ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 437 หยางเหม่ยจี๋ประหลาดใจ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 437 หยางเหม่ยจี๋ประหลาดใจ
“คุณชาย พวกเรากลับกันเถอะ นายท่านคงใกล้จะกลับจากดินแดนเร้นลับแล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลหนานกงพูดพลางมองหนานกงอู๋เชวียที่นอนอยู่บนเก้าอี้
ปู้ฟางกำลังนั่งขดตัวบนเก้าอี้พลางมองคนกลุ่มนี้ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หูของเขาก็กระตุกพลันเริ่มรู้สึกตื่นเต้นในใจ
ดินแดนเร้นลับรึ มันจะเป็นอะไรได้บ้างนะ
หนานกงอู๋เชวียขมวดคิ้วหันไปสบตาผู้อาวุโสสูงสุด เขาพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนลุกยืนแล้วพูดขึ้น “ผู้อาวุโสสูงสุดอุตส่าห์พูดขนาดนี้ ข้าจะทำอะไรได้ กลับก็กลับ ไปเตรียมตัว ต้อนรับการกลับมาของท่านพ่อกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดกว้างขึ้นกว่าเดิม
“คุณชาย เชิญทางนี้”
ฝูงชนถูกแหวกออกเพื่อเปิดทาง หนานกงอู๋เชวียในเสื้อคลุมสีแดงเดินแหวกออกไป ผมสีแดงของเขาปลิวสยายไปด้านหลังเมื่อมีลมเย็นปะทะใบหน้า
ไม่ว่าจะทำตัวพิลึกพิลั่นเพียงใด แต่หนานกงอู๋เชวียก็เป็นถึงผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลหนานกง ผู้คนย่อมให้เกียรติเขาเป็นธรรมดา
อีกอย่างหนานกงอู๋เชวียก็ไม่ได้มีด้านลบอะไรนอกจากชอบทำตัวตลกขบขัน เขามีพรสวรรค์ด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่สูงส่ง แถมหน้าตายังหล่อเหลา มีผู้หญิงมากมายให้ความสนใจ
ขณะที่หนานกงอู๋เชวียเดินผ่านฝูงชนพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิบนใบหน้า เขาก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมา จึงอยากรู้อยากเห็นทันทีว่าใครกันที่มองตนอยู่
ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุมากพรสวรรค์ หนานกงอู๋เชวียจึงมีพลังจิตแกร่งกล้า เขาสัมผัสได้ว่าสายตาที่จ้องมานั้นมีเปลวไฟลุกโชนอยู่
เมื่อมองออกไป หนานกงอู๋เชวียก็เห็นร่างกำยำกำลังมองมา และน่าจะเป็นคนคนนี้ที่จ้องเขาด้วยสายตาเผ็ดร้อน
ร่างนั้นสวมเสื้อคลุมนักเล่นแร่แปรธาตุใหม่เอี่ยม บนเสื้อคลุมมีภาพเมฆสดใส
หืม… คนผู้นี้คือนักเล่นแร่แปรธาตุหนึ่งเมฆานี่
‘องค์ชาย… องค์ชายของข้ามาทางนี้แล้ว ทำอย่างไรดี โอย… ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน!’
หยางเหม่ยจี๋รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นรัวแรง ใบหน้าของนางเป็นสีแดงดุจมะเขือเทศ และรู้สึกขวยเขินไม่น้อยเมื่อเห็นหนานกงอู๋เชวียกำลังเดินตรงมา นางรีบหลบสายตาเพราะไม่กล้าจ้อง ตาหนานกงอู๋เชวียแม้แต่น้อย
สมัยที่ศึกษาการเล่นแร่แปรธาตุในสำนัก หยางเหม่ยจี๋เคยแอบมองหนานกงอู๋เชวียอยู่ไกลๆ นางเห็นความสามารถอันเหลือเชื่อด้านการเล่นแร่แปรธาตุของอีกฝ่าย ทั้งยังจำได้ว่าชายหนุ่มดู หล่อเหลาปานใดขณะโบกเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีไปรอบๆ
หยางเหม่ยจี๋รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นทุกครั้งที่มองอีกฝ่าย
“เจ้าเพิ่งบรรลุเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเอกเมฆารึ ข้าไม่คิดว่าเคยเห็นเจ้ามาก่อน” หนานกงอู๋เชวียเอ่ยกับหยางเหม่ยจี๋พร้อมรอยยิ้ม
เขาพูดกับข้าหรือนี่ หยางเหม่ยจี๋ตื่นเต้นหนักกว่าเดิม แถมไฟในดวงตาของนางยังลุกโชนยิ่งขึ้นอีก
เมื่อเห็นความเร่าร้อนในดวงตาของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกประหลาดใจ… นี่มันอะไรกัน
เหตุใดดวงตาของคนตัวโตอย่างหมอนี่จึงทำให้ข้าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้
เว้นแต่… เว้นแต่ว่าหมอนี่จะเป็น…
เมื่อคิดบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของหนานกงอู๋เชวียก็เปลี่ยนไป เขารีบถอยหลังแล้วเพิ่มระยะห่างระหว่างตัวเองกับหยางเหม่ยจี๋
“สหาย… เจ้าเก่งมาก โชคดีนะ! มุ่งมั่นและเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุทวิเมฆาให้ได้ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะได้ดวลกัน ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อพูดจบประโยค เขาก็จากไปพร้อมสมาชิกของตระกูลหนานกง
“โอ้… เขายังเป็นคนดังเหมือนเดิม! ยังหล่อเหลาเหมือนเดิมด้วย… เขาอยากดวลฝีมือการเล่นแร่แปรธาตุกับข้า… ดีใจจังเลย!”
หยางเหม่ยจี๋คลึงหมัดไปมา ใบหน้าของนางออกอาการลุ่มหลงเมื่อเห็นแผ่นหลังของหนานกงอู๋เชวียเดินลับไป นางรู้สึกมึนเมาอย่างหนักเมื่อคิดถึงคำที่อีกฝ่ายพูดด้วย ทว่าตอนนั้นเอง รอยยิ้มของนางก็แข็งทื่อไป
“เดี๋ยวนะ… เขาเรียกข้าว่าอะไรนะ เรียกว่าสหายรึ”
ปากของหยางเหม่ยจี๋คว่ำลงทันที ความเบิกบานบนใบหน้าจางหายไปและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
เมื่อเห็นหนานกงอู๋เชวียเดินจากไป หยางเหม่ยจี๋ก็พลันคิดขึ้นได้ว่าตั้งใจมาทำอะไรที่นี่กันแน่ หัวใจของนางเริ่มเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง
ขนาดองค์ชายอู๋เชวียยังมาที่นี่ด้วยตนเอง
ปู้ฟางไม่ย่ำแย่ไปแล้วรึ ร้านคงจะเจ๊งแล้วใช่ไหม
หยางเหม่ยจี๋รีบเร่งฝีเท้าแล้วมาถึงร้านอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า… สิ่งแรกที่นางเห็นคือปู้ฟางนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน หน้าตาของเขาดูเกียจคร้านประหนึ่งว่าไม่คิดไยดีโลกใบนี้แล้ว
เหตุใดเขาถึงทำตัวเช่นนี้ ต่อให้กิจการของร้านไม่สู้ดี แต่เขาไม่ควรยอมแพ้เช่นนี้
เขาต้องการความหลงใหลในสิ่งที่ทำ สิ่งสำคัญที่สุดของการทำกิจการคือความหลงใหลในสิ่งที่ทำ
หยางเหม่ยจี๋เดินเข้าหาปู้ฟางอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อนางมายืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามีบางอย่างมาบังแสงแดดและมีเงาปกคลุมใบหน้าของตัวเอง
ปู้ฟางลืมตาช้าๆ และเห็นร่างกำยำอยู่ตรงหน้า หยางเหม่ยจี๋นั่นเอง…
“อ้าว ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ปู้ฟางทักทาย
“เจ้าทำอะไรอยู่! ต่อให้ร้านหมอกเมฆาจะทำเลไม่ดี แต่เราก็ต้องพยายามต่อไป เราต้องรักษาความฝันและไล่ตามความยอดเยี่ยม เราต้องมีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ! เราต้องเชื่อว่าวันหนึ่ง กิจการจะดีขึ้น ข้าเชื่อฝีมือของเจ้า… อนาคตเจ้าต้องโด่งดังแน่!”
หยางเหม่ยจี๋กระตุ้นปู้ฟางด้วยคำพูดเพราะรู้สึกว่าเขากำลังจะถอดใจ นางหวังว่าเขาจะได้สติและทำร้านอาหารหมอกเมฆาต่อไปให้ดี
ปู้ฟางรู้สึกสับสนขึ้นมา เขาไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดแม้แต่น้อย
หลังจากได้ระบายความอัดอั้น หยางเหม่ยจี๋ก็รู้สึกดีขึ้นมาก
นางมีความคาดหวังสูงเสมอกับร้านนี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นร้านของบิดานาง นางไม่อยากให้กิจการล่มสลาย
ทว่าหลังจากพูดจบ บรรยากาศรอบๆ ก็พลันเปลี่ยนไป หลายคนมองนางด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ และมีอีกหลายคนที่มองมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หยางเหม่ยจี๋รู้สึกเหมือนมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นจึงเงยหน้ามองเข้าไปในร้าน
ภายในร้านมีดวงตาหลายคู่จ้องมองมา ลูกค้าในร้านมองนางด้วยความงุนงงและสับสน
เห็นชัดว่าปู้ฟางไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด คนอื่นๆ ในร้านก็ไม่เข้าใจนางเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ เชิญพวกท่านตามสบาย ข้า… ข้าแค่กำลังคิดสูตรการเล่นแร่แปรธาตุน่ะ”
ช่างน่าอับอายเหลือเกิน เหตุใดจึงมีคนมากมายในร้าน เพราะอะไรกัน
รอยยิ้มเคอะเขินปรากฏบนใบหน้าของหยางเหม่ยจี๋ แต่หัวใจของนางกลับสั่นสะท้าน
โอ้สวรรค์!
มีลูกค้ามากมายในร้านจริงๆ ร้านอาหารหมอกเมฆารอดแล้ว!
แม้จะถูกรายล้อมด้วยร้านโอสถทิพย์จำนวนมาก แต่สุดท้ายร้านนี้ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่แปลกที่เหล่าเจ้าของร้านโอสถทิพย์จะกระซิบกระซาบกันเรื่องร้านอาหารร้านนี้ นั่นเพราะกิ จการของพวกเขาถูกปล้นนั่นเอง
จึ๊ๆ
เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว หยางเหม่ยจี๋ก็มองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเก้าอี้ แววตาของนางแสดงความตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ร้านอาหารสามารถเอาชนะร้านโอสถทิพย์ได้จริงหรือ มัน… มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นางฝันไปหรือเปล่า เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ มันไม่ควรเป็นไปได้สิ เดี๋ยวก่อน... แล้วเหตุใดหน้าต ตาร้านจึงไม่เหมือนเมื่อก่อน
เมื่อมองไปรอบๆ ร้าน หยางเหม่ยจี๋ก็สังเกตเห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก โต๊ะและเก้าอี้ไม่ใช่ของเดิม มันแตกต่างจากของที่นางซื้อให้ก่อนไป
นี่ไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ราคาถูกที่นางซื้อ
ปู้ฟางลุกขึ้นยืนพลางมองหยางเหม่ยจี๋ที่กำลังจ้องร้านด้วยใบหน้าตกอกตกใจ เขาเหยียดแขนสองข้างขึ้น“หลังจากเจ้าไป ข้าปรับปรุงร้านนิดหน่อย ตกแต่งใหม่หมดทั้งร้านและกิจการก็ไม่ได้ แย่” ปู้ฟางพูด
ไม่แย่? เถ้าแก่ปู้… ท่านถ่อมตัวจริงๆ
ลูกค้าบางรายในร้านคือเจ้าของร้านโอสถทิพย์ เมื่อได้ยินปู้ฟางพูด ขากรรไกรของพวกเขาก็ค้างไป มุมปากกระตุก ความคิดมากมายโลดแล่นอยู่ในหัว
กิจการของพวกเขาแทบล้มเพราะร้านของปู้ฟาง… แต่คนผู้นี้กลับใช้คำว่า ‘ไม่แย่’
เจ้าของร้านโอสถทิพย์ทั้งหลายรู้สึกโกรธจนแทบระเบิดออกมา แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงระบายใส่ข้าวผัดไข่เท่านั้น
“เจ้าเดินชมร้านได้ เว้นแต่ห้องครัว ที่อื่นเจ้าไปได้หมด” ปู้ฟางบอก
ครัวคือห้องที่สำคัญที่สุด คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ขนาดหยางเหม่ยจี๋ที่เป็นเจ้าของร้านคนเก่าก็ยังเข้าไปในครัวไม่ได้
อย่างไรเสียตอนนี้ปู้ฟางก็เป็นเจ้าของร้านตัวจริง
หยางเหม่ยจี๋มองสายตาที่จริงจังของปู้ฟางแล้วพยักหน้า ก่อนจะสำรวจร้านไปรอบๆ
“เถ้าแก่ปู้ ขอข้าวผัดไข่หนึ่งชาม”
ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้าร้านมาแล้วพูดกับปู้ฟาง หลายวันมานี้ เหล่าลูกค้าเริ่มนับถือเจ้าของร้านอาหารร้านนี้มากขึ้น
อย่างไรเสียปู้ฟางก็เป็นว่าที่สามีของหนานกงหวั่น เขาเกี่ยวดองกับตระกูลหนานกง ดังนั้นทุกคนจึงต้องสนับสนุนคนผู้นี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อีกทั้งอาหารของที่นี่ยังอร่อยมาก กเสียจนทุกคนลืมความเกลียดชังที่เคยมีต่อร้านไป
หลังจากได้กินอาหารในร้าน พวกเขาก็กลับออกไปอย่างมีความสุข ความจริงการมีร้านอาหารอยู่บ้างก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
…
คฤหาสน์ตระกูลหนานกง
สวนของตระกูลมีเนื้อที่กว้างขวาง มีสระน้ำ มีน้ำพุ และลานกว้างที่ทำให้ดูเหมือนดินแดนในเทพนิยาย
หนานกงอู๋เชวียเดินตัดลานกว้างไป
ผู้อาวุโสสูงสุดติดตามอยู่ข้างๆ ขณะเดินไปยังจุดหมายที่อยู่ภายในลาน
หลังจากเดินกันนาน พวกเขาก็มาถึงวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในที่สุด ครู่ถัดมาแสงสว่างจ้าก็พุ่งออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หลังจากร่างของพวกเขาบิดเบี้ยวอยู่ภายในวงแหวนปราณ ทั้งสองคน นก็หายวับไป
ไม่ช้าพวกเขาก็ปรากฏกายอีกครั้งบนยอดอาคารโลหะภายในเมืองหมอกนภา อาคารหลังนี้สูงเสียดฟ้า หลังออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หนานกงอู๋เชวียก็เดินไปที่หน้าต่างอาคารโลหะนี้เป็นขอ องตระกูลหนานกง มันคือที่ทำการของตระกูล
หนานกงอู๋เชวียยืนอยู่บนยอดอาคารและมองลงมาเห็นเมืองทั้งหมด
ภายในอาคารมีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแห่งนี้เป็นจุดที่พาไปยังดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา มีคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่รอบวงแหวนปราณ พวกเขาคือสมาชิกชั้นสูงของต ตระกูลหนานกง หลายคนเป็นผู้อาวุโสและบางคนเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหนานกง บางคนมีพลังปราณแข็งแกร่งและบางคนมีผู้ใต้อาณัติมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเมืองหมอก นภา
“คุณชาย ผลึกหนึ่งแสนชิ้นเตรียมพร้อมแล้ว วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเองก็พร้อมเปิดแล้ว ท่านควรเป็นคนส่งสัญญาณเปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย” ผู้อาวุโสสูงสุดมองหนานกงอู๋เชวียอย่างอ่อนโย ยนพลางพูดออกมา
บรรดาผู้อาวุโสรอบตัวต่างตอบรับคำพูดของชายชราด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มของทุกคนเหมือนจะฝืนๆ พิกล
หนานกงอู๋เชวียขมวดคิ้วพลางมองทุกคนที่อยู่รอบตัว ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในใจ
ทว่าเขาก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก บิดาของเขากำลังจะกลับมาหลังเขาเปิดใช้งานวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย คนพวกนี้ไม่กล้าทำอะไรเขาแน่
หนานกงอู๋เชวียพยักหน้า พลางยกมือขึ้น เปลวไฟปรากฏขึ้นบนมือ
ทุกคนมองเปลวไฟที่ปรากฏบนมือของหนานกงอู๋เชวีย มันคือเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี
พอเปลวไฟถูกยิงออกจากนิ้วของเขา มันก็พุ่งไปยังใจกลางของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเองวงแหวนปราณก็ถูกขับเคลื่อนด้วยผลึก พลังของวงแหวนปราณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังเดือดพล่าน แสงส่องสว่างไปทั่วบริเวณจนทำให้ใบหน้าของทุกคนสว่างไสว
แสงนั้นสะท้อนรอยยิ้มอันน่าขนลุกของทุกคนที่นั่น
….
ในสวนของตระกูลหนานกง หนานกงหวั่นสวมชุดกระโปรงยาวที่ขับเน้นเรือนร่างเย้ายวนและขาขาวเรียวยาวซึ่งดูราวหยกขาว นางช่างมีเสน่ห์เหลือล้น
ตอนนั้นเองหญิงสาวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นทาบอก
หัวใจของนางเต้นแรงจนร่างสั่นสะท้าน
ประหนึ่งว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น