ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 430 พระกระโดดกำแพงนี่ถ้าเป็นของปลอมยินดีเปลี่ยนให้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 430 พระกระโดดกำแพงนี่ถ้าเป็นของปลอมยินดีเปลี่ยนให้
พระกระโดดกำแพงหรือ
ข้าควรสั่งพระกระโดดกำแพงรึไม่นะ
หนานกงหวั่นเริ่มครุ่นคิดและรู้สึกสองจิตสองใจ แม้ว่าราคาของพระกระโดดกำแพงจะเท่ากับราคาโอสถทิพย์ระดับแปด แต่มันก็ให้ได้แค่ความอร่อยเท่านั้น ไม่เหมือนโอสถทิพย์เสียหน่อย
แล้วจะคุ้มค่าหรือ
หนานกงหวั่นเม้มริมฝีปากสีแดง ในใจยังคงรู้สึกลังเล นางกะพริบตาพลางเหลือบมองปู้ฟาง
ส่วนปู้ฟางเองก็กำลังมองนางด้วยสายตาจริงใจ
“รสชาติของพระกระโดดกำแพงไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่” ปู้ฟางพูดพลางพยักหน้าให้อย่างจริงจัง
เจ้ากุ้งที่นอนอยู่บนไหล่ของปู้ฟางโบกก้ามไปมา เหมือนจะช่วยยืนยันคำพูดของเขาอีกแรง
มันอร่อยกว่าข้าวผัดไข่จริงหรือ
เหตุใดคนผู้นี้จึงต้องเอ่ยถึงมันด้วย ราคาข้าวผัดไข่เพียงสิบผลึก แต่พระกระโดดกำแพงต้องควักถึงหนึ่งหมื่นผลึก
อาหารสองจานนี้นั้นคนละชั้นกัน เหมือนให้เปรียบเทียบโอสถอดอาหารหลากรสกับยาปะทุสารัตถะระดับแปด พวกมันไม่ใช่โอสถทิพย์ระดับเดียวกัน
ขณะที่หนานกงหวั่นยังคงละล้าละลัง ตอนนั้นเองนางก็หวนนึกถึงเหตุผลที่เมื่อวานนี้พลังปราณเที่ยงแท้ของตัวเองเพิ่มขึ้น มันชัดเจนแล้วว่าอาหารของปู้ฟางนั้นไม่ธรรมดา
แล้วพระกระโดดกำแพงจะมีสรรพคุณเช่นเดียวกันหรือไม่นะ
หนานกงหวั่นหรี่ดวงตาที่เป็นประกายลง หญิงสาวหันมองปู้ฟาง แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก พลางพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าสั่งพระกระโดดกำแพงก็ได้ แต่หากเจ้าหลอกข้า ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้เปิด ดร้านในเมืองหมอกนภาอีก”
หนานกงหวั่นแกว่งสองหมัดน้อยๆ ใส่ปู้ฟาง พลางพ่นลมออกจมูก
ปู้ฟางยินดียิ่งที่หญิงสาวตัดสินใจสั่งพระกระโดดกำแพง เขายกยิ้มมุมปาก ผลึกที่ได้มาทั้งหมดจะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มพลังปราณเที่ยงแท้ให้เขา เมื่อนึกถึงความจริงข้อนี้ สายตาที่ ปู้ฟางใช้มองหนานกงหวั่นก็ดูอบอุ่นและนุ่มนวลขึ้น หญิงสาวผู้นี้กระเป๋าหนักจริงๆ
“รอสักครู่…”
ปู้ฟางลุกยืน หันหลังแล้วเดินเข้าครัวไป
พระกระโดดกำแพงมีราคาสูง ขั้นตอนการทำย่อมยากมากเช่นกันเพราะวัตถุดิบที่ต้องใช้มีเยอะแยะมากมาย ปู้ฟางต้องจริงจังและมีสมาธิกับมันอย่างเต็มที่
ระบบช่วยจัดการปัญหาหลายอย่างและจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นให้ เพราะมันคืออาหารที่อยู่ในรายการของร้าน
ครั้งแรกที่ปู้ฟางทำพระกระโดดกำแพง เขาใช้วัตถุดิบที่เก็บรวบรวมมาด้วยตัวเอง หากเทียบกับวัตถุดิบที่ใช้ในตอนนั้น วัตถุดิบที่ระบบจัดหาให้ถือว่าค่อนข้างถูก เพราะตอนนั้นเขาใช้เนื้อ อของอสูรเวทระดับเก้าถึงสองตัว
ไอน้ำหนาแน่นเริ่มลอยออกมาจากครัว
กลิ่นของไอน้ำนั้นค่อนข้างแปลก แม้จะกลมกล่อมและเข้มข้นแต่ก็ไม่ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังเหมือนกลิ่นหอมของข้าวผัดไข่ มันเรียบง่ายงดงาม ราวกับว่าเมื่อเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวใจแล้วจะ ะไม่มีวันสลายหายไป
โถรูปทรงประหลาดถูกวางไว้ในกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
เปลวไฟสีทองของหมื่นไฟประลัยกัลป์แผดเผาอยู่ใต้กระทะ มันแผ่ความร้อนที่ทำให้น้ำจากทะเลสาบเทือกเขาปราณสวรรค์ในกระทะเดือด
รูปปั้นของพระพุทธองค์ปรากฏอยู่บนฝาโถ สีหน้าอิ่มบุญเหมือนจะเปล่งแสงอ่อนโยนไร้ขีดจำกัดออกมา
แสงนั้นไม่ได้ทำให้ตาพร่าแต่อย่างใด และขณะปรุงอาหาร พระพุทธองค์ก็ยิ่งเหมือนมีชีวิต สีสันดูสดใสโดดเด่นสะดุดตาอย่างยิ่ง
พอกินข้าวผัดไข่เสร็จ หนานกงหวั่นก็พ่ายแพ้แก่ความเบื่อหน่าย นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมารอบร้าน ประหนึ่งว่ากำลังสำรวจร้านอย่างไรอย่างนั้น
ต้นตื่นรู้ทางห้าสายดึงดูดความสนใจของนาง เถ้าแก่ปู้ท่าทางจะมั่งคั่งเป็นแน่แท้ ถึงใช้ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเป็นของตกแต่งร้าน
หลายคนที่อยู่นอกร้านยังคงเบิกตากว้างเพราะกลิ่นหอมที่ลอยออกมาก่อนหน้านี้ มันสะกิดความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา ความสงสัยทำให้หัวใจของทุกคนคันยิบๆ พวกเขามาเพื่อสังเกตการณ์เทพธ ธิดาของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับเริ่มรู้สึกเขวเล็กน้อยเพราะกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากร้าน
ทันใดนั้นคลื่นความผันผวนผิดธรรมดาของพลังปราณก็ไหวกระเพื่อมออกมาจากร้าน
ทุกคนที่อยู่หน้าร้านพลันตกตะลึง สูดลมเย็นเข้าปอดอย่างไม่รู้ตัว ชาวเมืองหมอกนภาค่อนข้างคุ้นเคยกับคลื่นความผันผวนเช่นนี้
ริมฝีปากสีแดงของหนานกงหวั่นอ้าน้อยๆ นางหยุดสำรวจต้นตื่นรู้ทางห้าสายแล้วมองเข้าไปในครัวด้วยความประหลาดใจ
“เขาบอกว่าจะทำอาหารไม่ใช่รึ เหตุใดจึงมีคลื่นความผันผวนของโอสถทิพย์เกิดขึ้นได้ หนำซ้ำมันยังเป็นคลื่นความผันผวนของโอสถทิพย์ระดับเก้าอีก”
อัจฉริยะที่ใกล้จะเป็นนักเล่นแปรธาตุเอกเมฆาอย่างหนานกงหวั่นย่อมคุ้นเคยกับคลื่นความผันผวนเช่นนี้ดี นางสูดหายใจลึกแล้วมองเข้าไปในครัวอย่างอยากรู้อยากเห็น
ร่างหนึ่งเดินออกจากครัวที่มืดมิดมาช้าๆ ในมืออุ้มโถใบใหญ่รูปทรงประหลาดมาด้วย โถนั้นเหมือนจะเรืองแสงออกมา คลื่นพลังปราณเข้มข้นแข็งแกร่งพลุ่งพล่านออกมาไม่หยุด ให้ความรู้สึกไร้ ขอบเขตทำนองเดียวกับโอสถทิพย์ระดับเก้า
ปู้ฟางเดินออกจากครัวแล้ววางโถลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าตายด้าน
หนานกงหวั่นปรี่เข้ามาทันที นางเห็นรูปปั้นพระพุทธองค์นั่งขัดสมาธิอยู่บนโถพลางส่งยิ้มมีเมตตาให้
ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาวตกตะลึงไม่น้อย
“นี่… นี่คือพระกระโดดกำแพงรึ” หนานกงหวั่นถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง ยินดีเปลี่ยนให้ใหม่ถ้าเจ้าว่ามันเป็นของปลอม” ปู้ฟางพยักหน้า
ปู้ฟางยกฝ่ามือขึ้นแล้วใช้พลังปราณเที่ยงแท้หุ้มฝ่ามือไว้ เสียงหึ่งดังก้องขณะเขาใช้ฝ่ามือตบโถ แสงที่เล็ดลอดออกมาจากโถยิ่งพร่างพราวมากขึ้น หนานกงหวั่นรู้สึกเหมือนกำลังมองพระพุ ทธองค์ท่องพระไตรปิฎกอย่างไรอย่างนั้น
แกร๊ก!
ปู้ฟางเปิดฝาออกพร้อมเสียงดังแกร๊กเบาๆ
ไอน้ำหนาทึบพวยพุ่งออกมาตามพลังปราณทันที รัศมีรอบโถจางลงทีละน้อยแล้วสลายหายไปในที่สุด เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมที่ผุดขึ้นมาใหม่ กลิ่นนี้หอมตลบอบอวลไปทั่วร้านและเข้าแทนที่กลิ นหอมน่าประทับใจที่ข้าวผัดไข่ฝากเอาไว้
หนานกงหวั่นคือคนแรกที่รับผลกระทบนี้ ทันทีที่กลิ่นหอมเข้าจู่โจม ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางถอยหลังหนึ่งก้าว เรือนร่างเย้ายวนเกิดอาการเกร็งขึ้นมา
“หอมมาก...” หนานกงหวั่นพึมพำเหมือนคนใจลอย
กลิ่นหอมฟุ้งแพร่ออกมานอกร้านอย่างรวดเร็ว หลายคนที่อยู่ด้านนอกจึงเริ่มได้กลิ่นไปด้วย
หากก่อนเปิดฝากลิ่นหอมของมันนุ่มนวลเหมือนสายน้ำนิ่ง กลิ่นหอมหลังเปิดฝาก็เหมือนคลื่นพายุซัดสาดรุนแรง
ทุกคนด้านนอกรู้สึกเหมือนถูกคลื่นกลิ่นหอมขนาดยักษ์โอมล้อมกลืนกิน
“อ่า! กลิ่นหอมเปลี่ยนไปอีกแล้ว ครั้งนี้เหมือนจะหอมฟุ้งรุนแรงกว่าเดิม”
“มันคือกลิ่นอะไร มีกลิ่นหอมที่สามารถฝังลึกในจิตใจคนเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยรึ”
“แค่ได้กลิ่นก็ตื่นเต้นแล้ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว อย่าห้ามข้า ข้าจะเข้าไปดู ข้าอยาก… อยากกินจนทนไม่ไหวแล้ว”
หลายคนข้างนอกเบิกตากว้างแล้วดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งไป บางคนทนกลิ่นหอมไม่ไหวรีบเดินเข้าร้าน ทันทีที่เข้ามาข้างใน พวกเขาก็เห็นที่มาของกลิ่นหอม
มันคือโถของพระกระโดดกำแพง
กลิ่นหอมน่าตื่นตะลึงซึ่งทะยานขึ้นไปจนเกือบถึงสรวงสวรรค์เหมือนจะก่อร่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
ปู้ฟางเหลือบมองคนพวกนี้แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเลือกหยิบชามออกมาแทน
ชายหนุ่มตักน้ำซุปสีน้ำตาลขึ้นจากโถ น้ำซุปไม่มีความมันแม้แต่นิดเดียว มีเพียงความใสกระจ่าง เขาตักเนื้ออสูรเวทระดับแปดหนึ่งชิ้นจากในโถมาใส่ชาม ก่อนวางชามลงตรงหน้าหนานกงหวั่นแ แล้วส่งสัญญาณให้นางเริ่มกินได้
หนานกงหวั่นตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด พลังปราณเข้มข้นที่ลอยออกมาเหนือกว่าที่นางจินตนาการไว้ มันเข้มข้นยิ่งกว่าโอสถทิพย์อีก คนผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน มันจะเกินคาดไปแล้ว เถ้าแก่ปู้ ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุใช่ไหม
น่าจะเป็นเช่นนั้น เขาต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุทำอาหารจานนี้แน่ มันเป็นหนทางเดียวที่สามารถเก็บรักษาพลังปราณของวัตถุดิบได้อย่างครบถ้วน และเป็นเหตุผลที่ทำให้อาหารจานนี้มีพลั งปราณท่วมท้น
หนานกงหวั่นหน้าแดงเรื่อ หน้าอกทรงโตกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด นางค่อนข้างตื่นเต้นเพราะนึกไปเองว่าตนเองค้นพบความลับของปู้ฟางเข้าให้แล้ว
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ หนานกงหวั่นก็จ้องน้ำซุปในชามกระเบื้องตาไม่กะพริบ
กลิ่นหอมฟุ้งโชยออกมาไม่ขาดสาย มันกระตุ้นความอยากอาหารของนาง
หนานกงหวั่นใช้ช้อนตักน้ำซุป นางเปิดริมฝีปากสีแดงแล้วปล่อยให้น้ำแกงไหลลงคอไป
ชั่วลมหายใจถัดมา นางก็พ่นลมเบาๆ ออกมาทางจมูก ขนตาสั่นระริกดวงตาเบิกกว้าง
….
“คุณชายอู๋เชวีย เป็นย่านนี้แหละ ร้านที่ว่านั่นอยู่ในย่านที่ตระกูลหนานกงของเราเพิ่งเริ่มบุกเบิกขายโอสถอดอาหารหลากรส ร้านนี้ปรุงของเหม็นกลิ่นเหมือนอึ กลิ่นเหม็นทำให้จ จำนวนลูกค้าที่มาย่านนี้ลดลงฮวบฮาบเพราะขยะแขยงจนสุดจะทน”
หนานกงหมิงพาหนานกงอู๋เชวียซึ่งอยู่ในชุดนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆามาที่ร้านอาหารหมอกเมฆา เขาค่อนข้างประหม่าเพราะพลังกดดันที่หนานกงอู๋เชวียปล่อยออกมานั้นรุนแรงมหาศาล
ในฐานะทายาทของตระกูลหนานกง พลังปราณและพรสวรรค์ของคนผู้นี้ถือว่าไม่เป็นสองรองใครในวังโอสถ ทุกคนรู้ดีว่าหนานกงอู๋เชวียติดหนึ่งในยี่สิบในการประลองที่วังโอสถจัดขึ้นส สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุรุ่นเยาว์
แม้ว่าเมืองหมอกนภาจะเป็นเมืองโอสถเช่นกัน แต่ก็จัดได้ว่าอ่อนแอที่สุด
การเอาชนะยอดฝีมือนับไม่ถ้วนของเมืองโอสถนภาและเมืองแสงนภาเพื่อเข้าเป็นหนึ่งในยี่สิบยอดฝีมือ นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์สำหรับหนานกงอู๋เชวีย
เมืองโอสถนภาและเมืองแสงนภามีนักเล่นแร่แปรธาตุเบญจเมฆาอาศัยอยู่ ด้วยการชี้แนะของนักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้ ฝีมือของอัจฉริยะจากทั้งสองเมืองจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
กระนั้นหนานกงหวั่นก็ยังติดอันดับหนึ่งในยี่สิบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของนักเล่นแร่แปรธาตุจากเมืองหมอกนภา
คนที่เข้าใกล้อัจฉริยะผู้นี้ย่อมรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา
หนานกงอู๋เชวียปล่อยผมสีแดงให้ปลิวสยายไปตามลม สายตาของเขาเฉื่อยชา ชายหนุ่มปรายตามองหนานกงหมิงก่อนจะพยักหน้าให้
ทั้งสองคนมาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว รอบๆ ร้านอาหารหมอกเมฆามีร้านโอสถทิพย์ตั้งอยู่ดาษดื่น บางร้านเป็นของตระกูลหนานกงเอง ส่วนที่เหลือเป็นของคนอื่นๆ
กิจการร้านโอสถทิพย์เจริญรุ่งเรืองดี
อย่างไรก็ดี ตอนที่หนานกงหมิงและหนานกงอู๋เชวียมาถึง พวกเขากลับพบว่าไม่มีลูกค้าสักคนในร้านเหล่านี้
“นี่คือย่านใหม่ที่ตระกูลของเราริเริ่มขายโอสถอดอาหารหลากรสเช่นนั้นหรือ มันจะไม่เงียบไปหน่อยรึ” หนานกงอู๋เชวียถามพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
หนานกงหมิงอ้าปาก หน้าผากมีเม็ดเหงื่อเย็นๆ หยดลงมา เขาจะไปรู้ได้อย่างไร
เมื่อครู่มันยังขายดิบขายดีอยู่เลย
จริงสิ หรือว่าร้านอาหารนั่นเริ่มก่อเรื่องอีกแล้ว
“คุณชายอู๋เชวีย ต้องเป็นเพราะร้านอาหารนั่นเริ่มทำอะไรอุตริแล้วแย่งลูกค้าของเราอีกแน่” หนานกงหมิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ท่านต้องจัดการเรื่องนี้เพื่อศักดิ์ศรีและประโ โยชน์ของตระกูลหนานกง…”
“ชู่! เงียบก่อน”
หนานกงอู๋เชวียหรี่ตาลง ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หนานกงหมิงที่ตั้งใจจะพูดต่อตัวแข็งทื่อทันที เขาหันมองหนานกงอู๋เชวียด้วยดวงตาเบิกกว้าง
มีกลิ่นหอมเบาบางแผ่ซ่านไปทั่ว มันพัดมาปะทะใบหน้าของพวกเขาราวกับเป็นสายลมเย็น หนานกงอู๋เชวียอดไม่ได้ที่จะหลับตาและเพลิดเพลินกับกลิ่นดังกล่าว
“หมูป่าเพลิงระเบิดอสูรเวทระดับแปดกับเหยี่ยวปราณวายุอสนีระดับแปด ค่อนข้างแปลกแฮะ… เหมือนมีกลิ่นหอมจากสมุนไพรละอองเมฆด้วย ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มีคนกำลังปรุงโอสถทิพย์หรือ อนี่”
หนานกงอู๋เชวียหรี่ตาลงพลางพึมพำออกมาขณะยกยิ้มมุมปาก