ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 440 ค้นทั่วเมือง
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 440 ค้นทั่วเมือง
หนานกงอู๋เชวียไม่คิดว่าหนานกงหวั่นจะกำหนดให้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายมาโผล่ที่ร้านของเถ้าแก่ปู้
สภาพของเขาย่ำแย่เต็มทน ทั้งตัวมีแต่เลือด ความสง่างามและภูมิฐานหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความน่าสังเวช หนานกงอู๋เชวียหอบหายใจเสียงดัง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงราวกับหีบลม ซ้ำยังกร ระอักเลือดอีกหลายครั้ง
ปู้ฟางเลิกคิ้ว มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดหนานกงอู๋เชวียถึงได้มี… สภาพชวนหดหู่เช่นนี้
“สหายปู้… มีอะไรกินบ้างไหม ข้าหิวจะแย่แล้ว…”
หนานกงอู๋เชวียพยายามคลานขึ้นจากพื้นทั้งที่ตัวสั่นเทา แต่ก็หมดแรงแล้วฟุบลงไปใหม่ เขาหัวเราะออกมาเบาๆ สีหน้าดูสิ้นหวังและถอดใจที่จะลุกขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพูดกับปู้ฟ ฟาง
สภาพของหนานกงอู๋เชวียช่างน่าอนาถยิ่ง พลังปราณเที่ยงแท้เสียหายและบาดเจ็บภายในนับไม่ถ้วน ตะแลงแกงโลหะที่ตรึงเขาไว้เจาะทะลุร่างและสะกดขั้นปราณของชายหนุ่มเอาไว้
“ใครทำกับเจ้าเช่นนี้ เหตุใดจึงโหดร้ายนัก” ปู้ฟางถาม
เขาขยับตัวเข้าหาแล้วช่วยพยุงหนานกงอู๋เชวีย
ปู้ฟางพยายามใช้พลังปราณเที่ยงแท้ของตัวเองดึงโซ่ออกแต่ก็ไม่สามารถทำได้
ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความประหลาดใจ โซ่นี่จะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“อย่าเสียแรงเลย มันคือโซ่ที่ทำจากเหล็กลึกลับพันปี เคยใช้สะกดพลังปราณของยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว มันแข็งแกร่งมาก ไม่มีทางที่เจ้า… หรือคนที่ยังไม่บรรลุชั้นกา ยาศักดิ์สิทธิ์จะทำลายมันได้” หนานกงอู๋เชวียกล่าวพลางยิ้มอย่างอ่อนแรง
ปู้ฟางยอมแพ้พลางจ้องหนานกงอู๋เชวีย ควันสีเขียนหมุนวนรอบมือเพราะเขาเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมา ไม่มีสิ่งใดที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองจะตัดหรือทำลายไม่ได้
ทันทีที่เขาพยายามใช้มีดตัดโซ่ เจ้ากุ้งที่นอนอยู่บนไหล่ก็โบกก้ามไปมาแล้วใช้ก้ามตัดโซ่ขาดอย่างง่ายดายราวกับเป็นเต้าหู้
ปู้ฟางถึงกับอึ้งไป หนานกงอู๋เชวียเองก็อึ้งไม่ต่างกัน
เจ้ากุ้งพ่นลมออกจากจมูกพลางโบกก้ามใส่ปู้ฟาง อวดความสำเร็จของตัวเอง
ดวงตาของหนานกงอู๋เชวียเป็นประกาย นึกไม่ถึงว่าเจ้านี่จะจิ๋วแต่แจ๋วปานนี้
หากก้ามของมันสามารถตัดได้แม้กระทั่งเหล็กลึกลับ นั่นแปลว่ามันย่อมไม่ต่างจากอุปกรณ์สะเดาะกลอนชั้นเซียนที่ทุกคนควรมีก่อนออกเดินทาง
เจ้ากุ้งกลับขึ้นไหล่ของปู้ฟางแล้วหลับต่ออย่างสงบ
ปู้ฟางเคาะเปลือกของมันเบาๆ เจ้ากุ้งหรี่ตาปูดโปนของมันลงอย่างสุขใจ
เมื่อโซ่ถูกตัด ปู้ฟางก็ช่วยหนานกงอู๋เชวียดึงชิ้นส่วนทั้งหมดออกจากร่าง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่หนานกงอู๋เชวียต้องเผชิญทำให้ชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
“มันเจ็บชะมัด… เจ็บเหลือเกิน โอ๊ย!!”
แคร้ง!
ในที่สุดตะแลงแกงโลหะทั้งหมดก็หลุดจากร่างของหนานกงอู๋เชวีย
เขารู้สึกว่าตัวเบาขึ้นมาก
หนานกงอู๋เชวียหรี่ตาลงพลางนั่งขัดสมาธิกับพื้น เขาหยิบขวดโอสถออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บก่อนจะกรอกเข้าปาก
กร้วม! กร้วม!
พลังวิญญาณเข้มข้นพุ่งออกจากโอสถทิพย์เหล่านั้น
“สหายปู้ ข้าขอพระกระโดดกำแพงหนึ่งชาม” หนานกงอู๋เชวียพึมพำ
“พระกระโดดกำแพงของวันนี้ขายหมดแล้ว” ปู้ฟางตอบเสียงนิ่ง
“ไม่เอาน่า… พระกระโดดกำแพงของเจ้าช่วยให้ข้าฟื้นจากการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น ไม่เห็นหรือว่าสภาพข้าน่าเวทนาเพียงใด” ใบหน้าอาบเลือดของหนานกงอู๋เชวียดูน่าสงสารไม่น้อย
ปู้ฟางไม่คล้อยตาม เขามองหนานกงอู๋เชวียก่อนจะตอบกลับไป “บอกแล้วอย่างไร พระกระโดดกำแพงของวันนี้ขายหมดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารบเร้าข้าอีก”
ปู้ฟางหันหลังเดินเข้าครัวทันทีที่พูดจบ
“ข้าจะทำอาหารที่ช่วยให้เจ้าฟื้นจากการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว แต่เจ้าก็ต้องจ่ายผลึกมา”
อึดใจถัดมา เสียงของปู้ฟางก็ดังออกมาจากครัว
หนานกงอู๋เชวียยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน การจะกินอาหารของปู้ฟาง ชายหนุ่มไม่ต้องพกอะไรติดตัวมาเลยนอกจากผลึกเป็นกะตั้กๆ ดังนั้นเขาจึงคล้อยตามอย่างว่าง่าย
….
ในคุกเกิดความชุลมุนวุ่นวายหลังจากหนานกงอู๋เชวียหลบหนีไปได้ พวกผู้คุมไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มหนีไปได้อย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงไปรายงานเรื่องนี้ พวกเขาออกจากคุกแล้วรีบไปแจ้งข ข่าวกับผู้อาวุโสสูงสุดหนานกงเสวียนเฮ่อทันที
“หนานกงอู๋เชวียหนีไปได้รึ” หนานกงเสวียนอิงเลิกคิ้วน้อยๆ หลังฟังรายงานจากผู้คุม
นางเด็กนั่นเจ้าเล่ห์อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด
เมื่อรับรู้ความจริง สีหน้าของหนานกงเสวียนอิงก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปจับเจ้าเด็กนั่น” หนานกงเสวียนอิงพูด การหลบหนีของหนานกงอู๋เชวียเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเขาเองที่บกพร่องต่อหน้าที่
หนานกงเสวียนเฮ่อมองอีกฝ่ายพลางพยักหน้า
“ไปเถอะ หากจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าเขาให้จบๆ ไป” หนานกงเสวียนเฮ่อพูดเสริม
หนานกงเสวียนอิงพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป เมื่อมาถึงทางเข้า หนานกงเสวียนอิงก็เงยหน้าขึ้นพลางหรี่ตามองสองคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด
คนพวกนี้เป็นใครกัน
หนานกงเสวียนอิงขึงขังขึ้นมาทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีน่าเกรงขามที่แผ่ออกจากร่างของคนทั้งคู่
เขาพบว่าพลังรัศมีนี้ยากจะต้านทานได้
สองคนนี้…
เมื่อสัมผัสถึงสายตาที่จับจ้องมาของหนานกงเสวียนอิง หนึ่งในนั้นก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่เย็นเยียบพุ่งเข้าปะทะกับสายตาหนานกงเสวียนอิง
หัวใจของหนานกงเสวียนอิงวูบไหวทันที รู้สึกว่าเลือดทั้งหมดในตัวเริ่มเดือดอย่างควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกพรั่นพรึงไม่น้อย!
มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว!
หนานกงเสวียนอิงสูดหายใจลึกพลางพยักหน้าให้ ก่อนหันหลังเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลหนานกง
หนานกงเสวียนเฮ่อยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วออกจากห้องมาต้อนรับสองคนนี้
…..
“ค้นให้ทั่วเมือง ห้ามเว้นแม้แต่ซอกซอยเดียว ต้องหาตัวหนานกงอู๋เชวียให้ได้”
หนานกงเสวียนอิงสั่งสมุนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก คนพวกนั้นรับคำสั่งแล้วกระจายกันทั่วเมืองหมอกนภาเพื่อเริ่มการค้นหา
หนานกงเสวียนอิงออกเดินช้าๆ รอบถนนเส้นหลักๆ ของเมืองหมอกนภาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
…
ในอาคารหลายชั้นของตระกูลหลิน
บรรดาสมาชิกชั้นสูงของตระกูลยืนอยู่ข้างๆ เหล่ายอดฝีมือของสำนักพลับพลาวายุและอสนี พวกเขามองดูสมาชิกของตระกูลหนานกงที่กระจายตัวไปทั่วเมืองแล้วก็เริ่มหัวเราะออกมา
“คุณชายเซียว ณ เวลานี้ตระกูลหนานกงเละเทะไม่มีชิ้นดีทีเดียว… พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการประลองเพื่อชิงสิทธิ์เข้าดินแดนเร้นลับที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันแน่” หลินไข ข่ หัวหน้าตระกูลหลินพูดพร้อมเสียงหัวเราะ
เซียวจ่างอวิ้นมองเมืองเมฆหมอกเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยเมย เขาพยักหน้าอย่างอบอุ่นให้คำพูดของหัวหน้าตระกูลหลิน
“เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยตระกูลหนานกง ครั้งนี้พวกเขาย่อมได้รับส่วนแบ่งสิทธิ์น้อยลง และภายหน้าตระกูลหลินของท่านจะขึ้นมาเป็นผู้นำของเมืองหมอกนภา”
“ถูกต้อง ทุกคนย่อมยินดีและพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ ท่านสามารถเข้าดินแดนเร้นลับและค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ ตระกูลหลินของข้าจะขัดขวางตระกูลหนานกงไว้ให้เอง มันจะเป็นผลดีกับเ เราทั้งสองฝ่าย”
หลินไข่เริ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เซียวจ่างอวิ้นหยิบถ้วยสุราขึ้นมาจิบอึกหนึ่งก่อนพยักหน้าให้หัวหน้าตระกูลหลินอย่างเป็นมิตร
…..
ในอาคารหลายชั้นของตระกูลจาง เหตุการณ์เช่นเดียวกันบังเกิดขึ้น
กระนั้นก็ดี เมื่อเทียบกับความเป็นมิตรของเซียวจ่างอวิ้นแล้ว เหล่ายอดฝีมือของสำนักหุ่นเชิดกลับเย็นชาและเฉยเมย ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก
ทว่าพวกเขายังเป็นมิตรกันได้เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน
…..
ปู้ฟางควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมืออย่างคล่องแคล่ว พลางใช้มันตบเนื้อกุ้งตั๊กแตนขั้นเซียนเทพที่อยู่บนโต๊ะเบาๆ ก่อนหั่นเป็นชิ้นๆ เขาหั่นชิ้นเนื้อโปร่งใสที่บางเท่าปีกจ จักจั่นออกมามากมาย เส้นเลือดบนเนื้อแต่ละชิ้นค่อนข้างชัดเจน มันดูสวยงามและชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง
เมื่อหั่นเนื้อเสร็จแล้ว ปู้ฟางก็จัดมันลงบนจานจนเป็นรูปดอกไม้แวววาว
ปู้ฟางวางจานในซึ้งไม้ไผ่แล้วเริ่มทำอาหาร เขายกมือขึ้นเหนือซึ้งไม้ไผ่จากนั้นก็เฝ้าสังเกตการโคจรของพลังปราณที่อยู่ภายใน
ขณะเดียวกัน ปู้ฟางก็เตรียมน้ำซอสด้วยมืออีกข้าง เขาหยิบซอสพริกอเวจี ตักออกมาครึ่งช้อนแล้วเอาเทใส่ชามกระเบื้อง จากนั้นก็รินสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งถ้วยใส่ชาม คนให้เข้ากัน นจนมีกลิ่นหอมโชยออกมา
ปู้ฟางอ้าปากแล้วพ่นลูกไฟสีทองลูกเล็กๆ หมื่นไฟประลัยกัลป์ลุกโชนอยู่เหนือฝ่ามือ เขาโยนลูกไฟลงในชามกระเบื้อง เมื่อสัมผัสกับวัตถุดิบที่อยู่ภายใน แสงไฟก็วูบวาบออกมา เกิดเสียงดั งก้องตามติดมาด้วยไอน้ำพลุ่งพล่าน
กลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นและกลิ่นหอมอบอวลไปในอากาศ
ปู้ฟางใส่เครื่องปรุงรสลงไป หลังจากนั้นเขาก็หั่นมงกุฎเลือดเป็นชิ้นก่อนใส่ลงไปในชาม ทันทีที่ใส่ลงไป มันก็เปลี่ยนเป็นแก่นวิญญาณแล้วซึมซาบเข้าไปในน้ำซอส
ซอสพริกตำรับลับสำเร็จแล้ว
มันเป็นซอสรสชาติเปรี้ยวและจัดจ้าน
ฟู่ๆ!
ไอน้ำหนาแน่นและพลังปราณพวยพุ่งออกจากซึ้งไม้ไผ่ เนื้อกุ้งที่อยู่ข้างในมีพลังปราณเต็มเปี่ยมเพราะเป็นเนื้อของอสูรเวทระดับเก้าแถมเนื้ออสูรเวทระดับเก้ายังมีสรรพคุณยอดเยี่ยมใน การเติมเต็มพลังชีวิตและพลังสารัตถะด้วย
ปู้ฟางรักษาพลังปราณเกือบทั้งหมดในเนื้อกุ้งตั๊กแตนเอาไว้ได้ หลังจากนึ่งด้วยวิธีของเขาแล้ว เนื้อกุ้งยิ่งดูสวยงาม โปร่งแสงและแวววาวกว่าเดิม
เมื่อปู้ฟางราดซอสรสเปรี้ยวลงบนเนื้อกุ้งซึ่งถูกจัดวางเป็นรูปดอกไม้บานบนจาน อาหารพิเศษจานนี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ขณะที่ปู้ฟางเดินออกจากครัวพร้อมเนื้อกุ้งในมือ หนานกงอู๋เชวียที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ทำจมูกฟุดฟิดโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายทันที
หลังจากได้พักฟื้นสั้นๆ หนานกงอู๋เชวียก็สามารถควบคุมความผันผวนของพลังปราณเที่ยงแท้ในกายได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอาการบาดเจ็บจะดีขึ้น เขาเพียงป้องกันไม่ให้มันแย่ลงเท่านั น
“มันมีชื่อว่าอะไร ไม่ได้อยู่ในรายการอาหารรึ” หนานกงอู๋เชวียถามด้วยความสงสัย
“มีอาหารมากมายที่ไม่ได้อยู่ในรายการอาหาร” ปู้ฟางตอบเสียงนิ่ง
ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามหนานกงอู๋เชวีย
หนานกงอู๋เชวียอดใจรอไม่ไหว เขารีบใช้ตะเกียบคีบเนื้อกุ้งโปร่งแสงขึ้นมาทันที เนื้อกุ้งชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสและมีสีแดงก่ำ
ไอน้ำกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมาจากเนื้อกุ้งแดงก่ำแล้วลอยขึ้นสูง
หนานกงอู๋เชวียยัดเนื้อกุ้งเข้าปาก
“โอ้…”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง เขาสูดหายใจลึกพลางเคี้ยวไปด้วย เนื้อกุ้งค่อนข้างนุ่มและมีรสชาติดีงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอสรสเปรี้ยวและจัดจ้านนี้ รสเผ็ดของมันทำให้รุขุมขนทั้งหมดของชายห หนุ่มเปิดออกอย่างไม่รู้ตัว เลือดในกายเริ่มไหลเวียนดีขึ้น
หนานกงอู๋เชวียเริ่มเหงื่อออกหลังจากกินเนื้อกุ้งเข้าไปเพียงชิ้นเดียว
พลังปราณเข้มข้นไหลลงท้องไปพร้อมเนื้อกุ้ง และถูกร่างกายของเขาดูดซับไปทันที
ช่างดีงามอะไรเช่นนี้
หนานกงอู๋เชวียรู้สึกว่าพละกำลังของตนเองฟื้นคืนมาอย่างรวดเร็ว
อาหารจานนี้เปี่ยมด้วยแก่นพลังปราณ และมันคือสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้
แม้ประสิทธิภาพของมันจะด้อยไปจากที่ต้องการเล็กน้อยเพราะทำจากเนื้ออสูรเวทระดับเก้า แต่หนานกงอู๋เชวียก็ยังรู้สึกพออกพอใจ
หากเขาได้ไก่แปดขุมทรัพย์ของตาเฒ่าเฉียนมาให้เถ้าแก่ปู้ปรุงอาหาร รสชาติของมันต้องอร่อยเหาะอย่างแน่นอน
ปู้ฟางมองหนานกงอู๋เชวียที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย แล้วยกยิ้มมุมปากน้อยๆ พ่อครัวอย่างเขาย่อมยินดีหากลูกค้าพอใจกับรสชาติอาหาร
ระหว่างที่หนานกงอู๋เชวียกำลังกินอย่างสำราญใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเคาะประตูสัมฤทธิ์ของร้าน
ตึง! ตึง! ตึง!
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ตระกูลหนานกงกำลังตามล่าคนร้าย”