ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 432 ตัวตลกหนานกงอู๋เชวีย
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 432 ตัวตลกหนานกงอู๋เชวีย
“ให้นางจ่าย นางรวยจะแย่” หนานกงอู๋เชวียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทั้งยังสงบนิ่ง
จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วแล้วส่งสายตาให้ปู้ฟางเป็นการบอกว่า ‘เชื่อข้าเถอะ’
ปู้ฟางรู้สึกอึ้งไม่น้อย เขาสงสัยว่าหนานกงหวั่นกับตัวตลกผู้นี้เป็นพี่น้องกันจริงหรือ เพราะนิสัยใจคอช่างต่างกันลิบลับ
หนานกงหวั่นดูเป็นคนปกติธรรมดา ถึงจะค่อนข้างเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่ก็ยังแสดงความสดใสของวัยสาวออกมาเมื่อเห็นอาหารอันโอชะ
ส่วนหนานกงอู๋เชวียเป็นแค่ตัวตลกที่คิดจะหลอกเกาะน้องสาวกิน
หนานกงหวั่นเปิดริมฝีปากอ่อนนุ่มแล้วคายกระดูกออกมา ดวงตาคู่งามของนางเบิกกว้างขณะมองหนานกงอู๋เชวียด้วยสายตาไม่พอใจ ใครบอกว่าข้ารวยกัน
มันคือเงินที่ข้าได้มาจากการลำบากตรากตำปรุงโอสถทิพย์ต่างหาก
“หนานกงอู๋เชวีย เจ้าอยากตายหรือ” หนานกงหวั่นพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางอารมณ์เสียตลอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายคนนี้ ครั้งก่อนเขาถึงขนาดแนะนำนางให้หลินอู๋อิ่ง คุณชายให หญ่ของตระกูลหลิน
หลินอู๋อิ่งมองหนานกงอู๋เชวียเป็นศัตรูที่ฟ้าลิขิตไว้ แต่หนานกงอู๋เชวียกลับอยากได้อีกฝ่ายเป็นน้องเขยเสียได้
เจ้าหมอนี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
ครั้งนี้เขายิ่งทำเกินกว่าเหตุและไร้เหตุผลเข้าไปใหญ่ที่พูดจาเช่นนั้นกับเถ้าแก่ปู้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นี้คิดอะไรอยู่ในหัว
มันก็แค่อาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้อร่อยเหลือล้ำ และนี่ก็คือเสน่ห์ของเขาก็เท่านั้น
ช่างเป็นคนที่โง่บ้าเซ่ออะไรเช่นนี้!
“ข้าไม่มีเงิน” หนานกงหวั่นเมินใส่หนานกงอู๋เชวีย พลางตักน้ำซุปสีน้ำตาลขึ้นมาเป่าเล็กน้อยก่อนกลืนลงคอ
“ม่ายสิ… พี่ชายเจ้าเพิ่งออกจากการเก็บตัวฝึกตนใช่หรือไม่ จึงใช้ผลึกไปกับการนั้นหมดแล้ว น้องสาวคนงามของข้า น้องสาวสุดที่รักของข้า เจ้าเลี้ยงข้าหน่อยเถอะนะครั้งนี้” หนานกงอ อู๋เชวียได้กลิ่นหอมจากพระกระโดดกำแพงแล้วรู้สึกหักห้ามใจไม่ไหว กลิ่นของมันหอมหวานกว่าโอสถอดอาหารหลากรสเสียอีก
ยิ่งหนานกงอู๋เชวียเห็นหนานกงหวั่นลืมมารยาทบนโต๊ะอาหารขณะกิน เขาก็ยิ่งอยากลิ้มรสมันมากกว่าเดิม
แต่ข้าไม่ย้ำเตือนนางเรื่องนี้จะดีกว่า ไม่เช่นนั้นนางต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
“ครั้งนี้รึ พี่ใหญ่ เจ้าเป็นหนี้ข้าเกินแสนผลึกเข้าไปแล้ว” หนานกงหวั่นคันไม้คันมืออยากเอากระดูกบนโต๊ะยัดปากหมอนี่เต็มทน
นางไม่เคยเจอใครที่หน้าด้านและไร้ยางอายเท่าพี่ชายตัวเองมาก่อน
“ฮ่าๆ จริงรึ แปลว่าเจ้าน่ะรวยจริงๆ นะเนี่ย มีหนี้เพิ่มอีกนิดอีกหน่อยก็ไม่สะเทือนหรอก ไว้ข้าปรุงโอสถวิญญาณสองแต้มได้เมื่อไร ข้าจะทำขายแล้วเอาเงินมาใช้หนี้ให้” หนานกงอู๋ เชวียแสร้งหัวเราะแล้วทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ เป็นการให้คำมั่น
“ข้าไม่มีเงินจริงๆ… และข้าก็ไม่เชื่อเจ้าด้วย”
“ม่าย… น้องสาวสุดที่รัก ไม่เห็นหรือว่าพี่ชายผู้นี้ห่วงเรื่องการแต่งงานของเจ้าและกำลังช่วยเจ้าอยู่” หนานกงอู๋เชวียพูดพลางเลิกคิ้ว
“หึ หากเจ้าพูดเรื่องนี้อีกเพียงคำเดียว อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” หนานกงหวั่นหัวเราะเย็นชา
“แค่หนึ่งหมื่นผลึกเองน่า พูดมา เจ้าต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยน”
“ข้าขอสูตรโอสถวิญญาณหนึ่งแต้มที่เจ้าได้มาจากหอโอสถสักสูตรหนึ่ง ถ้าไม่ให้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก” หนานกงหวั่นเอ่ย
“ตกลง เอาตามนี้” หนานกงอู๋เชวียอึ้งไปพักหนึ่งก่อนตอบตกลงโดยไม่แม้แต่จะคิด เขาหยิบหนังสัตว์เปื่อยๆ ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วฟาดลงบนโต๊ะอย่างแรง
หนานกงหวั่นงงงันกับการกระทำของอีกฝ่าย สูตรจากหอโอสถเป็นของสำคัญมากไม่ใช่หรือ
เหตุใดคนผู้นี้ถึงตกปากรับคำง่ายๆ ไม่กลัวว่าเรื่องจะรู้ไปถึงหอโอสถหรืออย่างไร
หนานกงหวั่นออกอาการสงสัย
“ให้ข้าจริงรึ” หนานกงหวั่นคว้าหนังสัตว์ผืนนั้น ก่อนจะมองหนานกงอู๋เชวียพลางพูดออกมา
“เอาไปเลยน้องรัก พี่ชายคนนี้จะหลอกเจ้าได้อย่างไร แต่ขอเตือนก่อนว่าการพยายามปรุงโอสถวิญญาณหนึ่งแต้มโดยยังไม่ขึ้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆามีความอันตรายยิ่งยวด หากเตาหลอ อมระเบิด มันอาจทำลายใบหน้าสวยๆ ของเจ้าได้” หนานกงอู๋เชวียพูดพลางเลิกคิ้ว
ชายหนุ่มเมินใส่หนานกงหวั่นที่แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความเดือดดาล ก่อนหันหน้าไปหาปู้ฟาง
“ข้าขอพระกระโดดกำแพงหนึ่งชาม… เจ้าได้ยินแล้วนี่ หญิงสาวผู้ร่ำรวยคนนี้จะเลี้ยงข้า”
ปู้ฟางตกตะลึงเล็กน้อยกับบทสนทนาของสองพี่น้องที่เพิ่งได้ยิน
“รอสักครู่”
เขาพูดเสียงนิ่งก่อนหันหลังเดินเข้าครัวไป
หนานกงอู๋เชวียมองตามแผ่นหลังของปู้ฟาง จากนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา ชายหนุ่มรีบเดินตามหลังปู้ฟางหมายจะเข้าครัวไป
ปู้ฟางไม่ได้หยุดอีกฝ่าย เขาเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
หนานกงอู๋เชวียค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นและตกอกตกใจไม่น้อยเมื่อได้กลิ่นหอมของพระกระโดดกำแพง เขารู้สึกว่าอาหารจานนี้เหมือนปรุงขึ้นด้วยวิชาเล่นแร่แปรธาตุ เพราะพลังปราณของวัตถุด ดิบถูกเก็บรักษาไว้อย่างครบถ้วน
การที่สามารถทำได้ขนาดนี้ แปลว่าเถ้าแก่ปู้มีทักษะด้านการเล่นแร่แปรธาตุค่อนข้างสูง ทักษะการแปรรูปพลังปราณในวัตถุดิบมีความล้ำค่าและสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุ
หนานกงอู๋เชวียตั้งใจตามปู้ฟางเข้าครัวไปเพราะอยากเรียนรู้วิชาดังกล่าว ทว่าทันทีที่ปู้ฟางหายเข้าไปในครัว เขาก็พลันรู้สึกได้ว่าถูกรัศมีเย็นยะเยือกดักเอาไว้
รัศมีดังกล่าวทำให้เขาตัวสั่นสะท้านและขนลุกซู่
ความรู้สึกนี้มันช่าง…
หนานกงอู๋เชวียหันไปเห็นหุ่นเชิดสวมชุดเกราะดูอุ้ยอ้ายกำลังโบกฝ่ามือที่เหมือนพัดใส่ตน หุ่นเชิดตัวนี้มีพลังกดดันมหาศาล ชายหนุ่มตกใจสุดขีด รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ที่อยู่ในระดับเดียวกัน
และเป็นเพราะความรู้สึกนี้เองที่ทำให้เขาตกใจ
หนานกงอู๋เชวียคือยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้หนึ่งชิ้น หากเจ้าหุ่นเชิดนี่อยู่ระดับเดียวกับเขา แปลว่ามันมีปราณอยู่ในชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน
หุ่นเชิดปราณชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์… มีเพียงคนของสำนักหุ่นเชิดที่หลอมออกมาได้ไม่ใช่หรือ
เจ้าของมันน่าจะมาจากสำนักหุ่นเชิด แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะพวกโง่จากสำนักหุ่นเชิดไม่น่าจะทำอาหารเป็น
แสงสีม่วงในดวงตาของเจ้าขาวกะพริบวาบ ความเร็วฝ่ามือที่เหมือนพัดของมันรวดเร็วกว่าเดิม จนเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศ
พลังรัศมีของหนานกงอู๋เชวียเพิ่มสูงขึ้น พลังปราณเที่ยงแท้ของเขาพุ่งออกจากแก่นพลังมาปกคลุมฝ่ามือไว้
ปัง!
หนานกงอู๋เชวียเข้าปะทะกับเจ้าขาว
แรงปะทะทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรงหมุนวนไปทั่วร้าน แต่กลับไม่ได้สร้างความเสียหายให้ร้านแม้แต่น้อย
ร่างของหนานกงอู๋เชวียถอยร่นออกมาหลายก้าว ชายหนุ่มมองเจ้าขาวอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะร่างของมันไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
“เจ้าหุ่นเชิดนี่… น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
“ครัวเป็นสถานที่สำคัญ คนที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามเข้า เจ้าขาวกลับมา”
ขณะที่หนานกงอู๋เชวียกำลังมองเจ้าขาวด้วยแววตาเจิดจ้า เสียงสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ของปู้ฟางก็ดังออกมาจากในครัว
เจ้าขาวกวาดตามองหนานกงอู๋เชวียก่อนหันหลังกลับเข้าครัวไปช้าๆ
หนานกงอู๋เชวียรู้สึกผิดหวังเพราะตามเข้าครัวไปไม่ได้ เขากลับมานั่งที่โต๊ะพลางมองหนานกงหวั่นที่เก็บหนังสัตว์ไปแล้วและกำลังกินพระกระโดดกำแพงอย่างตะกรุมตะกรามอีกครั้ง ชายหนุ่ม มกลืนน้ำลายพลางเอ่ยปากถาม “น้องพี่ รสชาติเป็นอย่างไรหรือ”
หนานกงหวั่นเพียงปรายตามองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังแต่ไม่ตอบคำถาม
หนานกงอู๋เชวียชักรำคาญกับลีลาของนาง เป็นเพียงน้องสาวบังอาจเมินใส่พี่ชายได้อย่างไร เขารู้สึกเบื่อจะแย่จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาในร้าน
“ต้นตื่นรู้ทางห้าสาย นี่มันของล้ำค่าชัดๆ” หนานกงอู๋เชวียหยุดยืนอยู่หน้าต้นตื่นรู้ทางห้าสายพลางอุทานออกมาด้วยความชื่นชม
เขายื่นมือไปจับใบสีเขียวของมัน
หึ่ง…
เจ้าขาวที่อยู่ในครัวยื่นศีรษะออกมา แสงสีม่วงพุ่งออกจากดวงตาของมันและสอดส่ายหาเป้าโจมตีบนร่างของหนานกงอู๋เชวีย
ชายหนุ่มปล่อยมือจากใบไม้ ทำหน้าจริงจังพลางโบกไม้โบกมือให้เจ้าขาว
ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ปู้ฟางก็ทำพระกระโดดกำแพงเสร็จอีกโถ เขาเดินยกโถออกมาจากครัว
ลำแสงระยิบระยับเปล่งออกมาจากพระพุทธองค์บนฝาโถกระเบื้องเคลือบ
พอหนานกงอู๋เชวียเห็นก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ เขาจะได้ชิมของอร่อยเสียที
เมื่อปู้ฟางวางพระกระโดดกำแพงตรงหน้าชายหนุ่ม หนานกงอู๋เชวียอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงรีบเปิดฝาทันที เขาสูดดมกลิ่นหอมที่โชยออกมาพร้อมพลังปราณและเพลิดเพลินกับมัน
คนอื่นๆ ที่เข้ามาในร้านรีบสั่งพระกระโดดกำแพงตามทันที
“ร้านข้าขายพระกระโดดกำแพงแค่วันละสองโถเท่านั้น และวันนี้ก็ขายหมดแล้ว หากต้องการชิม พรุ่งนี้พวกเจ้าค่อยมาใหม่” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนจำนวนมากต้องจมอยู่กับความเสียใจ
“สวรรค์ช่วย! รสชาติของมันแทบจะทัดเทียมไก่แปดขุมทรัพย์ที่ตาเฒ่าเฉียนเลี้ยงเลย”
หลังจากชิมพระกระโดดกำแพงเข้าไปคำหนึ่ง หนานกงอู๋เชวียก็อุทานด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนอึ้งกับคำพูดของเขา
ว่าอย่างไรนะ ไก่แปดขุมทรัพย์หรือ
ไก่แปดขุมทรัพย์ของปรมาจารย์เฉียนจง นักเล่นแร่แปรธาตุไตรเมฆาจากหอโอสถน่ะหรือ…
คุณชายอู๋เชวียหมายความว่าอย่างไรกันแน่ หรือว่า…
หนานกงหวั่นเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ นางเบิกตากว้างขณะจ้องหนานกงอู๋เชวียก่อนพูดเสียงดังฟังชัด
“หนานกงอู๋เชวีย… บอกมาตามตรง เจ้าไม่ได้ออกจากหอโอสถเอง แต่ถูกปรมาจารย์เฉียนไล่ออกมาใช่หรือไม่ เจ้าถูกไล่ออกมาเพราะเชือดไก่แปดขุมทรัพย์ของเขาเอามากินเช่นนั้นสินะ”
หนานกงอู๋เชวียตัวแข็งทื่อ เขาหยิบขาหมูขึ้นมาแล้วเริ่มเปิดปากกิน พลางส่ายศีรษะรัวๆ เหมือนกลองป๋องแป๋ง ต่อให้ตีข้าให้ตายข้าก็ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยหรอก
หนานกงหวั่นมองท่าทางของอีกฝ่าย และรู้ทันทีว่าความจริงคืออะไร นางอดยกมือขึ้นถูหน้าผากไม่ได้
ให้ตายเถิดสวรรค์ เหตุใดปรมาจารย์เฉียนจึงไม่ตีเขาให้ตายๆ ไปเสีย
ไก่แปดขุมทรัพย์คืออสูรเวทระดับสิบที่ล้ำค่ามาก ปรมาจารย์เฉียนฟูมฟักมันมาไม่รู้ตั้งกี่ปี สุดท้ายดันถูกหมอนี่กินเข้าไป… คนผู้นี้มีความแค้นอะไรกับปรมาจารย์เฉียนนักหนากัน
“ข้าไม่ได้กินจริงๆ แค่ตัดปีกมันออกมาข้างหนึ่ง… ข้าไม่ได้ฆ่าด้วย รักษาแค่ไม่กี่เดือนเดี๋ยวปีกมันก็งอกขึ้นใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์เฉียนยังเก็บตัวฝึกตนอยู่ เขาไม่รู เรื่องนี้ เลยไม่ได้ไล่ข้าออกมา ข้าเป็นคนแอบออกมาเอง” หนานกงอู๋เชวียพูดอู้อี้เพราะมีอาหารเต็มปาก
หนานกงหวั่นใช้หางตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย ไก่แปดขุมทรัพย์หรือ มันคือวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยม… เป็นอสูรเวทระดับสิบ และยิ่งกว่านั้นมันไม่มีทั้งพลังต่อสู้และพลังป้องกัน ทั้งตัวของม มันสร้างจากสารัตถะล้ำค่า หากนำมาปรุงด้วยวิธีพิเศษ ต้องเป็นอาหารอันโอชะที่ไม่มีอาหารใดเทียบได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้… ปีกของไก่แปดขุมทรัพย์ยังใช้เป็นวัตถุดิบทำพระกระโดดกำแพงระดับอรหันต์ได้อีกด้วย
ที่ปู้ฟางทำอยู่ตอนนี้เป็นเพียงพระกระโดดกำแพงระดับปุถุชนเท่านั้น สองอย่างนี้แตกต่างกันใหญ่หลวง และพระกระโดดกำแพงระดับอรหันต์ก็ทำยากกว่า อย่างไรเสียวัตถุดิบที่ต้องใช้ก็แตก กต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ในเมื่อหอโอสถมีวัตถุดิบล้ำค่าอย่างไก่แปดขุมทรัพย์ ถ้ามีเวลาว่าง เขาต้องไปขอยืมปีกไก่อีกข้างมาใช้บ้างแล้ว
ขณะที่ปู้ฟางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ลูกค้าคนอื่นเมื่อดึงสติตัวเองกลับมาได้ก็เริ่มสั่งอาหารจานอื่น ถึงแม้จะสั่งพระกระโดดกำแพงไม่ได้ ก็ยังเหลือซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานและข้าวผั ดไข่ให้สั่ง
พวกเขาเคยเห็นหนานกงหวั่นกินข้าวผัดไข่เลยค่อนข้างมั่นใจกับรสชาติของมัน ทุกคนจึงสั่งข้าวผัดไข่เหมือนกันหมด
ปู้ฟางกลับเข้าครัวอีกครั้งแล้วเริ่มลงมือทำอาหาร
เขายังไม่ได้ขายซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานที่เจ้าดำโปรดปรานเลยสักจาน
กลิ่นหอมของข้าวผัดไข่ไม่รู้กี่ชามต่อกี่ชามฟุ้งออกมาจากครัว กลิ่นหอมของมันอบอวลไปร้านอาหารหมอกเมฆา ทำให้เกิดเป็นไอน้ำปกคลุมไปทั่ว
ขณะที่ทุกคนกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย คนสองคนก็พุ่งเข้ามาในร้านด้วยท่าทางน่าเกรงขาม