ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 436 เป็นเพราะข้าเห็นท่านในฝูงชน...
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 436 เป็นเพราะข้าเห็นท่านในฝูงชน...
ฟู่…
คลื่นหนาแน่นของพลังปราณโอสถพวยพุ่งออกจากหอโอสถประดุจวาฬยักษ์ที่พ่นน้ำสูงขึ้นไปจนถึงสรวงสวรรค์ พลังปราณโอสถหมุนวนและร่ายรำในอากาศ ทำให้หอโอสถดูเหมือนเป็นภาพลวงตาที่น่าห หลงใหลยิ่ง
พลังกดดันท่วมท้นหลั่งไหลลงมาจากท้องฟ้าขณะที่เมฆเคลื่อนตัวสูงอยู่เหนือหอ
พลังปราณโอสถแผ่พุ่งออกจากหออย่างต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่า เหมือนการฉลองที่เต็มไปด้วยกระดาษสีและดอกไม้นานาพรรณ
ภายในตึกสูงของเมืองหมอกนภา สายตาของชาวเมืองต่างจับจ้องไปทางทิศของหอโอสถ
บางคนมองด้วยสายตาอิจฉาขณะอ้าปากค้าง
“ดูท่าคนของหอโอสถใกล้จะทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้แล้ว ปรมาจารย์โอสถเอกเมฆาอีกคนจะถือกำเนิดขึ้นแล้ว… ข้าอยากรู้นักว่าเป็นใคร…”
“อย่าบอกนะว่าเป็นเทพธิดาหนานกงหวั่นของเรา ไม่น่าใช่ มีคนบอกว่านางเพิ่งนั่งกินอาหารอยู่ที่ร้านเมื่อไม่นานนี้เองไม่ใช่รึ”
“ฮึ… ถ้าอย่างนั้นจะเป็นใครได้อีก มีคนอื่นนอกจากเทพธิดาด้วยรึ ในเมืองหมอกนภานี้นางมีโอกาสมากที่สุดที่จะบรรลุเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา”
…
ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดขณะจ้องมองหอโอสถด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในฐานะหนึ่งในจุดสังเกตของเมืองหมอกนภา หอคอยนั่นสร้างความเกรงขามแก่ผู้พบเห็นไม่น้อย
การจะเป็นได้นักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา คนผู้นั้นต้องสามารถปรุงโอสถวิญญาณหนึ่งแต้มได้ มันคืออุปสรรคที่นักเล่นแร่แปรธาตุทุกผู้ทุกนามต้องเอาชนะ โอสถนี้เป็นเครื่องหมายแสดงมาตรฐาน นของระดับขั้น ทั้งยังสามารถเรียกราคาได้แพงหูฉี่ในเมืองหมอกนภา
ยิ่งกว่านั้น ภายในเมืองหมอกนภามีประชากรมากกว่าหนึ่งแสนคน แต่จำนวนนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆามีเพียงหลักร้อยเท่านั้น
โบราณว่าของหายากยิ่งราคาสูง เพราะมีนักเล่นแร่แปรธาตุไม่มากที่สามารถปรุงโอสถชนิดนี้ได้ มันจึงมีราคาสูงเป็นธรรมดา
แอ๊ด…
ประตูสัมฤทธิ์โบราณเปิดออกพร้อมเสียงดังกังวาน
คลื่นหนาแน่นของพลังปราณและพลังปราณโอสถพวยพุ่งออกจากหอโอสถ กลิ่นฉุนของโอสถเหมือนจะครอบงำคนแถวนั้นและทำให้เกิดอาการประสาทหลอนได้
คนส่วนใหญ่ต่างเบิกกว้างพลางมองเงาที่กำลังออกมาจากประตู
พวกเขาต่างอยากรู้ว่าจะใช่เทพธิดาหนานกงหวั่นหรือไม่ ที่สามารถบรรลุเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาได้ในครั้งนี้
ทุกคนรู้ดีว่าการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงต้องมีพลังปราณแข็งแกร่งพอ ยังต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งเช่นกัน ถึงจะมีโอกาสบรรลุเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาไ ได้
ทุกคนคอยื่นคอยาวพยายามเหลือบมองร่างนั้น
ร่างดังกล่าวดูกำยำ แต่ละย่างก้าวคล้ายคลึงท่าเยื้องย่างของมังกร
บุรุษหรือนี่
อัจฉริยะผู้นี้เป็นใครกันแน่
ความอยากรู้อยากเห็นของคนแถวนั้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ลมเย็นพัดผ่าน ทำให้หมอกควันกระจัดกระจายเผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้าย
หยางเหม่ยจี๋กะพริบตาเบาๆ เพราะถูกแสงแดดแผดเผาของดวงอาทิตย์แยงเข้าตา ขณะทำเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสูดเอาอากาศเข้าปอดไปด้วย
“ในที่สุด… ข้าก็ทำได้แล้ว… ต้องขอบคุณโอสถรวมมังกรสามแต้มของอาจารย์ ที่ช่วยให้พลังปราณของข้าก้าวหน้าจากระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเป็นขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความ แข็งแกร่งของจิตใจขั้นสูงสุด ข้าจึงสำเร็จเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาจนได้”
จนบัดนี้หยางเหม่ยจี๋ยังรู้สึกตกใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น นางเพิ่งเหยียบเท้าเข้าหอโอสถได้เพียงครึ่งเดือน ตอนนั้นนางยังไร้ซึ่งตัวตนแต่ตอนนี้นางเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง นา างบรรลุเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆา แถมยังทำได้ก่อนหนานกงหวั่นเสียอีก
ความปลาบปลื้มเล็กๆ หลั่งล้นจากใจและกลั่นออกมาเป็นรอยยิ้ม มันคือรอยยิ้มเรียบง่ายที่ทำให้คนแถวนั้นตกตะลึง
นักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาคนใหม่ไม่ใช่บุรุษ! แต่จริงๆ แล้วเป็นสตรี! สตรีที่มีแขนขาเท่ากิ่งก้านของไม้ใหญ่และลำตัวเท่าท่อนซุง นี่มันช่าง…
“หยางเหม่ยจี๋! ศิษย์อัจฉริยะของสำนักเล่นแร่แปรธาตุ และเป็นศิษย์ปรมาจารย์เสวียนเปย!”
“เป็นนางจริงๆ ด้วย… ข้าไม่แปลกใจเลย!”
“โอ้… ช่างร้ายกาจจริงๆ ครึ่งเดือนก่อนนางยังมีปราณเพียงขั้นเทพแห่งสงครามไม่ใช่รึ แล้วนี่กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาได้อย่างไร”
…
ข่าวของหยางเหม่ยจี๋แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วเมืองราวคลื่นยักษ์ที่สาดซัดทุกซอกทุกมุมในเวลาอันสั้น
ตอนนี้ทั้งเมืองกำลังตกตะลึง หยางเหม่ยจี๋คนเดียวกับที่เปิดร้านอาหารกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาไปแล้ว! หยางเหม่ยจี๋คนที่พรสวรรค์ด้านเล่นแร่แปรธาตุทัดเทียมกับรอบเอวของตัวเ เอง นางกลับมาแล้ว!
…
ร้านอาหารหมอกเมฆา
หนานกงอู๋เชวียนั่งไขว่ห้างพลางกระดิกขาอยู่ตรงหน้าร้านอาหารเล็กๆ เขากระดิกขาเร็วมากจนดูเป็นภาพที่ค่อนข้างน่ากลัว ส่วนมือสองข้างกำลังกำโอสถทิพย์อยู่
ชายหนุ่มยัดโอสถหนึ่งหรือสองเม็ดใส่ปากเป็นครั้งคราว เสียงกรอบแกรบดังขึ้นเมื่อเขาขบเคี้ยวโอสถราวกับเป็นลูกกวาด
ภายในร้านโอสถทิพย์ที่ตั้งอยู่รายล้อมร้านอาหารหมอกเมฆา เหล่าเถ้าแก่ร้านที่กำลังมองชายหนุ่มอยู่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ในฐานะเจ้าของร้านโอสถทิพย์ พวกเขาจะไม่รู้จักสิ่งที่อยู่ในมือของหนานกงอู๋เชวียได้อย่างไร…
มันคือโอสถทิพย์ระดับห้า… แต่ละเม็ดมีราคาอย่างน้อยหลายร้อยผลึก! ถึงอย่างนั้นคนผู้นี้กลับเคี้ยวมันเล่นราวกับเป็นขนมหวาน
กี่ผลึกแล้วที่ต้องเสียเปล่า!
ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคุณชายตระกูลหนานกง… คนผู้นี้ไม่เคยทำตัวเหมือนใคร
ภายในร้านอาหารหมอกเมฆา อาหารมากมายบินว่อนทั่วร้านทั้งกลิ่นภายในร้านยังหอมหวนเข้มข้นเป็นอันมาก
ลูกค้าแต่ละคนหน้าตามีความสุขเพราะได้ลิ้มรสอาหารอันโอชะที่ออกมาจากครัว
หนานกงหวั่นกลับไปทำงานต่อหลังจากกินพระกระโดดกำแพงหมด
นางไม่ได้เต็มใจเท่าไรแต่ก็ไม่มีทางเลือก… หากไม่ทำงานก็ไม่มีเงินมาชิมพระกระโดดกำแพงชั้นยอดอีก
จนถึงตอนนี้เงินหลายแสนผลึกที่หนานกงอู๋เชวียเป็นหนี้นางอยู่ดูไม่มีแววจะได้คืน… เจ้าคนหน้าไม่อายนั่น… หนานกงหวั่นรู้ดีว่าหมอนั่นไม่มีทางใช้หนี้นางแน่
ส่วนคนที่หญิงสาวกำลังเข่นเขี้ยวอยู่ในใจเพิ่งกินพระกระโดดกำแพงเสร็จ จึงนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงทางเข้าร้านพลางเคี้ยวโอสถต่างขนมไปด้วย
เขากำลังอาบกลิ่นหอมที่โชยออกมาจากร้าน สำหรับเขา กลิ่นหอมของอาหารน่าอภิรมย์กว่ากลิ่นหอมของโอสถที่เขาต้องประสบพบเจออยู่ทุกวันหลายเท่า
ตั้งแต่เริ่มกินอาหารของเถ้าแก่ปู้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเกียจคร้านมากขึ้น ความหลงใหลในการเล่นแร่แปรธาตุเหมือนจะจืดจางลง
เฮ้อ… นี่มันความชั่วร้ายขณะหนังท้องตึงชัดๆ
ดวงอาทิตย์อาบไล้เมืองด้วยแสงแดดอันอบอุ่น
เบื้องล่าง ปู้ฟางก้าวเท้าออกจากครัว เขาเช็ดรอยเปื้อนบนมือแล้วลากเก้าอี้มานั่งพักผ่อนหย่อนใจ เอนกายอย่างเกียจคร้านพลางอาบแสงแดดอุ่นสบาย
“สหายปู้ อยากชิมของอร่อยบ้างไหม” หนานกงอู๋เชวียมองอีกฝ่ายก่อนเสนอโอสถทิพย์ระดับห้าให้
“ไม่ ขอบใจ ข้าเกลียดยา” ปู้ฟางหรี่ตาเล็กน้อยก่อนปฏิเสธข้อเสนออย่างใจเย็น ตอนนี้ลูกค้าในร้านได้อาหารครบแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว
“เจ้านี่บื้อหรือเปล่า… มันคือโอสถทิพย์ไม่ใช่ยา” หนานกงอู๋เชวียพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสุดขีด
ส่วนปู้ฟางก็ทำเพียงย่นปากและไม่พูดอะไรอีก
ตั้งแต่เหตุการณ์เปลื้องผ้าตระกูลหลินและตระกูลจางจบลง ร้านอาหารเล็กๆ อย่างร้านอาหารหมอกเมฆาก็ดังเป็นพลุแตก ไม่เพียงมีคนจำนวนมากรับรู้ว่ามีร้านนี้อยู่ กิจการของร้านยังประสบค ความสำเร็จอย่างรวดเร็วอีกด้วย มีลูกค้าหน้าใหม่มากหน้าหลายตาเข้ามาเรียนรู้ความเจ้าอารมณ์ของเถ้าแก่ร้าน
ความจริงปู้ฟางถือเป็นคนอัธยาศัยดี ตราบเท่าที่คนอื่นๆ ไม่ถือสาสีหน้าตายด้านของชายหนุ่ม ก็ถือว่าเขาเข้ากับคนได้ง่ายมาก ภาพของหนานกงอู๋เชวียที่กำลังโอภาปราศรัยกับปู้ฟางเป็นตัว วอย่างชั้นดีเลยทีเดียว
ลูกค้าที่อิ่มหนำแล้วเดินออกจากร้านพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าพลางโบกมือลา บางครั้งปู้ฟางก็จะพยักหน้าให้เช่นกัน ดูเหมือนร้านจะคุ้นเคยกับกิจกรรมใหม่ของมันในเวลาอันรวดเร็ว
…
หยางเหม่ยจี๋กำลังเดินมายังร้านอาหารหมอกเมฆา
นางรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย ร้านอาหารจะเป็นอย่างไรบ้าง บางทีมันอาจเจ๊งไปแล้วก็ได้… ถึงอย่างไรมันก็ตั้งอยู่ในดงอันตราย เป็นย่านขายโอสถอดอาหารหลากรสของตระกูลหนานกง ร้านอ อาหารเล็กๆ จะแข่งขันกับร้านโอสถทิพย์ได้อย่างไรกัน
หยางเหม่ยจี๋ได้แต่ถอนหายใจเมื่อคิดเรื่องนี้ บิดาของนางส่งต่อร้านอาหารให้ แต่นางกลับไม่อาจสานต่อจนรุ่งเรืองได้… คิดแล้วก็น่าช้ำใจจริงๆ
หยางเหม่ยจี๋กัดฟันตั้งใจแน่วแน่พลางเดินต่อไป นางตัดสินใจแล้วว่าหากร้านอาหารใกล้ถึงคราวเจ๊งจริงๆ นางจะรับร้านไว้แล้วคืนผลึกให้ปู้ฟาง
ที่สุดแล้วมันคือความยุ่งเหยิงของนางเอง ไม่มีเหตุผลที่ปู้ฟางต้องปัดกวาดให้ ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณปรมาจารย์เสวียนเปยอย่างมาก สถานการณ์ตอนนี้สำหรับนางนั้นลำบา ากไม่น้อย
หยางเหม่ยจี๋มาถึงย่านโอสถทิพย์และปะทะเข้ากับกลิ่นฉุนของโอสถทิพย์ทันที กลิ่นที่คุ้นเคยกลับทำให้ปมในใจของนางแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ข้านึกแล้ว… ร้านโอสถทิพย์เกลื่อนกลาดเช่นนี้… ร้านอาหารจะอยู่รอดได้อย่างไร!”
ทว่า… น่าแปลกไม่น้อย… ดูเหมือนจำนวนร้านจะลดลงเล็กน้อย
หยางเหม่ยจี๋เดินต่อพลางสังเกตสิ่งรอบตัวจนสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด
ร้านโอสถทิพย์เป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองหมอกนภา โดยเฉพาะร้านที่ขึ้นป้ายตระกูลหนานกง ซึ่งเป็นร้านที่คนจำนวนมากเชิดชู… แล้วเหตุใดร้านพวกนี้จึงร่างไร้ผู้คนเพียงนี้
หยางเหม่ยจี๋เดินเข้าร้านหนึ่ง นางพบเจ้าของร้านนั่งท้อแท้ใจอยู่บนเก้าอี้ สายตามองตรงมาข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยเพราะไม่มีอะไรทำ
“เถ้าแก่… กิจการแย่มากเลยหรือตอนนี้” นางยิงคำถามใส่เจ้าของร้านที่ดูเหม่อลอย
“อย่ามาถามข้า ข้าไม่อยากพูดถึงมัน เจ้าไปดูเองแล้วกัน” เขาตะคอกด้วยน้ำเสียงไร้ชีวิตชีวาก่อนกระตุกมุมปากเป็นการบอกทิศทาง
หยางเหม่ยจี๋ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนหันหน้าไปยังทิศที่คนผู้นี้ชี้ ตอนนั้นเองรูม่านตาของนางก็หดแคบลง
นั่นมันร้านอาหารหมอกเมฆาไม่ใช่หรือ มีบางอย่างเกิดขึ้นหรือนี่
หยางเหม่ยจี๋ตื่นตระหนกทันที
‘อย่าบอกนะว่าหนานกงหมิงมาก่อเรื่องอีก’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็รีบเร่งความเร็วอย่างฉับพลัน
นึกแล้วเชียว…
จากระยะไกล นางเห็นทางเข้าร้านถูกปิดกั้นด้วยคนจำนวนมาก ดูจากการแต่งกายของพวกเขา หญิงสาวก็สรุปได้ว่าเป็นสมาชิกของตระกูลหนานกง
นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นเขา…
แค่นึกถึงหมอนั่นใจของหยางเหม่ยจี๋ก็รุ่มร้อนขึ้นมา แต่ตอนนี้นางคือนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องสั่งสอนเจ้าหมอนั่นให้เข็ดหลาบบ้าง
ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ฉายแสงวาววับเมื่อเห็นร่างที่โฉบเฉี่ยวท่ามกลางฝูงชน
หยางเหม่ยจี๋ตกตะลึง
นั่นเพราะนางเห็นคนผู้นั้น…
นั่น…นั่นคุณชายอู๋เชวียไม่ใช่รึ!”
“คะๆๆๆ… คุณชายอู๋เชวียมาทำอะไรที่ร้านอาหารหมอกเมฆา” นางจ้องคนจำนวนมากด้วยดวงตาที่โตเท่าจานรองถ้วย ปากคอสั่นไหวไม่หยุด ไม่เพียงเท่านั้น หัวใจของนางยังเต้นแรงจนแทบทะลักอ ออกจากอกทำให้เลือดสูบฉีดขึ้นบนใบหน้าจนแดงก่ำ หยางเหม่ยจี๋หันหน้าอย่างเหนียมอายเพื่อมองชายหนุ่มรูปงามกับผมสีแดงที่เหมือนกำลังร่ายรำอยู่กลางอากาศให้เต็มตา
เขายกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ผมสีแดงปลิวสยายไปตามลมขณะหมุนตัวช้าๆ
ในสายตาของหยางเหม่ยจี๋ มันดูราวกับดวงอาทิตย์กำลังสาดส่องลงบนแผ่นหลังของคนตรงหน้า ทำให้เกิดประกายแสงพราวพร่างประดุจว่าเขาคือเทพเจ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์
คุณสมบัติเหล่านั้น… ทำให้ใจระทวย รอยยิ้มนุ่มนวลและอบอุ่นนั่น…
โอ้ นางรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะหลอมละลายขณะมีดาราแหวกว่ายอยู่ในดวงตา