ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 447 ข้าอยากได้สิทธิ์ในการเข้าดินแดนเร้นลับ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 447 ข้าอยากได้สิทธิ์ในการเข้าดินแดนเร้นลับ
“เสวียนอิงตายแล้วเช่นนั้นรึ เหตุใดเขาถึงตายได้ ไอ้สารเลวหนานกงอู๋เชวียจะฆ่าผู้อาวุโสลำดับสองได้อย่างไร”
หนานกงเสวียนเฮ่อปลดปล่อยพลังรัศมีออกมาอย่างไม่คิดยับยั้งตนเอง คลื่นพลังที่ผันผวนแพร่ออกมาปกคลุมทั่วทั้งห้องทันที ก่อเกิดเป็นกระแสลมส่งเสียงหวีดหวิว
เหล่ายอดฝีมือของเมืองโบราณอสุรามองหนานกงเสวียนเฮ่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่เคลือบแฝงด้วยนัยเย้ยหยัน
ทว่าหนานกงเสวียนเฮ่อในตอนนี้ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาใส่ใจสองคนนี้ จิตใจของเขายุ่งเหยิงปั่นป่วน เสวียนอิงตายแล้วจริงๆ หรือ
เขาคือน้องชายของข้า…
แล้วจะมาตายง่ายๆ ได้อย่างไร
ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งขุ่นเคือง สุดท้ายหนานกงเสวียนเฮ่อก็แทบจะเปล่งเสียงร้องคำรามออกมาเพื่อระบายความอัดอั้น
“บอกข้ามาว่าเป็นฝีมือใคร” หนานกงเสวียนเฮ่อที่ดวงตาแดงก่ำตะคอกออกมาขณะปรายตามองผู้คุ้มกันที่นำข่าวมาแจ้งด้วยสายตาไร้ความปรานี ผู้คุ้มกันคนดังกล่าวสามารถทำลายโซ่ตรวนขั้นเซ ซียนเทพได้หนึ่งชิ้นแล้ว
ร่างของผู้คุ้มกันสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินหนานกงเสวียนเฮ่อตวาดใส่ตน เป็นอาการที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้อาวุโสสูงสุดคนนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ตระกูลหนานกงทั้งตระกูลถูกเขาชิงมาเป็นของตัวเอง เพียงจุดนี้ก็บอกได้แล้วว่าคนคนนี้น่าหวั่นเกรงยิ่งนัก
ผู้คุ้มกันไม่ต้องการเผชิญหน้ากับความเกรี้ยวกราดของหนานกงเสวียนเฮ่อแม้แต่น้อย ทว่า…
“ที่แห่งนั้นเป็นร้านอาหารเล็กๆ… ผู้อาวุโสลำดับสองเสวียนอิงหายตัวไปในร้านแห่งนั้น เราพบศพของทุกคนที่นั่นยกเว้นเขาแค่เพียงคนเดียว”
ผู้คุ้มกันกล่าวตัวสั่นเทา
ร้านอาหารเล็กๆ หรือ
หนานกงเสวียนเฮ่อพยายามกดข่มความโกรธขณะปรายตามองผู้คุ้มกัน
ร้านอาหารเล็กๆ ที่หมอนี่พูดหมายถึงเรื่องบ้าเรื่องบออะไรกัน
ในเมืองหมอกนภาแห่งนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าร้านอาหารอยู่อีกหรือ
เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ยังมีร้านอาหารอยู่ในเมืองหมอกนภาจริงๆ ร้านแห่งนั้นย่อมจวนเจียนจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่ ร้านอาหารจะยังเปิดกิจการในเมืองหมอกนภาซึ่งขายโอสถอดอาหารหลากรสที่ตระกู ลหนานกงเป็นคนคิดค้นกันทั้งบ้านทั้งเมืองได้อย่างไร
มิหนำซ้ำร้านอาหารดังกล่าวยังอาจหาญปกป้องอาชญากรที่ตระกูลหนานกงออกตามล่าอีก
เป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด
ไฟความเดือดดาลแผ่พุ่งออกมาพร้อมๆ กับพลังรัศมีที่กระจายไปทั่วบริเวณ พลังแห่งจักรวาลจากร่างของหนานกงเสวียนเฮ่อขยายไปทั่วห้อง
หนานกงเสวียนเฮ่อเป็นยอดฝีมือที่สามารถทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้สองชิ้น และใกล้จะทำลายโซ่ตรวนชิ้นที่สามได้อยู่รอมร่อ นับเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง พลังรัศมีที่แผ ผ่ออกมาก็น่าสะพรึงกลัว คนนับไม่ถ้วนต่างตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้สัมผัสพลังรัศมีของคนผู้นี้
ทว่าท่าทีของเหล่ายอดฝีมือเมืองโบราณอสุรากลับยังปกติดี อย่างไรเสียขั้นปราณของพวกเขาก็ทรงพลังยิ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของหนานกงเสวียนเฮ่อ พวกเขาก็ทำเพียงขมวดคิ้ว เล็กน้อยเท่านั้น
“ผู้อาวุโสสูงสุดเสวียนเฮ่อ ดูเหมือนท่านจะมีธุระเร่งด่วน เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน แต่อย่าลืมสิ่งที่ท่านรับปากเอาไว้… พรุ่งนี้ค่อยมาพูดคุยกันใหม่”
หมีซาชุดคลุมสีแดงเลือดลุกขึ้นพลางเอ่ยปากกับหนานกงเสวียนเฮ่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ พอพูดจบก็หมุนตัวออกจากห้องไปพร้อมสหายอีกคน ขณะเดินออกไปมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลาง ปรายตามองหนานกงเสวียนเฮ่อที่กำลังเดือดดาลอีกครั้ง เขาหัวเราะเล็กน้อยในลำคอก่อนจะสาวเท้าจากไป
….
วันต่อมา ร้านอาหารหมอกเมฆา
ท้องฟ้าสว่างอย่างรวดเร็ว ลำแสงของดวงอาทิตย์ส่องลงมาตามรอยแตกบนผนังร้าน สาดลงบนร่างของหนานกงอู๋เชวียที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเขากระตุกไปมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ชายหนุ่มเปิดตาขึ้นช้าๆ ทัศนวิสัยตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในสายตา
“ข้าอยู่ที่ไหน ข้ายังไม่ตายหรือนี่”
เขาพลันรู้สึกปวดแปล๊บที่สะโพก จนอดอ้าปากโกยอากาศเย็นๆ เข้าปอดไม่ได้ การโจมตีของสุนัขเฒ่าหนานกงเสวียนอิงรุนแรงไร้ความปรานีไม่น้อย
คนผู้นั้นเตะเขาที่เอวเข้าเต็มรัก ดูเหมือนตั้งใจจะเอาชีวิตกันชัดๆ
“หืม ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่”
บรรยากาศรอบๆ ตัวเด่นชัดขึ้นมาในลานสายตาของชายหนุ่ม เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงด้วยความสับสน
เขาอยู่ในห้องส่วนตัวที่สะอาดเรียบร้อยของสตรี ในห้องยังมีกลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวหลงเหลืออยู่จางๆ
หนานกงอู๋เชวียลุกขึ้นแล้วก็ต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง บาดแผลบนตัวของเขาหายดีเกือบหมดแล้ว ทว่าชายหนุ่มก็ยังหยิบโอสถทิพย์จากกระเป๋าคลังเก็บมายัดเข้าปาก
เขาโคจรพลังปราณเที่ยงแท้ของตัวเองเงียบๆ แล้วเริ่มย่อยโอสถทิพย์ จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาสำรวจสิ่งรอบตัวอย่างจริงจัง
ใบหน้าของหนานกงอู๋เชวียเคร่งขรึมจริงจังเป็นอย่างมาก
นี่คือห้องของสตรีไม่ผิดแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากผ้าสีชมพูที่ประดับประดาไปทั่วห้อง รวมทั้งกลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ หนานกงอู๋เชวียเดาได้ไม่ยากเลยว่าห้องห้องนี้ต้องเป็นของสตรีรูปโฉมงดงามและฉลาด ดเฉลียวแน่นอน
แต่เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าห้องห้องนี้จะเป็นของใครได้
เขาจำได้แน่ชัดว่าตอนที่หมดสติไปตนเองอยู่นอกร้านของเถ้าแก่ปู้
หรือว่า… นี่จะเป็นห้องของคนผู้นั้น
เฮือก! เฮือก!
หนานกงอู๋เชวียสูดหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
หรือเถ้าแก่ปู้จะเป็นพวกกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง หนานกงอู๋เชวียตระหนักขึ้นมาทันทีทันใดว่าคนเรานั้นตัดสินกันจากภายนอกไม่ได้จริงๆ
ภาพของเถ้าแก่ปู้ทำหน้านิ่งนั่งอยู่บนเตียงสีชมพูปรากฏขึ้นในสมองของหนานกงอู๋เชวีย
ฉากแปลกประหลาดโผล่ขึ้นมาในห้วงความคิด บรรยากาศพิกลๆ ทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ขณะที่จินตนาการในหัวกำลังเตลิดเปิดเปิงไปไกล ประตูห้องก็เปิดออก
ร่างหนึ่งเดินเข้ามาในห้องช้าๆ… เป็นปู้ฟางนั่นเอง ตอนนี้ในใจของหนานกงอู๋เชวียมองปู้ฟางไม่เหมือนเดิมไปเสียแล้ว
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” ปู้ฟางถามเสียงนิ่ง
ดวงตาของหนานกงอู๋เชวียเบิกกว้าง พลางพยักหน้ารัวๆ ให้ปู้ฟาง
ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้ปู้ฟางงุนงงไม่น้อย เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติกับหนานกงอู๋เชวีย หรือสมองของคนผู้นี้จะกระทบกระเทือนอย่างหนักตอนถูกหนานกงเสวียนอิงเตะเข้าที่เอว ว หรือว่าจะเสียสติไปเสียแล้ว
แต่ปู้ฟางก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดที่ผิดทางอยู่นั่นเอง…
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็รีบลงไปข้างล่าง… ข้ามีบางเรื่องจะคุยกับเจ้า” ปู้ฟางเอ่ยขึ้นขณะที่ดวงตายังจับจ้องไปยังหนานกงอู๋เชวีย
พอพูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวออกจากห้องไป
หนานกงอู๋เชวียซึ่งซุกตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องถอนหายใจออกมาเหยียดยาวเมื่อเห็นว่าปู้ฟางออกไปแล้ว เขารู้สึกหายใจหายคอไม่ออก คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเถ้าแก่ปู้จะมีความชอบเช่นนี้
ชายหนุ่มมองหาน้ำแล้วเอามาล้างหน้าล้างตัว หลังจากทำธุระเสร็จ เขาก็ออกมาจากห้องทั้งที่ท่อนบนยังเปลือยเปล่า ชายหนุ่มรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยเพราะไม่ได้สำรองเสื้อผ้าไว้ในกระเป๋ าคลังเก็บเลยสักตัว
ทว่าทันทีที่เดินออกมา ปู้ฟางก็โยนเสื้อผ้าชุดหนึ่งมาให้
ชุดนี้ค่อนข้างหลวม พอเขาสวมเสร็จ หน้าอกเปลือยเปล่านวลเนียนขาวผ่องบางส่วนก็ปรากฏสู่สายตาของปู้ฟาง
หนานกงอู๋เชวียกลั้นหายใจพลางมองปู้ฟางด้วยสายตาระแวง เขาระวังระไวและตื่นตัวสุดขีด
ปู้ฟางทำหน้าพิกล รู้สึกว่าสายตาของหนานกงอู๋เชวียนั้นค่อนข้างพิลึก
“มีอะไร” ปู้ฟางถามเสียงเรียบ
“มะ…ไม่มี” หนานกงอู๋เชวียเหยียดคอตรงทันทีที่เอ่ยตอบปู้ฟาง ดวงตายังคงเบิกกว้างขณะจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย
“ถ้าไม่มีเช่นนั้นก็ลงไปข้างล่างเถอะ” ปู้ฟางไม่คิดใส่ใจหนานกงอู๋เชวียอีก เขาเมินอีกฝ่ายแล้วเดินลงไปที่ครัว
ร่างของพ่อครัวหนุ่มหายแวบไปอย่างรวดเร็ว
หนานกงอู๋เชวียสูดหายใจเข้าลึก เขายังคงอยู่ในชุดที่ปู้ฟางโยนให้ เผยหน้าอกหน้าใจให้ชาวโลกได้เห็นขณะเดินลงไปข้างล่าง
ทันทีที่มาถึงชั้นล่าง กลิ่นหอมก็พวยพุ่งออกมาจากในครัว
กลิ่นหอมที่ลอยออกมานี้เข้มข้นมาก ฉับพลันที่มันเข้าสู่นาสิกประสาทของชายหนุ่ม หัวใจของเขาก็กระตุก นี่มันกลิ่นหอมของพระกระโดดกำแพงมิใช่หรือ
อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด เมื่อหนานกงอู๋เชวียเดินมาถึงห้องอาหาร เขาก็เห็นชามพระกระโดดกำแพงวางอยู่บนโต๊ะ
“กินสิ พระกระโดดกำแพงจะทำให้เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น บาดแผลต่างๆ จะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าต้องจ่ายค่าพระกระโดดกำแพงชามนี้มา” ปู้ฟางกล่าว
หนานกงอู๋เชวียรีบพยักหน้าแล้วเดินมาที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งลงตักพระกระโดดกำแพงในชามกินคำใหญ่
กลิ่นหอมยังคงอบอวลอยู่ในร้าน หนานกงอู๋เชวียซดน้ำพระกระโดดกำแพงหมดในคราวเดียว น้ำแกงหยดลงมาจากมุมปากด้านหนึ่ง
ปู้ฟางดึงเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ หนานกงอู๋เชวีย พลางทอดสายตาไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย
สายตานั้น…
ร่างของหนานกงอู๋เชวียแข็งทื่อ เขารีบหันศีรษะมามองปู้ฟาง สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ดวงตาระแวดระวังถึงขีดสุด
“เถ้าแก่ปู้… ทำไมเจ้ามองข้าเช่นนี้”
หนานกงอู๋เชวียกลืนปีกไก่ในปากพลางเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ตระกูลหนานกงของเจ้าได้สิทธิ์ในการเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับใช่หรือไม่”
ปู้ฟางเอ่ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง
หนานกงอู๋เชวียผงะไปเมื่อได้ยินคำถามของปู้ฟาง เขาไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้ มันช่างห่างไกลจากสิ่งที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
“ก็ได้จริงๆ นั่นละ… ตระกูลหนานกงเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่และมีหน้ามีตาในเมืองหมอกนภา เราเป็นผู้ควบคุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไปยังอาณาจักรเร้นลับ แน่นอนว่าเราย่อมได้สิทธิ์ในก การเข้าถึงอาณาจักรเร้นลับ แต่ก็ได้เพียงสองสิทธิ์เท่านั้น และมันก็เป็นของประมุขตระกูล เขาเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์จัดสรรสิทธิ์เหล่านั้น” หนานกงอู๋เชวียทอดถอนใจพลางเอ่ยตอบปู้ฟา าง
ความรู้สึกเศร้าเสียใจเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจของชายหนุ่มยามที่เขาพูดถึงตระกูลหนานกง
“ข้าต้องการเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับ” ปู้ฟางเอ่ยอย่างจริงใจ
แค่ก!
หนานกงอู๋เชวียที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความเศร้าโศกแทบจะพ่นปีกไก่ออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของปู้ฟาง
“เถ้าแก่ปู้… อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลย ขั้นปราณของเจ้าอ่อนแอเกินไป” หนานกงอู๋เชวียอึ้งไป ก่อนจะรีบเอ่ยแนะปู้ฟาง
คนที่สามารถเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับได้อย่างน้อยต้องมีปราณขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ต้องเป็นยอดฝีมือที่ทลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้แล้วหนึ่งชิ้น
ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามอย่างปู้ฟางไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับ ด้วยขั้นปราณดังกล่าว ปู้ฟางจะบรรลุเป้าหมายอะไรได้ต่อให้ได้เข้าไปในนั้นก็เถอะ
“เจ้าเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกงมิใช่หรือ ในเมื่อตระกูลเจ้าได้สิทธิ์มาสองสิทธิ์ เช่นนั้นเจ้าก็พาข้าเข้าไปสิ” ปู้ฟางกล่าว
หนานกงอู๋เชวียตักน้ำแกงเข้าปากช้อนหนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว พลางส่ายศีรษะอย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ข้าทำให้ไม่ได้ ข้าไม่ยอมให้เจ้าเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งแน่ ในเมื่อเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ไอ้สุนัขหนานกงเสวียนเฮ่อนั่นอาจจะปักใจแค้นเจ้า หากเจ้าเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับกั บข้า… ไอ้สุนัขแก่นั่นต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ อีกอย่างขั้นปราณของเจ้านั้นก็อ่อนแอไปจริงๆ”
ปู้ฟางขมวดคิ้วน้อยๆ เขาประหลาดใจไม่น้อยที่หนานกงอู๋เชวียยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งที่จะพาตนเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับ
หากไม่ใช่เพราะระบบออกภารกิจฉุกเฉินมา ปู้ฟางเองก็ไม่คิดอยากเยี่ยมกรายเข้าไปที่นั่นเช่นกัน
ด้วยนิสัยเกียจคร้านสันหลังยาว ปู้ฟางพึงใจที่จะลากเก้าอี้ออกไปนั่งอาบแดดใต้แสงดวงอาทิตย์มากกว่า ฟังดูเข้าท่ากว่าต้องเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับอะไรนั่นเยอะ
“ภารกิจฉุกเฉิน: เข้าไปในอาณาจักรเร้นลับทะเลเมฆาเพื่อนำวัตถุดิบในการทำพระกระโดดกำแพงระดับอรหันต์ ซึ่งก็คือสมุนไพรพลังปราณ หญ้ามังกรเปลี่ยนกระดูกออกมา รางวัลของภารกิจ อัตรา การแปลงหน่วยพลังปราณร้อยละยี่สิบ
เมื่อวานระบบให้ภารกิจนี้มาทันทีที่ปู้ฟางโยนหนานกงอู๋เชวียเข้าไปในห้องของหยางเหมยจี๋
“มีการกำหนดขั้นปราณในการเข้าอาณาจักรเร้นลับด้วยหรือ” ปู้ฟางขมวดคิ้ว
“แน่นอนว่าไม่มีอะไรเช่นนั้น แต่ข้าเกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายกับเจ้าตอนเข้าไปที่นั่นเท่านั้น” ตอนนี้หนานกงอู๋เชวียสงบจิตสงบใจได้แล้ว ชายหนุ่มตอบอีกฝ่ายอย่างอับจนหนทาง
เขาต้องเข้าไปในอาณาจักรเร้นลับแน่ แต่ไม่ได้คิดจะพาเถ้าแก่ปู้ไปด้วย
หลังจากที่บาดแผลของเขาหายสนิทแล้ว เขาจะไปชิงสิทธิ์ที่เป็นของตนคืนมา
ในเมื่อตอนนี้ผู้นำตระกูลหนานกงสิ้นชีพแล้ว ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลหนานกง สิทธิ์ในการเข้าสู่อาณาจักรเร้นลับต้องตกอยู่ในมือของเขา
สิ่งเหล่านั้นเป็นของเขามาตั้งแต่แรก
“เช่นนั้นถ้าข้าแข็งแกร่งพอทุกอย่างก็จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ปู้ฟางมองหนานกงอู๋เชวียด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ผู้ที่ถูกมองรู้สึกหวาดกลัวสายตานั้นขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า มุมปากของปู้ฟางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“จ่ายค่าพระกระโดดกำแพงมา” ปู้ฟางลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับหนานกงอู๋เชวีย
หนานกงอู๋เชวียอึ้งไป นี่เถ้าแก่ปู้คิดจะมีเรื่องกันหรืออย่างไร เขายังกินไม่หมดเลยด้วยซ้ำ…
ทว่าหนานกงอู๋เชวียก็ไม่ได้ใส่ใจกับข้อเรียกร้องของปู้ฟาง ถึงแม้ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแทบจะไม่เหลืออะไร แต่ก็มีผลึกถมถืดเลยทีเดียว สิ่งที่เขาเอาติดตัวมาด้วยก็คือผลึก เขาพก กผลึกไว้เพียบเพื่อที่จะมากินอาหารของปู้ฟาง ดังนั้นจึงสามารถจ่ายค่าพระกระโดดกำแพงหนึ่งหมื่นผลึกให้อีกฝ่ายได้สบายๆ
ทันทีที่ปู้ฟางรับหนึ่งหมื่นผลึกมา เสียงของระบบก็ดังก้องขึ้นในหัว
“ยินดีด้วย ยอดขายของนายท่านถึงจุดที่กำหนดแล้ว ระบบจะทำการยกระดับทันที”