ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 435 กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ...ราชันแห่งกระทะ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 435 กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ...ราชันแห่งกระทะ
จางตงฟางเป็นผู้จำหน่ายเตาหลอมในเมืองหมอกนภา ถือว่าเขาผูกขาดกิจการขายเตาหลอมทั้งหมดในเมือง และเตาหลอมสีทองทั้งสามเตาคือสมบัติล้ำค่าของเขา
เตาหลอมทั้งสามไม่ได้มีไว้เพื่อปรุงโอสถ มันมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดเมื่อถึงคราวต้องต่อสู้ และสามารถใช้เป็นอาวุธร้ายกาจได้
จางตงฟางตั้งใจใช้อาวุธนี้โจมตีระยะไกลใส่ปู้ฟาง
แม้ว่าหุ่นเชิดของเถ้าแก่ปู้จะมีปราณในชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวเถ้าแก่ปู้เองมีปราณเพียงขั้นเทพแห่งสงคราม เขาจะป้องกันตัวจากกระบวนท่าสังหารของจางตงฟางได้อย่างไร
ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างทอดถอนใจ พวกเขาหลับตาเพราะไม่อยากเห็นผลลัพธ์ของการปะทะครั้งนี้
เทพธิดาหนานกงหวั่นของพวกเขาเพิ่งพบสามีแท้ๆ… น่าเสียดายที่คนผู้นี้ต้องมาด่วนจากไป
หนานกงหวั่นรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง นางรู้ว่าเตาหลอมทั้งสามมีพลังร้ายกาจเพียงใด สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นจางตงฟางใช้มันต่อสู้กับปู้ฟาง หนาน กงหวั่นรู้สึกเศร้าโศกอยู่ในใจ
แปลว่าเถ้าแก่ปู้ต้องตายอย่างนั้นหรือ
หากเถ้าแก่ปู้พลาดท่าจริงๆ นางคงไม่ได้ชิมอาหารอร่อยฝีมือเขาอีก
อีกด้านหนึ่ง หนานกงอู๋เชวียเบิกตาโตเท่าจานรองถ้วย สีหน้าของเขามีความซับซ้อน เขาดูเศร้าโศกทั้งยังมีแววโหยหาปรากฏบนใบหน้า
“น้องเขย เจ้าจะตายเช่นนี้ไม่ได้!”
หนานกงอู๋เชวียส่ายศีรษะ น้ำตาเอ่อออกมาคลอเบ้าและพร้อมจะทะลักออกมาได้ทุกเมื่อ
ปู้ฟางที่มีกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในมือจ้องมองเตาหลอมทั้งสามเขม็ง ชายหนุ่มขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มบางเมื่อความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
ทันใดนั้นกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็พุ่งออกจากมือของปู้ฟางไป ความเร็วของมันถือว่าว่องไวทีเดียว
แม้ว่ากำลังเผชิญกับเตาหลอมทั้งสามและผู้ฝึกตนที่มีปราณชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ แต่ปู้ฟางกลับไม่มีร่องรอยความกลัวบนใบหน้า ประหนึ่งไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งกว่า
จางตงฟางอาจเสียทีให้เจ้าขาวแต่ก็ไม่รู้สึกอับอาย เขากลับปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง
ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง…
ตราบใดที่สังหารปู้ฟางได้ ก็ย่อมไม่มีใครหน้าไหนควบคุมหุ่นเชิดนั่นได้อีก เมื่อไม่มีคนคอยสั่งการ จางตงฟางย่อมหาวิธีจัดการมันได้แน่นอน
และหากเขาสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมหุ่นเชิดนั่น… ก็อาจใช้ประโยชน์จากมันได้
เมื่อคิดว่าตนอาจจะมีหุ่นเชิดชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ในอาณัติ จางตงฟางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาหลุดปากหัวเราะคิกคักแล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในท้ายที่สุด
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จางตงฟางจะยิ่งใหญ่ในเมืองหมอกนภา… นั่นเพราะเขาใช้สารพัดวิธีชั่วร้ายไต่เต้าขึ้นมานั่นเอง
ทุกคนที่ดูการต่อสู้อยู่แอบถอนหายใจอยู่ภายใน
ครั้งนี้เถ้าแก่ปู้ต้องไม่รอดแน่…
สิ่งใดจะแกร่งกว่ากัน เตาหลอมทั้งสามหรือว่ากระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
ปู้ฟางไม่แน่ใจกับคำตอบนัก แต่เขาเชื่อมั่นในกระทะกลุ่มดาวเต่าดำของตัวเอง สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่งทั้งที่กำลังเผชิญกับเตาหลอมทั้งสาม
ชั่วขณะที่เตาหลอมสีทองทั้งสามพุ่งเข้าใส่ ลมกระโชกแรงก็พัดใส่ปู้ฟาง ผมเขาของปลิวกระจายไปด้านหลัง แต่สีหน้ากลับไร้แววตื่นตระหนก
ปู้ฟางจับตามองการปะทะกันระหว่างกระทะกลุ่มดาวเต่าดำของเขาและเตาหลอมสีทองทั้งสามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำมีอีกชื่อหนึ่งว่ากระทะเปลี่ยนสัณฐานสวรรค์และปฐพี มันคือส่วนหนึ่งของชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ
เช่นนั้นแล้วปู้ฟางจะสงสัยในพลังของกระทะกลุ่มดาวเต่าดำได้อย่างไร
พลังของอุปกรณ์พ่อครัวเทพสูงส่งเกินกว่าทุกคนจะจินตนาการได้ ตอนนี้ตัวปู้ฟางยังถือว่าอ่อนชั้น… แต่ทุกครั้งที่ปราณของเขาก้าวหน้าขึ้น เขาก็สัมผัสถึงความสามารถอันร้ายกาจของอุปก กรณ์พ่อครัวเทพได้มากขึ้นกว่าเดิม
ไม่ต่างอะไรจากมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง… มีดเล่มเดียวที่ช่วยให้ปู้ฟางสามารถประกาศศักดาในจักรวรรดิวายุแผ่วได้ เมื่อเขาใช้มันต่อสู้กับเหล่าอสูรเวท ก็ไม่ต่างอะไรกับเขากำล ลังตัดหญ้าอยู่
เมื่อพลังปราณของเขาแกร่งกล้าขึ้น มีดทำครัวกระดูกมังกรทองก็แกร่งกล้าขึ้นเช่นกัน บัดนี้พลังของมันแข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้ว
หนานกงอู๋เชวียยืนเฉยไม่คิดขยับตัว เขายืดมือขึ้นไปบนฟ้าพลางมองกระทะสีดำทะมึนปะทะกับเตาหลอมทั้งสาม
กระทะสีดำ… น่าจะแหลกเป็นเศษเล็กเศษน้อยแน่นอน
เพราะอย่างไรเสียเตาหลอมทั้งสามก็คือสมบัติล้ำค่าของจางตงฟาง มันไม่ใช่สิ่งที่จะกระเด้งกระดอนเพราะกระทะใบเดียว
ชั่วขณะที่กระทะกลุ่มดาวเต่าดำพุ่งเข้าไปใกล้เตาหลอมทั้งสาม การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น ปู้ฟางถึงกับอึ้งอยู่ในใจ
เขามองกระทะสีดำทะมึนที่อยู่บนฟ้า รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองแม้แต่น้อย
เขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ส่งมาจากกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน…
ตู้ม!
เตาหลอมทั้งสามกระแทกกับกระทะกลุ่มดาวเต่าดำบนฟ้า
เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นเต็มสองหูจนทุกคนรู้สึกว่าแก้วหูกำลังจะระเบิด มันไม่ใช่การชนปะทะเพียงครั้งเดียว เสียงการปะทะที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนดังเขย่าแก้วหูของทุกคนเป็นระ ะลอก
หลายคนเอามืออุดหูพลางมองบนฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“กระทะสีดำ… ต้านทานเตาหลอมของจางตงฟางได้จริงหรือนี่
“ให้ตายเถิด… กระทะสีดำหน้าตาบ้านๆ ใบนี้ช่างแข็งแกร่งจริงๆ”
“เตาหลอมของจางตงฟางมีปัญหาเรื่องคุณภาพหรือเปล่า มันจะใช้ปรุงโอสถได้อย่างไรถ้าแค่ฟาดกระทะสีดำให้แตกก็ยังทำไม่ได้”
ทุกคนตื่นตกใจเมื่อเห็นกระทะสีดำไม่บุบสลายหลังพุ่งเข้าชนเตาหลอมทั้งสาม พวกเขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากสนทนากันอย่างเมามัน
หนานกงอู๋เชวียลืมตัวโบกกำปั้นอย่างตื่นเต้นในอากาศ “เถ้าแก่ปู้… เก่งมาก กระทะสีดำใบนี้ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน!”
กระทะสีดำของปู้ฟางสามารถต้านทานเตาหลอมของจางตงฟางได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น…
หนานกงอู๋เชวียคลึงกำปั้นทั้งสองข้าง พลังรัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เปลวไฟสีขาวทรงอานุภาพปรากฏออกมาจากร่างแล้วเข้าปกคลุมชายหนุ่มทั้งตัวอย่างรวดเร็ว
คลื่นความร้อนพุ่งขึ้นไปในอากาศ คลื่นกระแทกเริ่มแผ่กระจายออกมาโดยมีหนานกงอู๋เชวียเป็นจุดศูนย์กลาง คลื่นนั้นส่งผลต่อทุกอย่างรอบบริเวณจนทำให้ทุกคนเริ่มหวาดผวา
พลังของเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีช่างล้ำลึกยิ่งนัก!
“ไม่ต้องห่วง… เขาไม่ได้เตาหลอมคืนไปแน่”
ปู้ฟางมองกระทะกลุ่มดาวเต่าดำของตัวเองพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ทันทีที่คำพูดของปู้ฟางหลุดจากปาก ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็ถึงกับตัวชา บางคนเอ่ยเย้ยหยันด้วยซ้ำว่าเขาประเมินตัวเองสูงเกินไป
แสงสีทองและสีดำบนท้องฟ้ายังคุมเชิงกันอยู่ ไม่มีฝ่ายใดชิงความได้เปรียบเหนืออีกฝ่าย เช่นนี้ปู้ฟางไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงกล้าพูดว่ากระทำสีดำของตนจะปราบเตาหลอมทั้งสามได้
ทว่าก่อนเสียงคนขี้สงสัยจะทันได้ซาลง บนท้องฟ้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจ
แสงสีทองจากเตาหลอมทั้งสามเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างยิ่งยวด ประหนึ่งว่ามีดวงอาทิตย์ดวงเล็กอีกดวงปรากฏบนฟ้าและทำให้ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ตาพร่าไป
ตอนที่ปะทะกันครั้งแรก จางตงฟางรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่งยวดที่เห็นเตาหลอมของเขาถูกกระทะสีดำหน้าธรรมดาต้านทานไว้ได้
ทว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าเตาหลอมของตัวเองจะเปล่งแสงสีทองที่เจิดจ้าจนมองอะไรแทบไม่เห็นออกมา การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เขาตกใจไม่น้อย แสงสีทองสุกสกาว… หรือว่าเตาหลอมของเ เขากำลังจะเอาชนะกระทะสีดำนั่น
มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
จางตงฟางตื่นเต้นมากจนควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ เขาอยากร้องตะโกนออกมาดังๆ
ทว่าก่อนจะได้แสดงความยินดีด้วยการประกาศชัยชนะอย่างกึกก้อง เจ้าขาวก็ตบศีรษะของเขาแล้วครูดมันไปกับพื้น
จางตงฟางกระอักเลือดอีกครั้ง…
แม้จะไม่สามารถแสดงความเบิกบานผ่านเสียงตะโกน แต่ความตื่นเต้นในแววตาของเขาก็ไม่อาจปกปิดได้
“กรร!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายก็เติมเต็มความเงียบงัน
ครู่ต่อมาเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีทองโชติช่วง เงาดังกล่าวใหญ่โตมหึมาและดูเหมือนกำลังจะแหวกแสงสีทองออกมา
เงานั้นแผ่รัศมีน่าเกรงขาม มันดูเหมือนกำลังแบกภูเขาที่ทำจากทองเอาไว้ มีสัตว์หน้าตาพิสดารหลายตัวบินวนอยู่เหนือภูเขาดังกล่าว
พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้นพร้อมเงาร่างนี้
ตอนนั้นเองทุกคนก็ตะลึงงันไป
ในใจของปู้ฟางตื่นตะลึงไม่รู้จบ… หรือว่านั่นคืออสูรเวทนามว่าเสวียนอู่
มีอสูรเวทอาศัยอยู่ในชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพจริงๆ หรือนี่
ต่อให้มีอสูรเวทอยู่ในชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพแต่ละชิ้นจริงๆ ทว่าพวกมันก็ไม่เคยปรากฏกายมาก่อน หรือว่าการยั่วยุของเตาหลอมทั้งสามจะบีบบังคับให้มันต้องเผยตัว
ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ กระทะเปลี่ยนสัณฐานสวรรค์และปฐพี… ราชันแห่งกระทะ!
เกียรติยศของราชันแห่งกระทะไม่ใช่สิ่งที่เตาหลอมสามเตาเล็กๆ จะมาท้าทายได้
เงานั้นเลือนหายไปอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากตอนปรากฏตัว
แสงที่กระทะกลุ่มดาวเต่าดำแผ่ออกมาหายลับไปราวกับไม่เคยมีตั้งแต่แรก จากนั้นมันก็คืนรูปร่างมาเป็นกระทะสีดำเรียบง่ายธรรมดา แล้วลอยตัวบนความว่างเปล่าเงียบๆ
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงแตกละเอียดดังก้องฟังชัดเจน
หลายคนที่ตกใจกับเสียงคำรามของอสูรเวทเสวียนอู่กลับมาได้สติอีกครั้ง พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยความฉงนสนเท่ห์เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
บนท้องฟ้า เตาหลอมสีทองทั้งสามพังทลายแตกละเอียด เมื่อถูกลมกระโชกใส่ เตาหลอมทั้งสามก็กลายเป็นทรายป่นๆ แล้วร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า
เตาหลอมทั้งสามถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนั้นเอง…
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่บนฟ้าคือกระทะสีดำทมิฬ มันยังแขวนตัวเองอยู่กลางอากาศเงียบๆ
ตอนนั้นเองทุกคนต่างก็จ้องกระทะใบนั้น และสัมผัสได้ถึงพลังกดดันที่มาจากกระทะสีดำสนิทหน้าตาธรรมดาๆ
ให้ตายเถิด… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แสงสีทอง… แสงสีทองเมื่อครู่ไม่ได้มาจากเตาหลอมทั้งสามหรือนี่
สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไร เหตุใดเตาหลอมทั้งสามจึงแตกเป็นเสี่ยงเพราะกระทะสีดำได้
จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ!
ความตื่นเต้นในแววตาของจางตงฟางถูกแช่แข็ง เขาคลานขึ้นจากหลุมด้วยแขนขาที่สั่นระริก ความไม่เชื่อปรากฏอยู่บนใบหน้า ชายหนุ่มสะเทือนใจอย่างเห็นได้ชัดกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
“มัน… มันเป็นไปได้อย่างไรกัน เตาหลอมของข้า!”
จางตงฟางตะเบ็งเสียงได้แค่ประโยคเดียวก็ถูกเจ้าขาวจับศีรษะครูดกับพื้นอีกครั้ง ชะตากรรมของเขาปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้ง… เจ้าขาวเอาศีรษะของเขาถูพื้นอย่างไร้ความปรานี
ครืด!
ศีรษะของจางตงฟางมีเลือดไหลโทรม ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาไม่หยุด เสื้อผ้าบนร่างฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากถูกฉีกกระชากเสื้อผ้าจนขาดวิ่น จางตงฟางก็ถูกเจ้าขาวยกขึ้นจากพื้น มันเหวี่ยงแขนโยนชายหนุ่มลอยไปไกล
เมื่อร่างของเขาตกกระทบพื้น ฝุ่นก็ฟุ้งตลบไปหมด
สมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลจางกลัวหัวหด…
จางตงฟาง… ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของเมืองหมอกนภาถูกเปลื้องผ้าแล้วเหวี่ยงทิ้งข้างถนนจริงหรือนี่
นัยน์ตาสีม่วงของเจ้าขาวกะพริบวาบขณะสอดส่ายไปรอบๆ บริเวณ ดวงตาของมันเยือกเย็นราวน้ำแข็งขณะกวาดมองทุกคนที่อยู่แถวๆ นั้น
สมาชิกทุกคนของตระกูลจางตัวสั่นเทิ้มเมื่อเจ้าขาวกวาดสายตามองมา พวกเขารีบถอยร่นไปให้ไกลจากหุ่นเชิดน่าสะพรึงกลัวตัวนี้
คุณชายจางที่เคยถูกเจ้าขาวเปลื้องผ้าคืบคลานมาอยู่ข้างๆ จางตงฟาง พลางหยิบชุดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของตัวเอง เขารีบยื่นชุดให้จางตงฟางที่ร่างกายเปลือยเปล่า
โชคดีว่าตั้งแต่ถูกเจ้าขาวเล่นงาน เขาก็ติดนิสัยเตรียมเสื้อผ้าสำรองไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ
เมื่อก่อนเขาใช้มันเก็บยา เก็บอาวุธและเก็บผลึกเท่านั้น ไม่มีใครโง่ขนาดเก็บเสื้อผ้าสำรองไว้ในกระเป๋าคลังเก็บส่วนตัว…
เมื่อบรรลุขั้นปราณถึงระดับนี้แล้ว ย่อมไม่มีใครมานั่งใส่ใจเปลื้องผ้าศัตรูแน่
โอกาสเดียวที่จะถูกเปลื้องผ้าคือเมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจจอมเปลื้องผ้าบ้าระห่ำตัวนี้ เรื่องนี้ช่างบ้าบอเสียจริงๆ
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำบินกลับเข้ามือของปู้ฟาง เขาคว้ามันก่อนฟาดลงกับพื้น กระทะกลุ่มดาวเต่าดำถูกฟาดใส่พื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ปู้ฟางกวาดมองรอบตัวด้วยสายตาไม่แยแส
หนานกงอู๋เชวียที่เปลวไฟยังครอบร่างอยู่ตาแทบถลนออกจากเบ้า เขาอึ้งไปพักหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดไม่น้อย
“สมแล้วที่เป็นน้องเขยข้า ฝีมือร้ายกาจจริงๆ” หนานกงอู๋เชวียตบปากตัวเองพลางหัวเราะออกมา
“น้องเขยผีบ้าอะไร! ถ้าไม่อ้าปากพูดแล้วจะตายหรืออย่างไร” หนานกงหวั่นหมดคำจะกล่าว
ตู้ม!
ร่างของหลินอู๋อิ่งคลานขึ้นจากหลุมช้าๆ แววตาของเขายังคงเย็นชา หลังมองจางตงฟางที่มีสภาพน่าสังเวช เขาก็รู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ
ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ช่างจัดการได้ยากเย็นจริงๆ
มิน่าถึงได้กล้าท้าทายตระกูลหลินกับตระกูลจาง
“ว่าอย่างไร… ยาป้องกันเพลิงของเจ้าหมดฤทธิ์แล้วใช่ไหม” หนานกงอู๋เชวียมองหลินอู๋อิ่งพลางยิ้มออกมา
หลินอู๋อิ่งตกใจอยู่ครู่หนึ่ง รูม่านตาของเขาหดแคบลง
หนานกงอู๋เชวียที่มีเปลวไฟคลุมร่างระเบิดความเร็วเต็มพิกัด แล้วมาโผล่ตรงหน้าหลินอู๋อิ่งในพริบตา
เปลวไฟสีขาวโหมกระหน่ำเข้าใส่ ความร้อนทำให้หลินอู๋อิ่งเหงื่อกาฬแตกทั่วร่าง
ฟิ้ว!
เงาสีดำหลายเงาปรากฏขึ้นรอบตัวหลินอู๋อิ่ง ชายหนุ่มพยายามเคลื่อนตัวผ่านเงาเพื่อหลบหลีกการโจมตี
หนานกงอู๋เชวียทำสีหน้าล้อเลียนก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไร้ประโยชน์น่า… เจ้าไม่ใช่หนึ่งในพวกมากฝีมือที่ลงแข่งขันการเล่นแร่แปรธาตุรุ่นเยาว์ด้วยซ้ำ แล้วคนอย่างเจ้าจะหลบการโจมตีของข้า าได้อย่างไร หากเจ้าทำได้ คงไม่ได้ชื่อหลินอู๋อิ่งหรอก”
ครู่ถัดมาใบหน้าของหนานกงอู๋เชวียก็ปรากฏรอยยิ้มสบายๆ เปลวไฟหมุนวนรอบตัวเขาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ม้วนตัวแล้วกลืนเงาทั้งหลายเข้าไป
ตู้ม!
เสียงแค่นจมูกดังขึ้น ร่างของหลินอู๋อิ่งร่วงลงมาจากทะเลแห่งเปลวไฟ ผิวหนังของเขาเป็นสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาหลบเลี่ยงการโจมตีของหนานกงอู๋เชวียไม่ได้
“คุณชายตระกูลหนานกง… โปรดยั้งมือด้วย”
ชั่วขณะที่หนานกงอู๋เชวียกำลังปาลูกไฟสีขาวใส่หลินอู๋อิ่ง เสียงไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นจากฟากฟ้า
พลังกดดันแห่งจักรวาลเพิ่มสูงขึ้นแล้วเข้ากดดันทุกคน
ไกลออกไป เงาของฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น มันออกแรงบีบเพียงเล็กน้อย ลูกไฟที่หนานกงอู๋เชวียปล่อยออกไปก็ถูกบดขยี้อย่างง่ายดาย
“สำหรับวันนี้ถือว่าตระกูลหลินของข้าพ่ายแพ้ วันหลังตระกูลหลินจะไปขอโทษตระกูลหนานกงด้วยตนเอง”
เสียงกราวก้องดังอยู่พักหนึ่งก่อนจะสลายหายไป
หนานกงอู๋เชวียยกยิ้มมุมปาก ความจริงเขาไม่ได้ต้องการปลิดชีวิตหลินอู๋อิ่ง ลูกไฟลูกสุดท้ายเป็นเพียงการอวดของเท่านั้น
เหตุผลที่ชายหนุ่มยิงลูกไฟออกไปก็เพื่อบีบให้ยอดฝีมือของตระกูลหลินถอยร่น พวกเขาต่างเป็นยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้สองชิ้นแล้ว
หลังกระอักเลือดออกมายกใหญ่ สมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ก็พยุงหลินอู๋อิ่งให้ลุกขึ้น
“ฮึๆ เพื่อให้งานอดิเรกของนายท่านขาวลุล่วง หลินอู๋อิ่ง เจ้าควรออกวิ่งได้แล้ว”
หนานกงอู๋เชวียดีดนิ้วพลางแย้มยิ้ม
หลินอู๋อิ่งตัวแข็งทื่อเมื่อถูกเปลวไฟกลืนร่าง แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำอันตรายเขาสักนิด แต่เสื้อผ้าที่ฉีกขาดบนร่างก็กลายเป็นเถ้าถ่าน
หลินอู๋อิ่งรู้สึกหนาวจับใจเมื่อมีลมกระโชกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หน็อย! หนานกงอู๋เชวีย ข้าหลินอู๋อิ่งไม่มีวันปล่อยเจ้าแน่!”
ครู่ถัดมา เสียงหนึ่งก็ดังแหวกอากาศมาเข้าหู มันคือเสียงแหลมๆ ของหมูที่ร้องเพราะถูกเชือดนั่นเอง