ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 434 เจ้าเล่นกับไฟตามใจชอบไม่ได้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 434 เจ้าเล่นกับไฟตามใจชอบไม่ได้
“พวกเจ้ากล้าหาเรื่องน้องเขยข้ารึ?!”
วาจาโอหังของหนานกงอู๋เชวียดังแหวกอากาศขึ้นมา
ฝูงชนที่อยู่รายรอบต่างประหลาดใจ ทุกคนอ้าปากค้างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
น้องเขย?!
น้องเขยเช่นนั้นรึ?!
เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าร้านเล็กๆ แห่งนี้ถึงกล้าทำตัวห้าวหาญนัก พับผ่าสิ ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เช่นนั้นก็ไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดเทพธิดาหนานกงหวั่นถึงมายังร้านนี้ หนำซ้ำยังกล้ากินอาหารที่เหม็นเหมือนอึนั่นด้วย
ทั้งหมดนี่… เป็นเพราะความรัก!
เจ้าของร้านอาหารหมอกเมฆาคือสามีของเทพธิดาหนานกงหวั่นหรือนี่
โอ้สวรรค์!
เรื่องนี้มันจะบ้าบอเกินไปแล้ว!
ริมฝีปากของปู้ฟางกระตุก เขาอยากใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำฟาดหนานกงอู๋เชวียให้สลบเสียเหลือเกิน
ใครเป็นน้องเขยของหมอนี่กัน ปู้ฟางตกปากรับคำเป็นน้องเขยของหนานกงอู๋เชวียตั้งแต่เมื่อไหร่
หนานกงหวั่นเองก็งงงวยเช่นกัน แต่สติก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้างดงามของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อทันที นางจ้องหนานกงอู๋เชวียราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ดวงตาแดงก่ำคู่งามเหมือนจะพ่นไฟได้อย่างไรอย่างนั้น
ตู้ม!
ลูกไฟเล่นแร่แปรธาตุสีเขียวปรากฏเหนือฝ่ามือของหนานกงหวั่น
“หนานกงอู๋เชวีย หากเจ้าไม่ใช่พี่ชายข้า ข้าคงหักกระดูกของเจ้าเป็นชิ้นๆ แล้ว ขืนกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะกลับไปทำลายเตาหลอมสุดที่รักของเจ้าเดี๋ยวนี้!
หนานกงหวั่นกรีดร้องด้วยความโมโห เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเผชิญหน้ากับตัวตลกผู้นี้อย่างใจเย็น
ทั้งหลินอู๋อิ่งและจางตงฟางต่างพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำที่เจือความเอร็ดอร่อยของหนานกงอู๋เชวียฟังดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
แสงสีม่วงกะพริบวาบในดวงตาของเจ้าขาว คำพูดของหนานกงอู๋เชวียเหมือนทำลายจังหวะของมัน ทำให้มันนิ่งไปพักหนึ่ง
หนานกงอู๋เชวียเช็ดปากมันเยิ้มพลางเคี้ยวไปด้วย รูม่านตาของเขาขยายกว้างขณะกลืนอาหารอร่อยคำโต ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเหยียดยาว
“อร่อยมาก... น้องสาวที่รักของพี่ เจ้าไม่ต้องปฏิเสธไป คนอย่างเจ้าห่วงเรื่องภาพลักษณ์ยิ่งกว่าสิ่งใด แต่กลับไม่ห่วงสวยตอนอยู่ต่อหน้าเถ้าแก่ปู้ ข้าเป็นพี่ชายเจ้า ย่อมรู้ใจของเจ้าดี” หนานกงอู๋เชวียพูด เขาจ้องหนานกงหวั่นด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง
หนานกงหวั่นอยากเผาชายคนนี้ด้วยเพลิงสังเคราะห์ของนางเสียจริง
“อะแฮ่ม… ข้าขอร้องเจ้าละ อย่าพูดจาเหลวไหลและทำลายความเดียงสาของข้าเลย และอย่าก่อเรื่องในร้านข้าด้วย” ก่อนหนานกงหวั่นจะมีโอกาสได้ระบายความขุ่นเคือง ปู้ฟางก็ชิงเปิดปากแล้วต่อว่าหนานกงอู๋เชวียด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์เสียก่อน
กระนั้นก็ดีหนานกงอู๋เชวียกลับเบิกตากว้างจ้องมองปู้ฟาง เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน หนานกงหวั่นถูกปฏิเสธหรือนี่
“น้องสาวของข้าไม่สวยหรืออย่างไร น้องสาวของข้าไม่น่ารักหรอกหรือ หากไม่ใช่ เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากเป็นน้องเขยข้า”
หนานกงอู๋เชวียเกาศีรษะพลางมองหนานกงหวั่น “น้องพี่ เจ้าคงไม่ได้แต่งงานแล้ว”
“หนานกงอู๋เชวีย! อย่าทำตัวสมองกลวง เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?!”
ถ้อยคำเรื่อยเปื่อยของหนานกงอู๋เชวียถูกปัดทิ้งด้วยคำพูดเกรี้ยวกราดของหลินอู๋อิ่ง
หนานกงอู๋เชวียยิ้มแล้วหันไปมองหลินอู๋อิ่ง ชายผู้นี้ไม่ค่อยทำตัวเคร่งขรึมนัก ทว่าตอนนี้เขากลับเอาจริง สายตาก็แหลมคมราวกระบี่ แค่สบตาก็เหมือนเอาคอพาดเขียงแล้ว
แม้หนานกงอู๋เชวียจะยกยิ้มไร้ยางอาย แต่สายตาที่จ้องมองหลินอู๋อิ่งกลับเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง
หนานกงอู๋เชวียขยับริมฝีปากช้าๆ ทั้งยังขยับตัวเล็กน้อย
“เจ้าลองเดาสิ”
ให้ตายเถอะ…
ให้เดาอะไร?!
หลินอู๋อิ่งแทบกระอักเลือด แม้ว่าดวงตาจะเย่อหยิ่งจองหอง แต่ปากกลับพูดออกมาว่าให้เขาลองเดา
เหตุใดเขาจึงต้องมาเป็นอริกับคนสมองกลวงเช่นนี้ด้วย?!
หนานกงหวั่นเองก็พูดอะไรไม่ออก... นี่มันน่าอับอายเกินไปแล้ว
สีหน้าของปู้ฟางยังเฉยเมยขณะตบพุงเจ้าขาวเบาๆ ทำให้แสงสีม่วงสลัวในดวงตาของมันสว่างจ้าอีกครั้ง
วิ้ง…
ปีกสีทองบนหลังของเจ้าขาวกางออก ก่อเกิดเป็นลมกระโชกแรงพัดไปทั่วร้าน
หัวใจของหลินอู๋อิ่งและจางตงฟางตกไปอยู่ตรงตาตุ่ม พวกเขามองเจ้าขาวอย่างระแวดระวัง หุ่นเชิดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ไม่ง่ายที่จะรับมือด้วย
“ร้านเล็กๆ นี่กล้าเป็นศัตรูกับตระกูลหลินของข้ารึ” หลินอู๋อิ่งพูดอย่างเย็นชา เขาจ้องปู้ฟางราวกับอีกฝ่ายเป็นซากศพ
เจ้าขาวกระพือปีกสีทอง ทันใดนั้นใบมีดสีทองนับไม่ถ้วนก็ยื่นออกมาปีกคู่นั้น เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกัน ทำให้ดูเหมือนว่ามันพร้อมจะยิงใส่เป้าหมายแล้ว
ตอนนั้นเองเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าขาว ปิดกั้นทางของมันไว้
“นายท่านขาว ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไป… ท่านพักก่อนดีหรือไม่ คุณชายอย่างข้าจะจัดการพวกโง่นี่ให้เอง!” ผมสีแดงของหนานกงอู๋เชวียปลิวไปตามลมขณะรั้งตัวเจ้าขาวไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ขณะพูดเขายังกล้าเอามือตีพุงเจ้าขาวเบาๆ ด้วย
“ไม่เลว เด้งดีใช้ได้!”
“หนานกงอู๋เชวีย คิดว่าคนอย่างหลินอู๋อิ่งกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ มา เช่นนั้นก็มาสู้กัน!”
หลินอู๋อิ่งแผดเสียงขณะปล่อยลำแสงออกมาห่อหุ้มร่าง เขาพุ่งเข้าหาหนานกงอู๋เชวียด้วยความเร็วที่เกือบเท่าความเร็วเสียง ดวงตาของจางตงฟางมีแสงวูบวาบขณะขยับตัวเช่นกัน แส้ที่หุ้มห่อด้วยพลังปราณเที่ยงแท้เผยโฉมออกมาขณะชายหนุ่มพุ่งเข้าหาหนานกงอู๋เชวีย คู่ต่อสู้ผู้มีปราณชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์จู่โจมหนานกงอู๋เชวียพร้อมกัน
บรรยากาศภายในร้านเปี่ยมด้วยจิตสังหารอีกครั้ง
หนานกงอู๋เชวียหรี่ตา สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง พลังปราณเที่ยงแท้แผ่พุ่งออกมาอย่างฉับพลัน ส่วนฝ่ามือก็มีเปลวไฟสีขาวห่อหุ้มอยู่
“เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี… เปลวเพลิงราชันเก้าโลกันตร์รึ”
หลินอู๋อิ่งชะลอการบุกไปแวบหนึ่ง ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความต้องการอยากได้
เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี… เป็นเปลวเพลิงในฝันของนักเล่นแร่แปรธาตุทุกคน
เปลวไฟสีขาวของหนานกงอู๋เชวียเริ่มหมุนวนแล้วแปรเปลี่ยนเป็นวงแหวนไฟ เขาสะบัดมือส่งวงแหวนไฟเข้าใส่หลินอู๋อิ่ง
ตู้ม!
หลินอู๋อิ่งหลบเปลวไฟไม่ทันทำให้ถูกส่งลอยละล่องออกไปนอกร้าน
อีกด้านหนึ่ง จางตงฟางเข้าประชิดหนานกงอู๋เชวีย เขาฟาดแส้ที่ห่อหุ้มด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ซึ่งคมดุจมีดเข้าใส่อีกฝ่าย
ตอนนั้นเองความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของชายหนุ่มอย่างฉับพลัน
เงาหนึ่งพุ่งเข้าหาจางตงฟางที่กำลังลงมือ และก่อนที่เขาจะทันได้โจมตีเป้าหมาย เงานั้นก็ปะทะใส่แล้วส่งเขากระเด็นไปที่ประตูร้าน
แสงสีม่วงในดวงตาของเจ้าขาวเป็นประกายเจิดจ้า ขณะที่ร่างของจางตงฟางยังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศ เจ้าขาวก็คว้าศีรษะของเขาไว้แล้วเหวี่ยงออกไปนอกร้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะตกกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
แรงปะทะทำให้ถนนเป็นหลุมลึก ทั้งที่มีวงแหวนปราณเสริมความแข็งแกร่งอยู่แท้ๆ
“ผู้ก่อความไม่สงบ... จะต้องถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าประชาชี”
แสงสีม่วงในดวงตาของเจ้าขาวกะพริบวาบ มันยกมือขึ้นแล้วเตรียมฉีกเสื้อผ้าอีกฝ่าย
ทว่าจางตงฟางที่ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าขาวทำตามอำเภอใจก็เหาะขึ้นจากหลุมบนพื้น ทั่วทั้งร่างห่อหุ้มด้วยพลังปราณเที่ยงแท้
ครั้งนี้เป็นเจ้าขาวที่ถูกเหวี่ยงกระเด็นบ้าง
เตาหลอมสีทองลอยอยู่ตรงกลางหน้าผากของจางตงฟาง
เขาใช้เตาหลอมนี้ผลักเจ้าขาวหงายหลังไป
วาบ...
เมืองหมอกนภาถูกหุ้มห่อด้วยรัศมีเจิดจ้าของวงแหวนปราณ พื้นที่ที่เสียหายถูกซ่อมแซมด้วยพลังที่ไร้รูปทรง
“ให้ตายสิ… นายท่านขาวเสียท่าจริงหรือนี่”
หนานกงอู๋เชวียที่ยังมีเปลวไฟสีขาวลุกโชนบนมืออุทานด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าควรห่วงตัวเองเถอะ!”
ทันทีที่เปลวไฟสีขาวซึ่งใช้เล่นงานหลินอู๋อิ่งค่อยๆ สลายไป ภาพที่ปรากฏคือรัศมีไร้รูปทรงได้ห่อหุ้มร่างของหลินอู๋อิ่งเอาไว้ ปกป้องเขาจากการแผดเผาของเปลวไฟสีขาวที่กำลังสลายตัว
“เจ้าบ้าเอ๊ย… นี่เจ้าใช้โอสถทิพย์ระดับเก้า ‘โอสถป้องกันเพลิง’ เช่นนั้นรึ ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงเลยใช่ไหม!”
หนานกงอู๋เชวียจ้องหลินอู๋อิ่งด้วยสายตาไม่พอใจ
ทว่าหลินอู๋อิ่งก็ไม่คิดตอบโต้หนานกงอู๋เชวีย เขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น พลังปราณเที่ยงแท้แผ่ออกจากร่าง จากนั้นร่างที่ปกคลุมด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ก็เปลี่ยนเป็นวูบไหวพร่ามัว
มีหลินอู๋อิ่งอีกร่างลอยอยู่ข้างๆ ตัวจริง
“วิชาอำพรางของตระกูลหลินรึ”
หนานกงหวั่นมองอยู่ไกลๆ มิน่าเล่าหลินอู๋อิ่งถึงได้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเมืองหมอกนภา เพราะเขาสามารถใช้ท่าไม้ตายของตระกูลหลินได้นั่นเอง
ภาพของทั้งสองร่างหายไปจากตำแหน่งเดิม ทำเอาอากาศสั่นสะเทือนราวกับถูกแยกออกจากกัน
คลื่นเสียงน่าสะพรึงกลัวแผ่พุ่งออกมา
หนานกงอู๋เชวียยังสงบนิ่งอยู่ทั้งที่ต้องรับมือกับวิชาอำพรางของหลินอู๋อิ่ง เขากระทืบเท้าเบาๆ แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม!
ตรงจุดที่หนานกงอู๋เชวียเคยยืนปรากฏรูขนาดใหญ่ขึ้นด้วยฝีมือของหลินอู๋อิ่ง
ภายในฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบหลังการโจมตี เงาหนึ่งก็พุ่งเข้าหาหนานกงอู๋เชวียแล้วจู่โจมใส่อย่างรุนแรง
เปลวไฟสีขาวลุกโชนกลบร่างของหนานกงอู๋เชวียเพื่อปกป้องทันที
ความเร็วของการต่อสู้ที่เกิดขึ้นว่องไวมากจนผู้ชมมองการเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่ด้วยตาเปล่าไม่ทัน
“วิชาอำพราง? เจ้าคิดว่าจะสู้ข้าได้เพราะชำนาญวิชาอำพรางรึ”
หนานกงอู๋เชวียแผดเสียงแล้วปรากฏตัวอีกครั้งด้านหลังหลินอู๋อิ่ง เปลวไฟที่ครอบฝ่ามืออยู่เล่นงานศีรษะของอีกฝ่าย หลินอู๋อิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก เขากลับตัวอย่างรวดเร็วแต่เห็นเพียงเงาเลือนรางของอีกฝ่ายเท่านั้น นั่นเพราะหนานกงอู๋เชวียเปลี่ยนตำแหน่งเรียบร้อย แล้วไปโผล่ข้างหลังเขาอีกครั้ง
“เหตุใดเจ้าจึงกล้าลงมือกับน้องเขยข้า”
ผั่วะ!
เสียงตบหลังศีรษะของหลินอู๋อิ่งดังลั่น ทำให้ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ผั่วะ… ผั่วะ…
เสียงตบดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง หนานกงอู๋เชวียเสพติดมันเสียแล้ว ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกคว้าไว้ ดวงตาของหลินอู๋อิ่งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตามีแต่ความเกลียดชัง
“เจ้าชอบตบนักใช่ไหม” หลินอู๋อิ่งพึมพำด้วยความโกรธ
เงาดำปรากฏขึ้นบนผิวของหลินอู๋อิ่งแล้วยับยั้งแขนของหนานกงอู๋เชวียไว้
หนานกงอู๋เชวียกะพริบตาปริบ
“แล้วอย่างไร ทีเจ้าล่ะ… ชอบกอดรัดแขนข้านักหรือไร” หนานกงอู๋เชวียย้อน
หลินอู๋อิ่งสะดุ้งเฮือก
ทันใดนั้นเปลวไฟสีขาวก็ลุกโชนออกจากแขนที่ถูกควบคุมไว้
ตู้ม…
เปลวไฟลุกไหม้ พลังกดดันรุนแรงส่งหลินอู๋อิ่งปลิวลอยไปกระแทกร้านโอสถทิพย์ที่อยู่ไกลออกไป
เงาดำสลายตัวเพราะขาดแรงเสริม
หนานกงอู๋เชวียโค้งคำนับอย่างยียวนพลางปรายตามองหลินอู๋อิ่ง
“เจ้าจะเล่นกับไฟอย่างนั้นไม่ได้ คราวหน้าระวังให้มากหน่อยละกัน”
ตู้ม!
พื้นดินสั่นสะเทือน
หนานกงอู๋เชวียหันกลับไปมองต้นตอของการสั่นไหว
เขาเห็นจางตงฟางถูกหมัดของเจ้าขาวซัดกระแทกพื้น หลุมลึกปรากฏขึ้นที่พื้นอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะถูกซ่อมแซมได้ไม่นาน
ตอนนั้นเองเตาหลอมสีทองสามเตาก็พุ่งเข้าใส่เจ้าขาวแล้วดันให้มันถอยหลังไป
ดวงตาของจางตงฟางมีแต่ความเกลียดชังขณะกระอักเลือดออกมา เขาไม่เคยนึกฝันว่าเจ้าหุ่นเชิดนั่นจะแข็งแกร่งปานนี้
ปีกโลหะสีทองบนหลังของเจ้าขาวกางออก ดวงตาสีม่วงของมันจับจ้องไปที่จางตงฟาง
เตาหลอมสีทองทั้งสามที่ลอยอยู่ตรงหน้าจางตงฟางรวมร่างกันเป็นวงแหวนปราณรูปทรงประหลาดเพื่อปกป้องเขา รูปแบบของวงแหวนปราณนี้ค่อนข้างลึกลับทีเดียว
ปากของจางตงฟางกระตุกขึ้นมาทันใด เหตุใดเขาต้องมาสู้กับเจ้าหุ่นเชิดนี่ด้วย สิ่งที่ต้องทำคือสังหารคนที่สั่งการมันต่างหาก
จางตงฟางชี้มือมาข้างหน้าพร้อมจิตสังหารรุนแรง เขาใช้จิตสั่งเตาหลอมสีทองทั้งสามให้พุ่งเข้าหาปู้ฟางที่กำลังยืนดูการต่อสู้อยู่
ชั่วขณะที่เตาหลอมทั้งสามกำลังพุ่งทะยานแหวกอากาศ
“น้องเขย ระวังตัวด้วย!” หนานกงอู๋เชวียแผดเสียงอย่างเป็นห่วงเป็นใย
หนานกงหวั่นเองก็วิตกเช่นกัน กระทั่งได้ยินเสียงเตือนของหนานกงอู๋เชวีย… น้องเขยกับผีเจ้าสิ?!
ปู้ฟางยังคงสงบนิ่งทั้งที่กำลังเผชิญอันตราย แม้แต่จางตงฟางก็ยังไม่อยากเชื่อปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ตอนนั้นเองจางตงฟางก็เห็นควันสีเขียวหมุนรอบข้อมือของปู้ฟาง จากนั้นกระทะใบใหญ่ก็โผล่ออกมาในอากาศ
ปัง…
เตาหลอมสีทองทั้งสามปะทะเข้ากับกระทะสีดำ