ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 439 สหายปู้... ข้าดีใจที่ยังรอดมาเจอเจ้าอีกครั้ง
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 439 สหายปู้... ข้าดีใจที่ยังรอดมาเจอเจ้าอีกครั้ง
“เปลี่ยนไปรึ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หยางเหม่ยจี๋อึ้งไปพลางมองภาพที่ปรากฏบนยันต์หยกด้วยสีหน้าสับสน
มันคือภาพของปรมาจารย์เสวียนเปย นักเล่นแร่แปรธาตุไตรเมฆาแห่งหอโอสถ
ปรมาจารย์เสวียนเปยมีท่าทางกระวนกระวายและว้าวุ่นใจไม่น้อย เขาไม่คิดต่อปากต่อคำแต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดถามแล้วรีบกลับมาเร็วๆ ดินแดนเร้นลับทะเลเมฆาใกล้จะเปิดแล้ว เจ้าต้ องเตรียมตัวให้ดีเพราะครั้งนี้ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
หลังจากปรมาจารย์เสวียนเปยพูดจบ ภาพของเขาก็เริ่มวูบไหวก่อนจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
หยางเหม่ยจี๋รู้ตัวว่าไม่มีทางเลือกอื่น นางมองปู้ฟางเหมือนอยากขอโทษ
“ข้าตั้งใจมาที่ร้านเพื่อช่วยท่าน... แต่คงทำไม่ได้แล้ว เขาเป็นอาจารย์ที่ข้านับถือ” หยางเหม่ยจี๋ยิ้มพลางเอ่ยแนะนำอาจารย์
ปู้ฟางพยักหน้า ชายชราคนนั้นค่อนข้างมีพลังแก่กล้า แม้จะเห็นเพียงภาพที่ควบแน่นจากยันต์พลังปราณ แต่ปู้ฟางก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่าย
กล่าวได้ว่าชายแก่ผู้นี้คือบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดที่ปู้ฟางเคยเจอ
“อาจารย์ของข้าคือยอดฝีมือที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้สามชิ้น เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุไตรเมฆา แถมมีสถานะสูงส่งในเมืองหมอกนภา” หยางเหม่ยจี๋พูดอย่างร่าเริง ก่อนจ้องปู้ฟางเป็นก การขอโทษครั้งสุดท้าย
“ข้าต้องกลับหอโอสถแล้ว… อ้อ! จริงสิ อาจารย์บอกว่าเมืองหมอกนภากำลังจะเปลี่ยนไป แปลว่าต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น เจ้าต้องระวังตัวด้วย”
ปู้ฟางพยักหน้าก่อนหาวอย่างเกียจคร้าน แล้วเดินกลับเข้าครัวเพื่อฝึกทักษะการทำอาหารต่อ
หยางเหม่ยจี๋ขำออกมาน้อยๆ ก่อนหันหลังแล้วเดินออกจากร้านอาหารหมอกเมฆามุ่งหน้าไปที่หอโอสถ นางกระวนกระวายใจเล็กน้อยเพราะจำสิ่งที่หนานกงอู๋เชวียพูดได้ขึ้นใจ ‘มุ่งมั่นและเป็นนัก กเล่นแร่แปรธาตุทวิเมฆาให้ได้ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะได้ดวลกัน’
โอ้! น่าอายชะมัด!
หยางเหม่ยจี๋คิดเรื่องนี้แล้วเผลอกำหมัดแน่นพลางยกขึ้นปิดใบหน้าแล้ววิ่งออกไป
หลายคนบนถนนเห็นท่าทางของนาง ทั้งหมดรู้สึกขนลุกขนชัน คนผู้นี้… ไม่เต็มเต็งหรืออย่างไร
….
ภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของเมืองหมอกนภา ลำแสงวูบวาบปลดปล่อยรัศมีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
คนแปลกหน้าจำนวนมากเดินออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ทุกคนแผ่รัศมีทรงพลังอย่างยิ่งยวดซึ่งดูเหมือนจะสามารถแหวกอากาศออกจากกันได้ สายตาของพวกเขาเย็นเยียบ ในรูม่านตาเหมือนมีประกายแสงวู บวาบเล็กๆ
“นี่คือหอโอสถของเมืองหมอกนภารึ เป็นเมืองที่โชคดีจริงๆ มีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อไปยังดินแดนเร้นลับตั้งอยู่ด้วย” คนเดินนำหน้าเอ่ยปาก รัศมีที่แผ่ออกมาน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมสีขาวและสีน้ำเงิน เขามีปอยผมสีขาวบนหน้าผากซึ่งตัดกับผมสีดำสนิทอย่างชัดเจน
“ในเมื่อสำนักพลับพลาวายุและอสนีของข้ามาถึงที่นี่แล้ว ข้าเซียวจ่างอวิ้น ต้องชิงสิทธิ์เข้าดินแดนเร้นลับมาได้อย่างแน่นอน”
เขายกมุมปากขึ้นยิ้มยิงฟัน
สำนักพลับพลาวายุและอสนีคือหนึ่งในสำนักชั้นนำของทวีปมังกรซ่อนเร้น เป็นสำนักที่ไม่อ่อนด้อยไปกว่าวังโอสถและสำนักมหาพิภพเลย
หลังออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย คนกลุ่มนี้ก็เดินหน้าเข้าเมืองด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
ไม่นานหลังจากนั้น วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็ส่องแสงออกมาอีกครั้ง รัศมีน่าขนลุกชวนชิงชังระเบิดออกจากวงแหวนปราณ จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็ก้าวเท้าออกมา
คนเหล่านี้สวมเสื้อคลุมสีดำสนิทจนดูเหมือนถูกความมืดมิดห่อหุ้มกลืนกิน สีหน้าของพวกเขาคลุมเครือมองเห็นไม่ชัด แต่ละคนแบกหีบใบใหญ่ไว้บนหลัง หีบเหล่านี้สลักวงแหวนปราณที่มีควา ามลึกลับและล้ำลึกมากมาย ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังผันผวนแปลกประหลาด
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พวกเขาไม่พูดจาพาที แต่ลำแสงสีแดงสดก็แผ่พุ่งออกมาจากใบหน้า มันสะท้อนออกมาจากดวงตาของพวกเขานั่นเอง
รัศมีอันน่าขนลุกและมืดมนทำให้คนที่อยู่รอบๆ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายรู้สึกอึดอัด
เหล่ายอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิด… มาถึงแล้ว
กลุ่มคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำเดินออกมา แต่ละคนแผ่รัศมีสีดำทะมึนซึ่งทำให้สิ่งรอบข้างมืดมนไป เหล่ายอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิดกวาดดวงตาสีแดงมองไปรอบๆ ทันทีที่เห็นหอสูงตระหง่านในเมือง งหมอกนภา พวกเขาก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบห้าว
เสียงหัวเราะของพวกเขาฟังเหมือนเสียงโลหะเสียดสีกัน ทำให้ผู้ที่ได้ยินขนลุกขนชันด้วยความกลัว
ไม่นานหลังจากเหล่ายอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิดเดินออกไป วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เปล่งแสงอีกครั้ง มีคนอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว คนกลุ่มนี้มีร่างกายกำยำและแข็งแรง พวกเขาแผ่รัศมีทรงพลั งออกมา
เหล่ายอดฝีมือของสำนักมหาพิภพมาถึงแล้ว
ผู้นำทัพของเหล่ายอดฝีมือสำนักมหาพิภพแบกกระบี่ศิลาเล่มใหญ่ไว้บนหลัง กระบี่ศิลาไร้คมก็จริง แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงพลังกระบี่ที่แผ่พุ่งออกมา เสมือนว่ามันสามารถฟันทุก กอย่างสะบั้นได้
…..
บรรดายอดฝีมือของตระกูลหลินและตระกูลจางมายืนหน้าทางเข้าเมืองหมอกนภาสักพักแล้ว ยอดฝีมือกลุ่มนี้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นคนกลุ่มใหม่หลายกลุ่มเร่งรุดมายังทางเข้าเมือง ง
พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือของสำนักชั้นนำทั้งสิ้น แม้ว่ายอดฝีมือเหล่านี้จะไม่ใช่ระดับชั้นนำในสำนักตัวเอง แต่ยังถือว่ามีสถานะที่โดดเด่น
ตระกูลหลินต้อนรับเหล่ายอดฝีมือของสำนักพลับพลาวายุและอสนีอย่างสมเกียรติและอบอุ่นเพราะชื่อเสียงของสำนักนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทวีป
ยิ่งกว่านั้น หนึ่งในยอดฝีมือก็คือเซียวจ่างอวิ้น อัจฉริยะรุ่นเยาว์จากของสำนักพลับพลาวายุและอสนี ที่ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพไปได้แล้วถึงสองชิ้น
ส่วนตระกูลจางให้การต้อนรับสำนักหุ่นเชิด
ตระกูลจางค่อนข้างกริ่งเกรงความร้ายกาจและน่าเกรงขามของยอดฝีมือจากสำนักหุ่นเชิดที่หลงใหลในการใช้หุ่นเชิด
มีข่าวลือว่ายอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิดสร้างหุ่นเชิดที่แกร่งกล้าจากซากศพของยอดฝีมือคนอื่นๆ ลือกันถึงขนาดที่ว่าเพื่อทำให้หุ่นเชิดเหล่านี้แข็งแกร่ง ยอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิดจึงอ ออกขุดสุสานของยอดฝีมือที่จากไปเกือบทุกคนบนทวีป ซากศพของพวกเขาถูกลากขึ้นมาแล้วหลอมเป็นหุ่นเชิด
ช่างอำมหิตและชั่วร้ายเหลือเกิน
แม้ว่าวังโอสถจะไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่ายอดฝีมือของสำนักมหาพิภพ แต่ตระกูลใหญ่บางตระกูลของเมืองหมอกนภาก็มาต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
บรรดายอดฝีมือที่มาใหม่จากหนึ่งในสำนักชั้นนำของทวีปเข้าพักที่มุมหนึ่งของเมืองหมอกนภา
บรรยากาศของเมืองหมอกนภาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและตึงเครียด เมืองโอสถอีกสองแห่งคือเมืองโอสถนภาและเมืองแสงนภาก็ส่งยอดฝีมือมาด้วยเช่นกัน นั่นเพราะเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกี่ยวข้อ องกับดินแดนเร้นลับ
พวกเขาจำต้องส่งคนมาเพราะดินแดนเร้นลับมีสมบัติเหลือคณานับ ทั้งโอสถพลังปราณที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า ทั้งเหมืองผลึก ทั้งวัตถุดิบชั้นเซียน สมบัติโลก และน่าจะมีแม้กระทั่ง… เปลวเพ พลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี
ดังนั้นทุกคนจึงไม่อาจปล่อยผ่านสถานที่แห่งนี้ได้ เพราะเกือบทุกสิ่งอาจพบได้ในดินแดนเร้นลับ
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายส่องสว่างอีกครั้งก่อนจะเปล่งแสงอร่ามออกมา
ทว่าครั้งนี้ผิดจากครั้งก่อนๆ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเจิดจ้าขึ้นด้วยแสงที่เย็นเยียบน่าขนลุก แสงนั้นมีสีแดงเหมือนเลือด ภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายปรากฏร่างสองร่าง ทั้งคู่สวมเสื้อค คลุมสีแดงเลือด กลิ่นคาวเลือดแผ่ออกมาจากพวกเขาและอบอวลไปทั่ว
“หมีซา… เจ้าแน่ใจหรือว่ารัศมีของหอคอยอสุราปรากฏอยู่ภายในดินแดนเร้นลับจริงๆ” คนสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดทางซ้ายมือถามคนข้างๆ
คนถูกถามเพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบว่า “ประสาทสัมผัสของข้าไม่เคยพลาด หลังจากเจ้าคนทรยศต้วนหลิงขโมยหอคอยอสุราไป เขาก็ปิดรัศมีของหอคอย ไม่นานมานี้รัศมีของหอคอยเล็ดลอดออกมาครั้ งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นข้าก็ไม่อาจแกะรอยมันได้อีก
“ทว่าเมื่อหลายวันก่อน ตอนอยู่ในเมืองโบราณอสุรา ข้าสัมผัสได้ถึงความผันผวนรุนแรงจากหอคอยอสุรา นั่นหมายความว่าหอคอยอสุราอยู่ในดินแดนเร้นลับ”
หมีซาเงยหน้าขึ้น ผมสีดำสนิทของเขาสยายเบาๆ
…
ในคุกใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้นของตระกูลหนานกง ร่างร่างหนึ่งถูกตรึงไว้กับตะแลงแกงโลหะ โซ่เย็นเฉียบบนตะแลงแกงเจาะทะลุร่างของคนผู้นี้ ทำให้มีเลือดหยดเป็นทาง
ศีรษะของหนานกงอู๋เชวียห้อยต่องแต่ง ผมสีแดงลู่ติดอยู่กับผิวหนัง เขาหอบหายใจแผ่วและลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว หนานกงอู๋เชวียสัมผัสได้ว่าพลังรัศมีของตนกำลังอ่อนแรงลง พลัง ปราณเที่ยงแท้ในจุดตันเถียนพลุ่งพล่านไม่หยุดอยู่ ทำให้เขาเจ็บปวดเหลือใจ เสมือนว่าร่างกายกำลังถูกแทงด้วยเข็มจำนวนนับไม่ถ้วน
ร่างของเขาถูกตรึงกับตะแลงแกงโลหะ โซ่เจาะทะลุตัวของเขาทำให้หมดสิ้นพลังทั้งปวง
เมื่อเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี เปลวเพลิงราชันเก้าโลกันตร์ซึ่งอยู่ภายในแก่นพลังของเขาถูกหนานกงเสวียนเฮ่ออถอนออกไป พลังปราณของเขาก็แทบจะง่อยเปลี้ย
บัดนี้สภาพของหนานกงอู๋เชวียไม่เหลือพลังรัศมีและเค้าความเกรียงไกรเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป
ตอนนั้นเองประตูคุกใต้ดินก็เปิดออกพร้อมเสียงดังเอี๊ยด แสงสว่างลอดเข้ามาส่องกระทบร่างของหนานกงอู๋เชวีย ทำให้เขาระคายเคืองตาจนต้องร้องครางออกมา หลายคนเดินผ่านประตูเข้ามา
หนานกงหวั่นรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าเมื่อเห็นสภาพของบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหนานกงในตอนนี้ นางรู้สึกเหมือนมีเลือดหยดจากหัวใจเพราะความเจ็บปวด เขายังเป็นพี่ชายที่เย่อหยิ่งและชอบ บทำตัวตลกไร้สาระของนางอยู่หรือเปล่า เหตุใดคนพวกนั้นจึงทำกับเขาเช่นนี้
หนานกงหวั่นโกรธจนแทบระเบิดออกมา
กระนั้นก็ดีหนานกงเสวียนอิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ไม่คนที่นางจะเอาชนะได้
นางรู้สึกท้อแท้และเศร้าใจ ได้แต่เพียงมองหนานกงอู๋เชวียด้วยดวงตาแดงก่ำ
หนานกงอู๋เชวียเหมือนสัมผัสถึงสายตาของนางได้ เขาเงยหน้ามองใบหน้าที่งดงามอย่างสุดซึ้งของหนานกงหวั่น และอดไม่ได้ที่จะแอบโล่งอกอยู่ในอก
ใบหน้าซีดเซียวและมีเลือดโชกเผยรอยยิ้มฝืดฝืน
มันเหมือนเขาพยายามบอกอีกฝ่ายว่าตนยังเป็นพี่ชายตัวตลกของนางดังเดิม
อย่างไรก็ดีในตอนนี้สองพี่น้องเองก็ไม่แน่ใจว่ามันยังเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
“ผู้อาวุโสลำดับสอง ข้าขอพูดกับเขาตามลำพังได้หรือไม่” หนานกงหวั่นเอ่ยถามหนานกงเสวียนอิงอย่างเย็นชา แอบซ่อนความเศร้าโศกและเสียใจเอาไว้
หนานกงเสวียนอิงขมวดคิ้วตั้งใจจะปฏิเสธคำขอร้องนั้น
“หึๆ เขามีสภาพเช่นนี้ไปแล้ว ยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก” หนานกงหวั่นพูดพลางมองหนานกงเสวียนอิงด้วยสายตาเดียดฉันท์
“เจ้าพูดถูก ตระกูลหนานกงอยู่ในเงื้อมมือของพวกเราสามพี่น้องแล้ว มีอะไรให้ต้องกลัวอีก”
หนานกงเสวียนอิงขยับยกยิ้มปากแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดจา หลังออกจากคุกใต้ดิน เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น มีร่องรอยความเหนื่อยล้าปรากฏให้เห็น
ไม่นานหลังจากนั้น ประตูคุกใต้ดินก็เปิดออก หนานกงหวั่นเดินออกมา
“ไปเถอะ” นางพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หนานกงเสวียนอิงมองหญิงสาวด้วยสายตาล้ำลึกก่อนเดินออกจากคุกใต้ดิน หลังจากผู้คุมเข้ามาในคุกใต้ดินและเห็นหนานกงอู๋เชวียยังถูกตรึงด้วยตะแลงแกงโลหะ พวกเขาก็สบายใจขึ้นแล้วกล ลับไปทำงานต่อ
หนานกงอู๋เชวียเงยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก
“น้องรัก… เพลิงสังเคราะห์ของเจ้าก้าวหน้าไปมากจริงๆ”
กร้วม…
หนานกงอู๋เชวียกัดโอสถที่อยู่ในปาก หลังจากนั้นพลังปราณในโอสถก็ปะทุออกมาและขยายใหญ่ขึ้น มันส่งพลังฉีกทึ้งที่น่าสะพรึงกลัวออกมาและทำให้ร่างกายของเขาย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่ซ่อนอยู่ในโอสถเม็ดนี้มีพลังรุนแรงมหาศาล
นี่คือแผนการที่อันตรายที่สุด แต่หนานกงหวั่นก็ต้องใช้วิธีนี้เพราะไม่เหลือทางเลือกอื่น
ไม่มีใครรู้ว่าหนานกงอู๋เชวียจะถูกพลังปราณฉีกกระชากร่างเป็นชิ้นๆ ระหว่างการเคลื่อนย้ายหรือว่ารอดออกไปได้
แสงเข้าปกคลุมภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย หนานกงอู๋เชวียกระอักเลือดอย่างต่อเนื่องแต่ยังคงหัวเราะเบิกบาน แววตาของเขามีความบ้าคลั่งเจืออยู่
แสงสว่างหายวับไปพร้อมเสียง ‘หวือ’ ดังสนั่น ร่างของหนานกงอู๋เชวียหายไปพร้อมตะแลงแกงโลหะเย็นยะเยือก
ตอนนั้นเองเหล่าผู้คุ้มคุกใต้ดินต่างก็แตกตื่นกับภาพที่เห็นก่อนส่งเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น
หนานกงอู๋เชวีย… หนีไปแล้ว!
…
ในร้านอาหารหมอกเมฆา หลังจากฝึกทักษะการทำอาหารแล้ว ปู้ฟางก็ยืดเส้นยืดสายก่อนเดินออกจากครัว ทันใดนั้นก็เกิดความผันผวนรุนแรงไปทั่วทั้งร้าน
ปู้ฟางตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ เขาเงยหน้ามองต้นตอของความผันผวน
วงแหวนปราณปรากฏขึ้น ร่างสภาพดูไม่จืดตกลงมาฟาดกับพื้นเสียงดังสนั่น
ปู้ฟางตกตะลึง มันเกิดบ้าอะไรขึ้น
ชายผู้นั้นขยับตัวเล็กน้อย เสียงอ่อนแรงเล็ดลอดออกมา
“สหายปู้… ข้าดีใจที่ยังรอดมาเจอเจ้าอีกครั้ง”