ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 441 หนานกงอู๋เชวียสังหารโหด
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 441 หนานกงอู๋เชวียสังหารโหด
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ตระกูลหนานกงกำลังตามล่าคนร้าย” เสียงก้องกังวานดังเข้ามาในร้านอาหารเพราะมีคนเคาะประตูอย่างแรง
ปู้ฟางไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วแล้วมองหนานกงอู๋เชวียอย่างสงสัย
หนานกงอู๋เชวียไม่แยแสคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย เขายังคีบเนื้อกุ้งนึ่งร้อนๆ ที่ชุ่มไปด้วยซอสรสชาติจัดจ้านขึ้นมา แล้วยัดเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
“ถูกแล้ว คนร้ายที่พวกเขาตามล่าก็คือข้าเอง” หนานกงอู๋เชวียพึมพำระหว่างที่เคี้ยวเนื้อกุ้ง
ที่ตระกูลหนานกงตามล่าคือคุณชายของพวกเขาเองหรือนี่
เมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการตามล่าตัวหนานกงอู๋เชวียที่เลือดโชก ปู้ฟางก็เลิกคิ้ว เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาทันที มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
ตอนที่หนานกงอู๋เชวียคีบเนื้อกุ้งอีกชิ้นขึ้นมา เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย้าแหย่ของปู้ฟาง จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มกินเนื้อกุ้งไปพลางบรรยายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นไปพลาง ง
ปู้ฟางนั่งพิงเก้าอี้แล้วฟังอย่างใจเย็น ยิ่งฟังคิ้วก็ยิ่งขมวดขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเพราะการทรยศของคนในตระกูลหนานกง
หัวใจของปู้ฟางเย็นเยียบเมื่อนึกถึงสภาพน่าเวทนาของหนานกงอู๋เชวีย เรื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดมักเกิดขึ้นจากคนใกล้ตัวเสมอ
“เจ้ากินตามสบายเถอะ ไม่ต้องใส่ใจคนพวกนั้น”
ปู้ฟางไม่ได้เดินไปเปิดประตู ไม่สมัครใจจะทำเช่นนั้น เขาเพียงพูดกับหนานกงอู๋เชวียอย่างเฉยชาแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกินเนื้อกุ้งต่อไป เนื้อกุ้งช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่งและพลังชีวิ ตได้อย่างรวดเร็ว
พวกที่อยู่นอกร้านรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อประตูยังปิดสนิทอยู่
ตอนแรกคำอธิบายที่เป็นไปได้คือเจ้าของร้านยังหลับอยู่
กระนั้นก็ดี พวกเขาทั้งส่งเสียงอึกทึก แผดเสียงดัง และเคาะจนประตูแทบพัง เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าของร้านจะไม่ตื่น
ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่
หรือว่าเจ้าของร้านจะกลัว
กลัวอะไร เหตุใดต้องกลัว หรือว่าหนานกงอู๋เชวียจะอยู่ข้างใน
ต้องใช่แน่ๆ
เมื่อคนของตระกูลหนานกงสรุปได้ดังนี้ พวกเขาก็ค่อนข้างตื่นเต้นแล้วเคาะประตูแรงขึ้น
เมื่อหนานกงอู๋เชวียยัดเนื้อกุ้งชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนลงไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะเรอออกมาอย่างสบายใจ หลังจากกินอิ่มแล้ว บาดแผลเล็กน้อยทั้งหลายบนตัวก็แทบจะหายเป็ นปกติ พลังปราณเที่ยงแท้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
กระนั้นในใจของเขาก็ยังโศกเศร้าอาดูรเพราะเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีในตัวถูกชิงไป
ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่
“เจ้ากินเสร็จหรือยัง” ปู้ฟางถาม
หนานกงอู๋เชวียเอนตัวพิงเก้าอี้พลางพยักหน้า
เมื่อเห็นดังนั้นปู้ฟางก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆ
“หากเจ้ายังไม่ยอมเปิด เราจะพังเข้าไป!” คนของตระกูลหนานกงด้านนอกเริ่มส่งเสียงขู่ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าหนานกงอู๋เชวียจะอยู่ในร้านนี้
ปัง! ปัง!
เสียงเคาะดังเป็นพิเศษ ประหนึ่งว่าคนข้างนอกพุ่งเข้าใส่ประตูด้วยพลังปราณเที่ยงแท้
เอี๊ยด…
ปู้ฟางเปิดประตูสัมฤทธิ์ออกช้าๆ
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพสองรายที่อยู่ข้างนอกกำลังโคจรพลังปราณเที่ยงแท้อยู่ พวกเขาตั้งใจจะพุ่งเข้าใส่ประตูอีกครั้ง แต่กลับขายหน้าเล็กน้อยเมื่อประตูเปิดออกอย่างฉับพลัน
กระนั้นพวกเขาก็รีบมายืนเรียงหน้ากระดาน
พวกเขาสงสัยร้านนี้มาสักพักแล้ว
“เหตุใดเจ้าเพิ่งเปิดประตู”
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพถลึงตาพลางจ้องปู้ฟางอย่างเย็นชา
ปู้ฟางปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนหันหลังเดินกลับเข้าร้านไป
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพไม่พอใจที่ถูกเมินอย่างโจ่งแจ้ง แต่หลังจากนั้น รูม่านตาของเขาก็ขยายกว้างเมื่อเห็นคนที่นั่งพิงเก้าอี้อยู่ในร้าน ชายผู้นั้นมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าพลางจ้องม มองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพด้วยสายตาซุกซน
“หนานกงอู๋เชวีย”
เมื่อยอดฝีมือขั้นเซียนเทพลั่นชื่อออกมาอย่างตื่นตระหนก ทุกคนตรงนั้นต่างตะลึงงัน
พวกเขาหาเจอแล้ว! หนานกงอู๋เชวียอยู่ในร้านจริงๆ!
หลังจากร้องอุทานเสียงหลง ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นลิงโลดใจ เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ดูไม่จืดของหนานกงอู๋เชวีย เขาก็รู้สึกเหมือนเจอทองคำ ตราบเท่าที่จับตัวหนานกงอู เชวียได้ ตระกูลหนานกงย่อมตกรางวัลอย่างงาม และรางวัลเหล่านั้นอาจช่วยให้เขาบรรลุชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ได้
ส่วนเรื่องที่ว่าจะสามารถจับกุมหนานกงอู๋เชวียได้หรือไม่ เขาไม่ห่วงสักนิด
หนานกงอู๋เชวียถูกถอดเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีออกจากร่างแล้ว เขาไม่ใช่หนานกงอู๋เชวียที่สูงส่งน่าเกรงขามอย่างในอดีตอีกต่อไป
สภาพเป็นตายเท่ากันเช่นนี้ หนำซ้ำขั้นปราณยังแตกสลาย เขาจะเผชิญหน้ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้อย่างไร ดังนั้นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพผู้นี้จึงรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม
ส่วนเจ้าของร้านนั้น หมอนี่มีปราณเพียงระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งที่บี้ให้ตายได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ไม่มีทางที่เจ้าของร้านจะขัดขวางหรือเป็นอุปสรรคไ ได้
สมาชิกคนอื่นของตระกูลหนานกงที่อยู่ตรงนี้ต่างรู้สึกเช่นเดียวกับยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ พวกเขามองหนานกงอเก๋อด้วยสายตาละโมบ
หึ่ง…
เจ้าขาวเดินออกจากครัวมาช้าๆ พร้อมแสงสีม่วงวูบวาบ มันมาหยุดอยู่ข้างๆ ปู้ฟาง
“นี่ นายท่านขาว ไม่ต้องลำบากท่านหรอก คนพวกนี้… ข้าจัดการเองได้” หนานกงอู๋เชวียมองเจ้าขาวพลางพูดพร้อมรอยยิ้ม
เขาลุกขึ้นแล้วยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย มีเสียงดังกรอบแกรบจากการเสียดสีของกระดูกและกล้ามเนื้อ เสียงนั้นก้องกังวานไม่น้อย หนานกงอู๋เชวียสางผมสีแดงของตัวเองพลางปรายตามองคนของตระก กูลหนานกงด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาจำหลายคนได้ บางคนเคยทรมานเขาตอนอยู่ในคุกใต้ดินด้วยซ้ำ
ได้เวลา… ชำระแค้นแล้ว
“พวกเจ้าทุกคน จับตัวเขาเสีย อย่าให้หนีไปได้” ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพสวมบทบาทผู้นำทันทีแล้วตะเบ็งเสียงสั่งดังลั่น
พวกเขาจ้องหนานกงอู๋เชวีย พลางปลดปล่อยพลังรัศมีออกมาทันที
หนานกงอู๋เชวียใช้ปลายนิ้วเท้าดันพื้นเบาๆ จากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
คลื่นเสียงหนึ่งระเบิดกึกก้อง ก่อเกิดเป็นพายุรุนแรง
หนานกงอู๋เชวียไปปรากฏตรงหน้ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพทันใด
เขาเชิดหน้ามองสองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพด้วยสายตาเย็นยะเยือก แววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของเขาทำเอาสองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพหัวใจสั่นสะท้าน หนานกงอู๋เชวียเงยหน้าขึ้น คว้า คอเสื้อของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งสองแล้วพุ่งตัวออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
ปัง! ปัง!
เสียงก้องกังวานดังขึ้นสองครั้งเมื่อสองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพถูกหนานกงอู๋เชวียจับเหวี่ยงตัวลอย ทั้งคู่กระแทกเข้ากับร้านโอสถทิพย์สองร้านอย่างรุนแรงจนร้านพังยับเยิน
“คนอย่างพวกเจ้า… ไม่สมควรให้อภัย” หนานกงอู๋เชวียพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ
พลังรัศมีที่แผ่จากตัวเขาเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ
สมาชิกคนอื่นของตระกูลหนานกงพุ่งออกจากร้านพลางมองหนานกงอู๋เชวียอย่างหวาดผวา
สองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพคลานขึ้นจากพื้น พวกเขากระอักเลือดออกมาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆ! เจ้าไม่ใช่หนานกงอู๋เชวียคนเดิมแล้ว… ตอนนี้เจ้าอ่อนปวกเปียกเหลือกำลัง!“ เสียงคำรามบ้าระห่ำดังขึ้น
หนึ่งในยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่อัดแน่นด้วยจิตสังหาร ใช้พลังปราณเที่ยงแท้บวกวิชาหมัดมวยจู่โจมใส่หนานกงอู๋เชวีย
นี่คือวิชาหมัดมวยของตระกูลหนานกง พลังของมันช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
หนานกงอู๋เชวียหัวเราะเย็นชา คนพวกนี้ไม่ได้เข้าใจผิด หลังสูญเสียเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี เปลวเพลิงราชันเก้าโลกันตร์ไป ความแข็งแกร่งของเขาก็ลดลงมาก และการบาดเจ็บสาหัส สก็ทำให้พลังของเขาถดถอยลงอีก
กระนั้นก็ดี เขายังเป็นถึงยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากได้รับการบำรุงด้วยเนื้อกุ้งของเถ้าแก่ปู้ เขาก็ฟื้นฟูพลังปราณกลับมาได้เกือบทั้งหมด
ดังนั้นการจัดการสองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพจึงยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายเหลือเกิน
โครม!
พลังรัศมีของเขากวาดผ่านไปรอบๆ และเหมือนจะมีโซ่ล่องหนเย็นเยียบปลิวสะบัดอยู่ด้านหลัง
หนานกงอู๋เชวียลงมืออีกครั้ง และครั้งนี้ความเร็วของเขาก็เหนือกว่าความเร็วเสียง ทำให้เกิดคลื่นระเบิดขึ้นสองครั้ง
ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว สีหน้าของยอดฝีมือที่โจมตีหนานกงอู๋เชวียด้วยวิชาหมัดมวยไม่สู้ดีนักเพราะถูกฟาดลงพื้นอย่างแรง พลังปราณเที่ยงแท้ของหนานกงอู๋เชวียเปลี่ยนร่างไปจน นคล้ายเปลือกหอยก่อนระเบิดดังลั่น
ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพรายนั้นร้องโหยหวนก่อนที่ร่างจะกระจายเป็นเสี่ยงๆ
หนานกงอู๋เชวียกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างแรงก่อนจะทะยานเข้าหายอดฝีมือขั้นเซียนเทพอีกราย
พลังปราณเที่ยงแท้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดที่บางเท่าปีกจักจั่น แล้วกุดหัวยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทันที ศีรษะของคนผู้นั้นลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า เลือดสาดกระจายตามมาติดๆ เมื่อใดก ก็ตามที่ตัวตลกหน้าเป็นอย่างหนานกงอู๋เชวียเปลี่ยนเป็นเย็นชา จิตสังหารของเขาจะเยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง
หลังจากสังหารสองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพได้ หนานกงอู๋เชวียก็หันไปจ้องคนที่เหลือทันที
คนพวกนี้ทรยศตระกูลหนานกง พวกมันสมควรตาย
ผมของหนานกงอู๋เชวียปลิวสะบัดตามสายลม ใบหน้าอาบเลือดของเขายิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ปัง!
พลังปราณเที่ยงแท้ใต้ฝ่าเท้าปะทุขึ้น จากนั้นร่างของชายหนุ่มก็ทะยานขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้ติดตามของตระกูลหนานกงหวาดกลัวสุดชีวิต
ใครบอกว่าหนานกงอู๋เชวียบาดเจ็บสาหัส เหลือพลังไม่ถึงสิบส่วนกัน
นี่มันแหกตากันชัดๆ สภาพของหนานกงอู๋เชวียตอนนี้ไม่เหมือนคนบาดเจ็บสาหัสเลยสักนิด
แผละ! แผละ!
เลือดอาบย้อมพื้นรอบๆ ร้าน พื้นเต็มไปด้วยแอ่งเลือดที่ไหลเอื่อยไปรอบๆ
หนานกงอู๋เชวียเหมือนสุนัขป่าที่บุกโจมตีฝูงแกะ จิตสังหารของเขาแผ่พล่านไปในอากาศ
ตอนนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังกึกก้องมาจากระยะไกล คลื่นพลังกดดันแห่งจักรวาลพุ่งเข้าใส่หนานกงอู๋เชวียอย่างรวดเร็ว
ร่างหนึ่งเร่งรุดเข้ามา เขาเหมือนจะพุ่งแหวกอากาศจนมันกลายเป็นเสี่ยงๆ คนผู้มีรูปลักษณ์น่าเกรงขาม รัศมีแกร่งกล้าแผ่ออกมาจากตัว ที่ด้านหลังของเขามีโซ่เส้นหนึ่งซึ่งสะบัดอย่างต่อ อเนื่อง
หลังจากสังหารผู้ติดตามรายสุดท้ายเรียบร้อย หนานกงอู๋เชวียก็เงยหน้าเปื้อนเลือดขึ้นมองชายผู้นั้น
“หนานกงเฉิง… เจ้าก็มาเพื่อเอาชีวิตข้าด้วยรึ”
เสียงของหนานกงอู๋เชวียเปลี่ยนเป็นแหบห้าว
“เจ้าคือคนร้ายที่ตระกูลหนานกงต้องการตัว ถ้าไม่เอาชีวิตเจ้า… แล้วจะให้เอาชีวิตใคร”
ชายผู้นี้ยิ้มอ่อนพลางมองหนานกงอู๋เชวียด้วยสายตาทีเล่นทีจริง
แววตาของเขามีแต่ความตื่นเต้น หนานกงอู๋เชวียผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ หนานกงอู๋เชวีย… แม้แต่คนอย่างหมอนี่ยังมีวันนี้
หนานกงอู๋เชวียโยนศพในมือทิ้งไป เขายืนขึ้นพลางสูดหายใจลึก
เปาะแปะ!
เมฆสีดำปกคลุมท้องฟ้า เสียงเปาะแปะดังขึ้นเบาๆ เมื่อฝนตกลงมา
ในเวลาสั้นๆ ฝนก็ตกหนักและหนาเม็ดขึ้น
หนานกงเฉิงลอยตัวกลางอากาศอย่างหยิ่งทะนง ร่างของเขามีม่านแสงห่อหุ้มเพื่อกันฝน ท่าทางของคนผู้นี้ดูมั่นใจและผ่อนคลายยิ่ง
หนานกงอู๋เชวียไม่ครั่นคร้ามกับฝนแม้แต่น้อย เขาปล่อยให้เม็ดฝนเย็นเฉียบปะทะร่าง พลางรู้สึกเย็นสบายเพราะสายฝนที่เย็นฉ่ำ คราบเลือดถูกชะออกไปเผยให้เห็นรูปโฉมอันหล่อเหลาอีกครั้ง เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นปรากฏเนื้อหนังบางส่วน บนตัวมีรอยแผลเป็นน่าสยดสยองนับไม่ถ้วนที่ยังไม่หายดี
หนานกงอู๋เชวียไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตระกูลหนานกงฝากรอยแผลเช่นนี้ไว้กับเขา
สายฝนชะล้างคราบเลือดออกไป พร้อมความผูกพันและห่วงใยที่เคยมีต่อตระกูลหนานกง จิตสังหารของเขาค่อยๆ ควบแน่นขึ้นมาทีละน้อยจนมารวมกันที่ดวงตา และมันก็เล็งไปที่หนานกงเฉิงที่ลอย ยอยู่บนท้องฟ้า
“หึๆๆ สายตาของเจ้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หนานกงอู๋เชวีย ผู้อาวุโสเสวียนอิงรู้แล้วว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เขากำลังมา เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบยอมแพ้เสีย” หนานกงเฉิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ปู้ฟางและเจ้าขาวเดินออกมาหน้าร้าน เมื่อเห็นบริเวณโดยรอบถูกปกคลุมด้วยละอองเลือด เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
คนคลั่งอย่างหนานกงอู๋เชวียนี่น่ากลัวจริงๆ
“หนานกงเสวียนอิงหรือ… สักวันข้าต้องเอาชีวิตไอ้หมาแก่หงำเหงือกสามคนนั้นแน่ แต่ตอนนี้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าก่อน” หนานกงอู๋เชวียมองหนานกงเฉิงพลางยิ้มกว้าง