางโดดเด่นไม่เหมือนใคร
เมื่อหนานกงหวั่นมองเข้าไปในครัวอันมืดมิด คิ้วเรียวยาวสองข้างของนางก็สั่นระริก ดวงตาเป็นประกาย นางเห็นชายร่างเพรียวเดินออกมาจากในครัวช้าๆ
ปู้ฟางถือชามข้าวผัดไข่ที่หน้าตาวิจิตรงดงามประดุจทำจากทองคำออกมา ก่อนวางชามลงตรงหน้าหนานกงหวั่นแล้วลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ทำมือให้นางเริ่มกิน
“นี่คือข้าวผัดไข่ของเจ้า ตามสบาย”
ข้าวผัดไข่…
หนานกงหวั่นมองข้าวผัดไข่ตรงหน้าด้วยสายตาประหลาดใจ มันเรืองแสงอ่อนๆ นางไม่เคยกินข้าวผัดไข่มาก่อน จึงเพิ่งค้นพบว่าหน้าตาของมันน่ากินเพียงใด
ร้านอาหารสาบสูญไปจากเมืองหมอกนภาหมดแล้ว เหลือเพียงร้านอาหารหมอกเมฆาเท่านั้น ที่ผ่านมาหนานกงหวั่นไม่เคยแวะเวียนมาที่ร้านแห่งนี้จึงไม่เคยชิมข้าวผัดไข่สีดำของหยางเหม่ยจี๋
ด้วยเหตุนี้นางถึงออกอาการประหลาดใจและตื่นตาตื่นใจเมื่อข้าวผัดไข่ร้อนๆ ถูกวางลงตรงหน้า มันสวยงามราวงานศิลปะ นางรู้ตัวทันทีว่าคงไม่กล้ากินมันเข้าไปแน่
หนานกงหวั่นเงยหน้ามองปู้ฟางอย่างไม่รู้ตัวขณะดึงผมของตัวเองเล่น
“กินสิ เจ้ามองหาอะไร” ปู้ฟางงุนงงไม่น้อย ผู้หญิงคนนี้พิลึกจริงๆ
หนานกงหวั่นเม้มริมฝีปากสีแดงพลางหยิบช้อนกระเบื้องจากถาด แล้วใช้มันตักข้าวผัดไข่
เมล็ดข้าวทรงกลมส่องประกายวับวาวราวผลึก กลิ่นหอมที่เหมือนถูกผนึกไว้ในไข่ขาวและไข่แดงทะลักออกมาทันที
ตู้ม!
รูม่านตาของหนานกงหวั่นหดแคบด้วยความประหลาดใจ นางรู้สึกเหมือนมีคลื่นลมขนาดใหญ่ซัดปะทะใบหน้า อดไม่ได้ที่จะย่นจมูกที่งดงามเหมือนหยก
กลิ่นหอมนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยคำเพียงคำเดียว นั่นคือ หอมหวนยวนใจ
มันช่างหอมหวนยวนใจเสียนี่กระไร!
กลิ่นหอมนี้ราวกับสามารถซึมซาบเข้าไปในกระดูกของนางได้ มันเจาะเข้าผิวหนัง ทะลุรูขุมขนแล้วซึมลงไปถึงภายใน ทำให้ทั้งตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่ตั้งใจ
กลิ่นของโอสถอดอาหารหลากรสไม่อาจเทียบกลิ่นหอมของมันได้สักนิด
หนานกงหวั่นเปิดริมฝีปากแดงๆ อ้าฟันขาวราวไข่มุกแล้วสอดช้อนเข้าปาก สายของไข่แดงและไข่ขาวยืดเป็นทางอยู่ด้านหลัง
ทันใดที่ช้อนเข้าปาก ดวงตาของหนานกงหวั่นก็เบิกกว้าง นางอดครางออกมาไม่ได้
ไอร้อนจากข้าวฟุ้งตลบอยู่ในปาก ทำให้รู้สึกเหมือนปากถูกบีบนวดด้วยมือเล็กๆ นับล้านมือ ช่างเป็นความรู้สึกที่อัศจรรย์และอธิบายได้ยากยิ่ง
หนานกงหวั่นรู้สึกว่าร่างกายแน่นเปรี๊ยะ ใบหน้าแสนงามเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ปากของนางเริ่มเคี้ยวโดยไม่รู้ตัวแล้วค่อยๆ เพิ่มความเร็วทีละน้อย นางเคี้ยวเสียงดังก่อนจะกลืนข้าวผัดไข่ เข้าไป จากนั้นก็ครางออกมาแล้วถอนหายใจยาว ถอนหายใจเสร็จก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นลำคอขาวนวล
ปู้ฟางประหลาดใจกับภาพที่เห็น การตอบสนองของหญิงผู้นี้เกินจริงไปมาก แม้ว่าข้าวผัดไข่จะอร่อย แต่ปฏิกิริยาของนางเหมือนคนที่เพิ่งชิมพระกระโดดกำแพงเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
นี่มันเรื่องบ้าเรื่องบออะไรกัน
ทว่าสิ่งที่ปู้ฟางไม่รู้คือในเมืองหมอกนภานั้นไม่มีร้านอาหาร เมืองนี้จึงไม่มีอาหารอร่อย ชาวบ้านทุกคนในเมืองหมอกนภาล้วนกินแต่โอสถอดอาหารหลากรส
แม้ว่าโอสถอดอาหารจะมีประโยชน์ แต่รสชาติของมันก็ไม่ได้น่าชื่นชมนัก ไม่เหมือนข้าวผัดไข่ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนทุกเพศทุกวัย
เป็นครั้งแรกที่หนานกงหวั่นได้กินของอร่อยเช่นนี้ หัวใจทั้งดวงของนางราวกับกำลังหลอมละลาย นางรู้สึกตกหลุมรัก กลิ่นหอมของข้าวผัดไข่ทำให้นางเหมือนกำลังเปลือยกายว่ายน้ำอยู่ในท ทะเลที่ไร้ขอบเขต
ช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
หนานกงหวั่นไม่สนสายตาของปู้ฟางที่มองมาอย่างประหลาดใจ นางตักข้าวผัดไข่อีกช้อนแล้วใส่เข้าปาก
“โอ้! เหตุใดจึงอร่อยเช่นนี้” เรือนร่างเย้ายวนของหนานกงหวั่นสั่นเทิ้มขณะกิน นางอดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้
ปู้ฟางถูกเยินยอจนเริ่มรู้สึกเขิน
จากนั้นเขาก็นั่งมองหนานกงหวั่นยัดข้าวผัดไข่ที่เหลือเข้าปากจนแก้มป่องด้วยกิริยาที่ไม่น่าดูชมนัก ริมฝีปากสีแดงของนางเป็นประกายเพราะความมันเยิ้ม ทำให้ดูดึงดูดใจและมีเสน่ห ห์เป็นพิเศษ
หนานกงหวั่นกินอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งว่าเป็นผีอดอยากกลับชาติมาเกิด กลิ่นหอมของข้าวผัดไข่ค่อยๆ ลอยออกจากร้านทีละน้อย
ทุกคนที่อยู่หน้าร้านตกตะลึงทันที
“เหตุใดจึงหอมเช่นนี้ จมูกข้ามีปัญหาหรือเปล่า”
“กลิ่นนี้หอมมากจริงๆ มันคืออะไร กลิ่นของมันสะกิดใจยิ่งนัก”
“มันเรื่องอะไรกันนี่! ตอนแรกมีกลิ่นเหม็นคล้ายอึลอยออกมาจากร้าน ตอนนี้กลับมีกลิ่นหอมหวนยวนใจ ที่มันหอมเพราะข้าดมกลิ่นเหม็นมากเกินจนชินไปแล้วหรือเปล่า”
…..
หลังจากยืนงงกันสักพัก พวกเขาก็เริ่มทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นในอากาศ
เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกันเกือบทำปู้ฟางกระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขาหลงคิดไปว่าคนพวกนี้ต้องการหาเรื่องจนเกือบเรียกเจ้าขาวออกมาแล้ว แต่พอมองดูดีๆ มุมปากของชายหนุ่มก็ยก กขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ปัง!
หลังจากเลียอาหารจนเกลี้ยงชาม หนานกงหวั่นก็วางชามลงบนโต๊ะอย่างแรง
“เถ้าแก่ปู้ อาหารจานนี้อร่อยมากจริงๆ ขออีกชามสิ”
“ลูกค้าสั่งอาหารได้รายการละหนึ่งจานในแต่ละวันเท่านั้น…” ปู้ฟางตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
ใบหน้าของหนานกงหวั่นยังคงแดงก่ำ นางเบ้ปากพลางพูดขึ้น “ข้าขออีกชาม…”
ครั้งนี้น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน แต่พอเห็นสีหน้าเมินเฉยของปู้ฟาง นางก็กลอกตาใส่แล้วเลือกที่จะยอมแพ้
“เจ้าสั่งพระกระโดดกำแพงได้ มันอร่อยกว่าข้าวผัดไข่หลายเท่า” ปู้ฟางมองหนานกงหวั่นแล้วเห็นว่านางยังไม่ได้สมอารมณ์จึงเสนออาหารจานอื่นให้แทน
ข้าวผัดไข่ชามละแค่สิบผลึก แต่พระกระโดดกำแพงชามละหนึ่งหมื่นผลึก
ทว่าปู้ฟางไม่ได้โกหกเรื่องรสชาติแม้แต่น้อย
หนานกงหวั่นค่อนข้างสนใจ ดวงตาคู่งามของนางเบิกกว้าง
ปู้ฟางเองก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน เขามองหญิงสาวด้วยสายตาจริงใจ