ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 433 หน็อย ใครบังอาจมีเรื่องกับน้องเขยข้า
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 433 หน็อย ใครบังอาจมีเรื่องกับน้องเขยข้า
พลังรัศมีสองก้อนเคลื่อนตรงมาราวคลื่นยักษ์คำราม
สายลมที่พัดผ่านทำให้เสื้อคลุมยาวของคนเหล่านี้พลิ้วไหวไปในอากาศ จิตสังหารพวยพุ่งออกมาสาดใส่ทุกคนราวกับลมพายุที่หอบเอาฝุ่นและหินเข้ามาปะทะร่าง
สีหน้าของหลินอู๋อิ่งไม่อาจถมึงทึงได้มากกว่านี้ขณะนำคนตระกูลหลินกลุ่มใหญ่เดินมาช้าๆ ด้านหลังเขาคือคุณชายสามตระกูลหลินที่เพิ่งถูกเจ้าขาวเปลื้องเสื้อผ้าไป
ตอนนี้คุณชายสามมัดเสื้อผ้าของตัวเองแน่นหนาราวห่อเกี๊ยวพลางตบเท้าตามหลังหลินอู๋อิ่งมา ดวงตาจับจ้องไปข้างหน้า ร่างกายเปล่งรัศมีดุร้าย
หลินอู๋อิ่งคือคุณชายใหญ่ของตระกูลหลิน และเป็นพี่ชายของคุณชายสาม ในเมืองหมอกนภา เขาคือยอดนักเล่นแร่แปรธาตุที่พรสวรรค์เหนือชั้นกว่าเหล่ารุ่นเดียวกัน ถึงแม้จะยังด้อยกว่าหนานกงอู๋เชวีย แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจขัดขวางการเป็นคู่แข่งตลอดกาลของพวกเขาได้
หากให้เปรียบเทียบ หลินอู๋อิ่งไม่ได้หล่อเหลาอะไร บางคนอาจบอกว่าเขาอ้วนเตี้ยด้วยซ้ำ และถ้าไม่รู้จัก คนทั่วไปคงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกของตระกูลจางด้วย
คุณชายใหญ่ตระกูลจางสายหลักคือจางตงฟาง เขานำกำลังคนของตัวเองมาด้วยเช่นกัน ทุกคนล้วนมีรัศมีดุดันไม่ต่างจากพวกตระกูลหลิน
จางตงฟาง หลินอู๋อิ่งและหนานกงอู๋เชวีย คือสามคุณชายผู้มีอิทธิพลในเมืองหมอกนภา
กระนั้นก็ดีพรสวรรค์ด้านเล่นแร่แปรธาตุของจางตงฟางไม่โดดเด่นเหมือนสองคนหลัง เอาเข้าจริงมันแย่มากๆ เข้าข่ายไม่เอาอ่าวเลยทีเดียว เขาเป็นคนที่ค่อนข้างไม่เหมือนใครในเมืองหมอกนภา ในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องโอสถทิพย์และยารักษาโรค มีคนที่ไม่เพียงไม่ขายโอสถทิพย์แต่ยังไม่ปรุงโอสถทิพย์ด้วย ชายคนนี้เลือกขายเตาหลอมสำหรับเล่นแร่แปรธาตุแทน
เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ถูกต้อง ข้าอาจเล่นแร่แปรธาตุไม่ได้ แต่ก็เป็นคนที่ควบคุมชะตากรรมของพวกเจ้าอยู่”
สำหรับนักเล่นแร่แปรธาตุ เตาหลอมที่ดีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ต่างจากอาวุธชั้นดีของเหล่าทหารหาญ
เมื่อจางตงฟางกลายเป็นผู้จำหน่ายเตาหลอมรายใหญ่ที่สุดของเมืองหมอกนภา สถานะของเขาก็พุ่งทะยานไม่ต่างจากสองคนที่เหลือ
จางตงฟางเป็นคนผอมแห้ง ผอมจนแทบจะกลายเป็นไม้เสียบผีอยู่รอมร่อ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีสายตาเฉียบคมสมกับเป็นพ่อค้าผู้ชาญฉลาด คนเช่นเขาดูเหมือนทำอะไรรวดเร็ว คนที่ถูกเขาจ้องมองจะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
เมื่อคนสองกลุ่มมาเจอกันตรงทางแยก ทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่จ้องหน้ากัน
หลินอู๋อิ่งและจางตงฟางพยักหน้าให้กันนิดๆ พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยวาจาอะไร นั่นเพราะมันไม่มีความจำเป็น ระดับพวกเขาแล้ว เรื่องเช่นนี้เข้าใจได้โดยปริยาย
เป้าหมายในครั้งนี้ของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือร้านเล็กๆ ของปู้ฟาง
คุณชายสามตระกูลหลิน น้องชายของหลินอู๋อิ่งถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าและต้องวิ่งเปลือยเปล่ารอบเมืองหมอกนภา สำหรับคนเช่นเขา ความอับอายส่วนตัวย่อมเทียบเท่าความอับอายของตระกูล เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับมุมมอง มันอาจไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ได้ หรือมันอาจสำคัญยิ่งยวดก็ได้อีกเช่นกัน
หากคนทำผิดไม่ได้รับผลกรรมใดๆ เหตุการณ์นี้ต้องทำลายชื่อเสียงของพวกเขาในเมืองหมอกนภาอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกด้านหนึ่ง ตระกูลจางก็มีความคิดแบบเดียวกัน อย่างไรเสียพวกเขาจะปล่อยให้สองตระกูลใหญ่ในเมืองหมอกนภาอับอายขายขี้หน้าเพราะร้านอาหารโกโรโกโสได้เช่นไร
ไม่ว่าอย่างไร… ความอับอายครั้งนี้ก็ต้องได้รับการชำระ
และเมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในถิ่นของตระกูลหนานกง เรื่องก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่
หลินอู๋อิ่งและจางตงฟางสบตากันก่อนนำกำลังคนเดินหน้าต่อไป
ฟ้าว
เสียงลมพัดผ่านเบาๆ อีกครั้ง
ทั้งสองฝ่ายย่างเท้าเข้าย่านค้าขายโอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกง และพบบางสิ่งที่ทำให้ขากรรไกรค้างเติ่ง สิ่งที่พวกเขาจินตนาการไว้แตกต่างกับสิ่งที่เห็นในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง นั่นเพราะถนนตรงหน้าโล่งร้างผู้คน และภาพที่เห็นก็ยิ่งทำให้เสียขวัญเข้าไปใหญ่
เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ พวกหนานกงกำลังจะล้มละลายใช่หรือไม่ สองคำถามนี้วิ่งวนอยู่ในใจของทุกคน
กล้ามเนื้อกลมๆ บนใบหน้าของหลินอู๋อิ่งกระตุกเล็กน้อย ดวงตาประดุจเหยี่ยวของจางตงฟางที่อยู่ข้างๆ ก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน มันเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ทั้งสองต่างประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นมาก
กระนั้นหลังจากเดินต่อไปได้ครู่หนึ่ง สายตาของพวกเขาก็พลันเห็นภาพร้านค้าที่แสนคึกคักร้านหนึ่ง ด้วยจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน พวกเขาจึงรู้สึกเหมือนหูจะระเบิดจากเสียงอึกทึกที่ส่งเข้ามา
“นี่คือ… ร้านอาหารรกร้างที่เจ้าพูดถึงรึ”
หลินอู๋อิ่งพูดพลางส่งสายตาแปลกๆ มองคุณชายสามตระกูลหลินที่กำลังหัวหดอยู่ข้างหลัง ทั้งคุณชายสามตระกูลหลินและคุณชายจางประหลาดใจและตกใจเล็กน้อย พวกเขามาถูกที่แล้ว… มันควรเป็นร้านอาหารรกร้างที่เอาอึมาทำอาหารไม่ใช่หรือ
เดิมทีร้านอาหารในเมืองหมอกนภาก็มีเพียงร้านเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะมาผิดร้านได้
“ถะ… ถูกแล้ว” คุณชายสามตระกูลหลินตอบด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ เขากำลังตั้งสติจากการได้เห็นภาพร้านคึกคักตรงหน้า ภาพซึ่งไม่เคยนึกเคยฝันแม้แต่น้อย
“หากเจ้าแน่ใจ… ก็ตามข้ามา… ฮึ กล้าตบหน้าตระกูลหลินของเราเช่นนี้ ต้องเป็นคนโง่เง่าขนาดไหนกัน” หลินอู๋อิ่งพึมพำอย่างเย็นชาก่อนเดินเข้าไปในฝูงชน
“ตระกูลหลินมีธุระที่นี่ ใครไม่เกี่ยวข้องเชิญกลับก่อนได้” ผู้ติดตามสองคนจากตระกูลหลินคุ้มครองนายน้อยของพวกเขาแล้วแหวกทางเดินท่ามกลางทะเลผู้คน
คนมากมายรอบตัวพวกเขาที่กำลังคึกคักเริ่มเงียบเสียงลง ทั้งหมดหันมองใบหน้าเฉยเมยของหลินอู๋อิ่ง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากสักคำ
ตระกูลหลินมาที่นี่…
มีข่าวลือว่าคุณชายสามตระกูลหลินจำต้องวิ่งกลับบ้านชนิดล่อนจ้อน การมาครั้งนี้ต้องเป็นการล้างแค้นแน่นอน!
หลินอู๋อิ่งเอามือไพล่หลังจึงทำให้พุงของเขายื่นออกมาจนเห็นเด่นชัด เขาเดินแหวกฝูงชนอย่างช้าๆ พลังกดดันที่คนผู้นี้แผ่ออกมาเหมือนจะทำให้ทุกคนอึดอัด ทั้งที่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองเลย
ไกลออกไป จางตงฟางซึ่งกำลังรับบทผู้สังเกตการณ์เผยรอยยิ้มบาง
“เจ้าหลินอู๋อิ่งเปิดตัวเสียดิบดี… เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ถึงคราวพวกเราออกโรงบ้างแล้ว”
เพียงชั่วอึดใจเดียว สมาชิกตระกูลจางก็เริ่มแหวกทะเลผู้คนเข้ามาเช่นกัน คุณชายที่มีดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวเป็นคนเดินนำไปยังร้านอาหารเล็กๆ ตรงหน้า
สองตระกูลใหญ่ของเมืองหมอกนภามาเยือนร้านอาหาร... แถมมาพร้อมกันเสียด้วย!
‘สวรรค์โปรด! ร้านนี้จะต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอน!’
นั่นคือความคิดแรกของคนแถวนี้ ดวงตาของพวกเขาพลันเบิกกว้างเป็นจานรองถ้วยอย่างรวดเร็ว
‘แม่เจ้าโว้ย… คนพวกนี้ต้องไม่ได้มาอุดหนุนแน่นอน! ดูท่าร้านนี้จะเดือดร้อนแล้ว!’ นั่นคือความคิดที่สองที่แล่นเข้ามาในหัวของพวกเขา
ความประหลาดใจเพิ่มมากขึ้นทีละนิดขณะหลินอู๋อิ่งและจางตงฟางเดินเข้าไปในร้าน
“ทายาทของสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองหมอกนภามารวมตัวกันในร้านเล็กๆ ร้านเดียว… ต้องเป็นปรากฏการณ์พิเศษแน่!”
ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังประหลาดใจ มีบางส่วนที่อมยิ้มออกมา คุณชายสองคนมาเพื่อหาเรื่องอย่างชัดเจน พูดอีกอย่างคือจะมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูแล้ว
เผื่อว่าใครลืม หนานกงอู๋เชวียยังอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้
เมื่อสามดาวเด่นของเมืองหมอกนภามารวมตัวในที่เดียวกันเช่นนี้ แปลว่าจะเกิดศึกสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไรเล่า
ทุกคนคิดว่าศึกใหญ่ต้องบังเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเขาทำคอยืดคอยาวแอบดูเหตุการณ์ในร้านด้วยความตื่นเต้น
เมื่อคุณชายทั้งสองมาถึงทางเข้าร้าน พวกเขาก็หันหน้ามายิ้มให้กัน แม้จะดูเหมือนรื่นเริงใจแต่แววตาไร้ซึ่งความเมตตา จากนั้นค่อยเดินเข้าไปในร้าน
หืม?
สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือความงดงามจนแทบลืมหายใจของหนานกงหวั่น หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ในร้านดูราวกับเป็นกุหลาบงามบานสะพรั่ง ไม่ว่าจะไปที่ใด ดอกไม้ที่งดงามอย่างนางย่อมตกเป็นเป้าสายตาเสมอ
สำหรับจอมก่อเรื่องทั้งสอง มีเสียงเปรี้ยงดังขึ้นในใจของพวกเขา ร้านนี้มีหนานกงหวั่นหนุนหลังอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนั้น การแก้ปัญหาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยน่าจะดีกว่า เช่นให้ไอ้เจ้าของร้านมันมาขอโทษง่ายๆ
ทั้งสองคนคิดไม่ต่างกัน
ทว่าหลังจากนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ… ภาพไม่น่าดูชมของหนานกงอู๋เชวียที่กำลังยัดอาหารเข้าปากจนมุมปากมีน้ำมันเยิ้มหยดติ๋ง
ดวงตาของพวกเขาเย็นเยียบและหรี่ลงทันที
อะไรกันนี่… หนานกงอู๋เชวียก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ
เช่นนั้น… เรื่องก็ไม่ควรจบง่ายๆ! เว้นแต่เจ้าของร้านจะยอมชดใช้ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้เปิดร้านอีก
“หนานกงอู๋เชวีย!”
หลินอู๋อิ่งแผดเสียงเรียกชื่อหนานกงอู๋เชวีย กล้ามเนื้อกลมๆ บนหน้าของเขากระเพื่อมด้วยความโกรธ เผยให้เห็นฟันที่เรียงกันในช่องปาก
ใบหน้าของจางตงฟางเย็นเยียบราวหินขณะจ้องหนานกงอู๋เชวีย
เมื่อคุณชายทั้งสองฉายแววความเกลียดชังออกมาเช่นนี้ ภาพที่เห็นย่อมดึงดูดความสนใจของปู้ฟางเป็นธรรมดา เขาจ้องสองคนนั้นด้วยสายตานิ่งเรียบ ไม่แน่ใจว่าคนทั้งคู่มาทำอะไรกันแน่
เสียงเอะอะโวยวายเรียกความสนใจของหนานกงหวั่นเช่นกัน นางหันหน้าไปมองพวกเขา ครู่ต่อมาริมฝีปากก็อ้าออกเล็กน้อย
คนพวกนี้มาทำอะไรที่นี่
แถมเจ้าหลินอู๋อิ่ง… หมอนั่นก็มาด้วย… เจ้าอ้วนที่หนานกงอู๋เชวียเคยพยายามจับคู่ให้นาง แค่คิดถึงเรื่องในตอนนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้นางเดือดดาลแล้ว
“อ้าว… บังเอิญอิงๆ พวกเอ้ามาอ๋าของอินเหมือนกันเอ๋อ”
หนานกงอู๋เชวียหันหน้ามามองคนทั้งสอง ขาหมูชิ้นใหญ่ยังเต็มปาก พูดฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาพูดไปพลางโบกไม้โบกมือให้สองคนนั้น
“นั่นสิ… บังเอิญจริงๆ” ทั้งที่ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่สายตาของหลินอู๋อิ่งกลับไร้ซึ่งความเป็นมิตร แววตาของเขา… เหมือนแววตาพยาบาทของผู้เป็นภรรยา
จางตงฟางละสายตาจากหนานกงอู๋เชวียแล้วหันมองปู้ฟาง เขายิ้มออกมาจากนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างนุ่มนวล “เจ้าเป็นเจ้าของร้านเล็กๆ แห่งนี้ใช่ไหม”
ปู้ฟางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้
“ดีมาก... ทั้งที่กล้าตบหน้าตระกูลจางเรา เจ้ายังกล้ารับอย่างเปิดเผย แปลว่าเป็นคนซื่อตรงดี ข้าขอนับถือ แล้วเจ้าคิดจะชดใช้ให้ตระกูลจางอย่างไร” ถึงจุดนี้รอยยิ้มของจางตงฟางก็ไม่เป็นมิตรแล้ว
ทั้งที่ได้ยินเช่นนั้นแต่สีหน้าของปู้ฟางกลับยังสงบนิ่งเช่นเดิม
แปลว่าหลังจากส่งเสียงอึกทึกแล้ว ตัวตลกทั้งสองนี่ยังคิดมาหาเรื่องด้วย… ตระกูลจาง… แล้วอะไรนะ
“ถ้าไม่สั่งอะไรก็… ไสหัวไป” ปู้ฟางขี้เกียจจะเปลืองคำพูด และไม่ชอบเสวนากับตัวปัญหา จึงไม่คิดรักษาน้ำใจ
หมอนี่ช่างบังอาจนัก?!
ไม่เพียงจางตงฟางเท่านั้นที่อึ้งไป หนานกงหวั่นเองก็เช่นกัน
คนผู้นี้ไม่รู้จักจางตงฟางจริงหรือนี่ เขาคือผู้มีอิทธิพลในเมืองหมอกนภา ไม่เพียงมีปราณในระดับที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้ เขายังเป็นหนึ่งในผู้นำรุ่นใหม่และเป็นผู้จำหน่ายเตาหลอมรายใหญ่ที่สุดด้วย
ปู้ฟางบอกให้เขาไสหัวไป เรื่องนี้… ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้
ตอนนั้นเองหลินอู๋อิ่งก็ได้สติแล้วหันมามองปู้ฟางเช่นกัน
ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มให้เห็น เจ้าของร้านอาหารเล็กๆ ที่สมาคมกับหนานกงอู๋เชวีย หากไม่รื้อถอนร้านนี้ทิ้งเสียก็อย่าเรียกเขาว่าหลินอู๋อิ่งเลย!
“เจ้ากล้าเปลื้องเสื้อผ้าคนตระกูลหลิน กำแหงนัก! ข้าไม่คิดว่าร้านนี้จำเป็นต้องเปิดอีกต่อไป และเจ้าควรตามข้ากลับไปสำนึกผิดในคุกใต้ดินของตระกูลหลินเงียบๆ” คำพูดของชายหนุ่มแฝงความโหดเหี้ยม
ผู้สังเกตการณ์ด้านนอกพากันเงียบกริบ
นึกแล้วเชียว ร้านนี้ต้องถูกปิดแน่!
ความสนุกครั้งนี้จบลงภายในไม่กี่อึดใจ!
หลังฟังคำพูดรุนแรงของหลินอู๋อิ่ง ปู้ฟางก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มก่อนยื่นศีรษะมาหาคุณชายหลิน
“เจ้าสมองกลวงหรืออย่างไร”
รูม่านตาของหลินอู๋อิ่งหดเกร็ง จิตสังหารแผ่พุ่งออกมาทันที… เจ้าหมอนี่อยากตายเช่นนั้นหรือ จึงบังอาจกล่าววาจาดูถูกเขาถึงเพียงนี้
เปรี้ยง!!
พลังรัศมีกดดันรุนแรงพวยพุ่งออกจากตัวชายหนุ่มแล้วฟาดเปรี้ยงออกไปราวสายฟ้า
คนที่อยู่รอบๆ ร้านรู้สึกเหมือนถูกพลังเหนือธรรมชาติกดทับ หลายคนถูกบีบให้ถอยร่นเพราะความอึดอัด นี่คือพลังรัศมีของยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์… คนผู้นี้คือยอดฝีมือที่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองปู้ฟางด้วยสายตาเวทนา
กล้าเรียกหลินอู๋อิ่งว่าสมองกลวง เขาอยากสมองกลวงเองหรืออย่างไร
หรือคิดว่าชื่อเสียงของคนพวกนี้เป็นเพียงคำพูดไร้สาระ
“คิดจะก่อปัญหาหรือ” ปู้ฟางหรี่ตาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ไม่… เจ้านั่นแหละที่รนหาที่” กล้ามเนื้อกลมๆ ของหลินอู๋อิ่งสั่นเทา
“เจ้าขาว มีคนคิดก่อเรื่องที่นี่” ปู้ฟางสูดหายใจเข้าเบาๆ ก่อนตะโกนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่นานหลังจากนั้น รูม่านตาของหลินอู๋อิ่งก็หดเกร็งเพราะแสงสีม่วงที่ระเบิดออกมาจากครัวอย่างฉับพลัน แสงสีม่วงดังกล่าวทำให้ร่างกายของเขาเย็นยะเยือก
หุ่นเชิดขนาดมหึมาสวมชุดเกราะเต็มยศเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากครัว ตอนนั้นเองแหล่งกำเนิดความเย็นเยียบของแสงสีม่วงก็จ้องมาที่เขา
หลินอู๋อิ่งตัวแข็งทื่อ
“เจ้าหุ่นเชิดนั่น… อยู่ในชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์เช่นกันรึ?! ฮึ เจ้าคิดว่ามีหุ่นเชิดแล้วจะท้าทายตระกูลหลินของเราอย่างไรก็ได้หรือ…”
หลินอู๋อิ่งหัวเราะเย็นชา แต่ก่อนจะทันพูดจบ เสียงจักรกลของเจ้าขาวก็แหวกอากาศมาอยู่ตรงหน้า
“ผู้ก่อความไม่สงบจะต้อง…
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร! พวกเจ้ากล้าหาเรื่องน้องเขยข้ารึ?!” ตอนนั้นเองเสียงคำรามก็พุ่งเข้ามาในวงสนทนาราวกับเป็นกระทิงคลั่ง และตัดบทเจ้าขาวก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ
ทุกคนหันหน้ามองหนานกงอู๋เชวียด้วยสายตาแปลกประหลาด ชายหนุ่มฟาดกระดูกขาหมูลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง