ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 448 เถ้าแก่ปู้บรรลุขั้นเซียนเทพ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 448 เถ้าแก่ปู้บรรลุขั้นเซียนเทพ
นายท่าน : ปู้ฟาง
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับเก้า
พรสวรรค์การทำอาหาร: สี่ดาว
ทักษะ: ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับสอง (100/100) ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ระดับสอง (100/100) วงแหวนปราณอาหารเลิศรส (1/6)
อุปกรณ์: มีดทำครัวกระดูกมังกรทอง (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ) กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: พ่อครัวระดับกลาง (ศาสตร์การทำอาหารของท่านพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว และทักษะของท่านก็ซับซ้อนประณีตยิ่งขึ้น โลกแห่งการครัวที่แสนกว้างใหญ่ได้เปิดออกต่อหน้าท่าน และท่านสามารถเริ่มทำอาหารวิเศษได้)
ระดับของระบบ: เก้าดาว (อัตราการแปลงหน่วยร้อยเต็ม)
รางวัลของระบบ : ทักษะการใช้มีด มีดสิบสามมหากาฬ
อาหารวิเศษ : เนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่า
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ ปู้ฟางก็รีบเปิดหน้าจอระบบขึ้นอ่านโดยไม่รู้ตัว เขาตรวจดูข้อมูลต่างๆ แล้วรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างได้รางๆ ทันทีที่พลังปราณเหล่านั้นเข้ามา มันก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณเที่ยงแท้หนาแน่นแล้วตรงสู่แก่นพลังปราณของเขาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้พลังปราณซึ่งถูกแปลงมาที่ชายหนุ่มได้รับมีขนาดมหาศาล ปู้ฟางอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังไร้เทียมทานที่หลั่งไหลเข้ามาในแก่นพลังปราณของตน ความผันผวนของพลังปราณที่พุ่งเข้ามาในแก่นพลังปราณทำให้พลังปราณที่อยู่ด้านในโคจรเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนดูราวกับมีจุดแสงมากมายส่องสว่างเจิดจ้าออกมาจากแก่นพลังปราณของเขา
ระดับเก้าขั้นเซียนเทพ…
ปู้ฟางถอนหายใจอยู่ภายใน เมื่อหนานกงอู๋เชวียจ่ายเงินค่าพระกระโดดกำแพง จำนวนเงินที่เขาได้ก็ถึงจุดที่ระบบกำหนดไว้ ทำให้เขาพัฒนาขั้นปราณขึ้นมาอีกขั้นในที่สุด
เมื่อขั้นปราณของเขาบรรลุระดับเก้า ระบบเองก็พัฒนาขึ้นเป็นเก้าดาวด้วย
ที่ผ่านมาเขามองว่าขั้นเซียนเทพเป็นตัวตนที่สูงส่งและยากที่จะเอื้อมถึง ทว่าตอนนี้เขาบรรลุเป็นหนึ่งในยอดฝีมือขั้นเซียนเทพแล้ว แม้ปกติปู้ฟางจะมีนิสัยนิ่งสงบจิตใจแน่วแน่ แต่ครั้งนี้เขาก็อดตื่นเต้นน้อยๆ ไม่ได้
หนำซ้ำดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะได้รับทักษะใหม่เพิ่มด้วย
มีดสิบสามมหากาฬ… ฟังจากชื่อแล้วดูเหมือนว่าทักษะนี้เหนือชั้นอย่างยิ่งยวด
ปู้ฟางตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เรียนรู้ทักษะนี้ เพราะมันเป็นทักษะการใช้มีด ทักษะการใช้มีดของเขาที่ชะงักงันมาเนิ่นนานในที่สุดก็ได้ไปต่อเสียที
ปู้ฟางฝึกฝนทักษะการใช้มีดฝนดาวตกมาจนถึงระดับสูงสุดแล้ว เป็นเรื่องที่ยากที่เขาจะก้าวหน้าในทักษะนี้ขึ้นอีก แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ปู้ฟางรู้สึกเห่ออยู่ในใจไม่น้อยเมื่อได้เห็นชื่อทักษะมีดสิบสามมหากาฬปรากฏขึ้น
“มีดสิบสามมหากาฬเป็นทักษะการใช้มีดระดับสูงที่นำไปใช้ในการต่อสู้ได้ ทักษะนี้มีอยู่ด้วยกันสิบสามกระบวนท่า แต่ละกระบวนท่าสามารถเรียกใช้พร้อมกระบวนท่าอื่นๆ พลังของแต่ละกระบวนท่าจะไปเพิ่มความรุนแรงให้กับอีกกระบวนท่าหนึ่ง และหากใช้ทั้งสิบสามกระบวนท่าพร้อมกัน พลังของมันสามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้ หากต้องการศึกษาทักษะนี้ ก่อนอื่นนายท่านต้องฝึกฝนความน่ายำเกรงเสียก่อน”
เสียงเคร่งขรึมและจริงจังของระบบดังก้องอยู่ในหูของปู้ฟาง
ปู้ฟางหรี่ตาแล้วเริ่มได้ความคิดบางอย่าง ทักษะมีดสิบสามมหากาฬไม่ได้เป็นเพียงทักษะการใช้มีดธรรมดา เมื่อขั้นปราณของปู้ฟางพัฒนาขึ้น เขาย่อมต้องต่อสู้กับอสูรเวทที่แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน การที่จะได้วัตถุดิบชั้นดีมาครอง ปู้ฟางต้องคว่ำอสูรเวทที่ทรงพลังให้ได้ และอสูรเวทระดับสูงบางตัวก็ไม่ได้ศิโรราบให้กับพลังรัศมีของมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง
หากปู้ฟางต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทที่พลังปราณแข็งกล้าสุดขั้ว การใช้ทักษะมีดสิบสามมหากาฬน่าจะช่วยให้อะไรๆ ง่ายขึ้น หากใช้ทักษะนี้กับมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง เขาย่อมได้วัตถุดิบมาไว้ในครอบครองอย่างไม่ยากเย็นนัก
ชายหนุ่มหรี่ตามองภาพที่เกี่ยวข้องกับทักษะมีดสิบสามมหากาฬซึ่งระบบส่งเข้ามาในสมองของเขา
หนานกงอู๋เชวียสวมชุดใหญ่กว่าตัวจนเผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจ ผิวละเอียดเนียนของชายหนุ่มโผล่ออกมาเย้ยฟ้าท้าดินขณะปากกำลังนั่งเคี้ยวกระดูกไก่ส่วนตาก็ชำเลืองมองปู้ฟาง เขาพลันรู้สึกว่าพลังรัศมีที่เปล่งออกมาจากร่างของพ่อครัวหนุ่มตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปมหาศาล ทั้งยังเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ทำให้ตระหนักได้ว่าตนเองยังไม่รู้จักชายผู้นี้ดีเท่าใดนัก
จากพลังรัศมีที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างของปู้ฟางทำให้หนานกงอู๋เชวียรู้ได้ทันทีว่า ตอนนี้ขั้นปราณของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ระดับเก้าขั้นเซียนเทพหรือ
เป็นไปได้หรืออย่างไรที่ปุบปับบรรลุขั้นเซียนเทพในชั่วพริบตา
คนเราเดี๋ยวนี้บรรลุขั้นเซียนเทพได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
นี่เจ้าคิดจะปั่นประสาทข้าเล่นหรืออย่างไร
หนานกงอู๋เชวียรู้สึกเหมือนสมองตัวเองหยุดทำงานไปเสียอย่างนั้น เขาเพิ่งบอกปู้ฟางไปเองว่าขั้นปราณของชายหนุ่มยังไม่แข็งแกร่งพอ แล้วจู่ๆ หมอนี่ก็มาบรรลุปราณขั้นเซียนเทพใส่หน้ากันทันตาเห็น
อีกเดี๋ยวจะทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้หนึ่งชิ้นรึเปล่า
แล้วอีกเดี๋ยวจะบรรลุเป็นขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เลยไหม
เคราะห์ดีที่เหตุการณ์พรรค์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับปู้ฟางอีกหลังจากเขาบรรลุปราณขั้นเซียนเทพ
แต่การบรรลุขั้นปราณของคนตรงหน้าก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของหนานกงอู๋เชวียเต้นอย่างบ้าระห่ำ
“ตอนนี้…ขั้นปราณของข้าคงเพียงพอที่จะเข้าไปในดินแดนเร้นลับแล้วนะ”
ปู้ฟางค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้าๆ แล้วจ้องมองหนานกงอู๋เชวีย รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าขณะเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
หนานกงอู๋เชวียไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าปู้ฟางจะบรรลุระดับเก้าขั้นเซียนเทพกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ เขาถุยกระดูกออกจากปาก พลางจ้องหน้าปู้ฟางราวกับเห็นตัวประหลาด ชายหนุ่มเดาะลิ้นไม่หยุดเพราะรู้สึกอัศจรรย์ใจสุดๆ กับสิ่งที่ปู้ฟางเพิ่งทำลงไป
หนานกงอู๋เชวียเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าที่ผ่านมาปู้ฟางผนึกขั้นปราณของตนเองเอาไว้เพื่อที่จะปั่นหัวกันเล่นหรือเปล่า
แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว หนานกงอู๋เชวียก็ลงความเห็นว่าปู้ฟางไม่น่าจะเบื่อหน่ายถึงขั้นที่ต้องทำอะไรพรรค์นั้นเพื่อสร้างความเพลิดเพลินใจให้ชีวิตตนเอง
“ระดับเก้าชั้นเซียนเทพรึ แค่ระดับเก้าขั้นเซียนเทพจะไปพอได้อย่างไร หากเจ้าต้องการเข้าไปในดินแดนเร้นลับ พลังปราณของเจ้าต้องอยู่ในจุดที่ใกล้จะทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้หนึ่งชิ้น แค่เพิ่งบรรลุปราณขั้นเซียนเทพไม่พอที่จะเข้าไปในดินแดนเร้นลับหรอก หากเจ้าไปเจอผู้ฝึกตนขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในนั้นเข้า มีหวังได้ตายหยังเขียด” หนานกงอู๋เชวียเอ่ยแนะนำอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“เจ้านี่ชอบพูดพล่ามไปเรื่อยให้เสียเวลา… เจ้าแค่พาข้าเข้าไปก็พอแล้ว พอเข้าไปแล้วข้าจะอยู่หรือตาย ก็ให้สวรรค์บัญชาแล้วกัน” ปู้ฟางขมวดคิ้วพลางพูดออกมา
“เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก... สหายปู้ ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าเจ็บตัว ดังนั้นข้าจึง…”
หนานกงอู๋เชวียตั้งใจจะพูดเกลี้ยกล่อมปู้ฟางไม่ให้เข้าไปในดินแดนเร้นลับ ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วร่าง
หนานกงอู๋เชวียหันมองปู้ฟางที่กำลังลูบหัวเจ้ากุ้งสีทองซึ่งนั่งอยู่บนไหล่ของเขา ทันใดนั้นเจ้ากุ้งก็ชูก้ามทั้งสองแล้วพุ่งเข้าใส่หนานกงอู๋เชวียทันที รัศมีเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากก้ามพุ่งเป้ามาที่ชายหนุ่มผมแดง
เจ้ากุ้งกลอกตาปูดโปนของมันขณะควงก้ามใส่หนานกงอู๋เชวีย ราวกับกำลังขู่ขวัญอีกฝ่ายอยู่
“อย่าล้อกันเล่นน่า…”
หนานกงอู๋เชวียโบกไม้โบกมือใส่ปู้ฟางเป็นนัยว่าไม่เล่นด้วย เขายิ้มแหยออกมาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังแหย่กันเล่น
ทว่าปู้ฟางไม่ได้ยิ้มตอบ ส่วนเจ้ากุ้งนั้นยิ้มไม่ได้ และมันเอาแต่จ้องหนานกงอู๋เชวียไม่วางตา
“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าหนานกงเสวียนอิงตายอย่างไร ข้าจะบอกให้ว่าหมอนั่นถูกเจ้าตัวจิ๋วนี่สังหาร” น้ำเสียงของปู้ฟางเย็นชาขณะเปิดเผยสาเหตุการตายของหนานกงเสวียนอิงให้อีกฝ่ายได้รู้
หือ?
‘ไอ้ตัวจิ๋วนี่น่ะนะสังหารหนานกงเสวียนอิง สหายปู้นี่มีมุกตลกกับเขาเหมือนกันแฮะ… ตัวจิ๋วขนาดนี้… ข้าตบตายทีเดียวสิบตัวยังได้เลย’
หนานกงอู๋เชวียยกยิ้มมุมปาก พลางจ้องมองเจ้ากุ้งไม่วางตา เสียงหัวเราะแปลกประหลาดหลุดออกมาจากริมฝีปาก
เหมือนเจ้ากุ้งจะสัมผัสได้ว่าหนานกงอู๋เชวียกำลังล้อเลียนมันอยู่ ขนบนตัวของมันจึงตั้งชันพลางควงก้ามใส่ชายหนุ่มผมแดงไม่หยุด เสียงคลื่นเสียงระเบิดติดๆ กันดังก้องในโสตประสาทของทุกคน
ก้ามของเจ้ากุ้งพุ่งผ่านจมูกของหนานกงอู๋เชวียแล้วตัดผมม้าของเขาออกมากระจุกหนึ่ง
นัยน์ตาดำของหนานกงอู๋เชวียหดแคบทันที ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นปราดไปทั่วสันหลัง
ความเร็วของเจ้าจิ๋วนี่รวดเร็วยิ่งนัก เขามองแทบไม่ทันตอนที่เจ้ากุ้งพุ่งเข้ามาโจมตี
“ข้าจริงจังนะ ข้าจะช่วยให้เจ้าฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ส่วนเจ้าก็ต้องพาข้าเข้าไปในดินแดนเร้นลับ” ปู้ฟางพูดจริงที่บอกว่าจะให้หนานกงอู๋เชวียพาเข้าไปในดินแดนเร้นลับด้วย
ตอนนี้ชายหนุ่มผมแดงตระหนักแล้วว่าปู้ฟางจริงจัง เขาขมวดคิ้วแน่น รอยยิ้มขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“พูดตามตรงเลยนะ มันไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากพาเจ้าเข้าไปในดินแดนเร้นลับ เจ้าเองก็รู้เรื่องแล้วนี่ สถานะของข้าในตระกูลตอนนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมามาก ข้ารับประกันไม่ได้ว่าจะพาเจ้าเข้าไปในนั้นได้” หนานกงอู๋เชวียเปิดเผยทุกสิ่งกับปู้ฟางอย่างตรงไปตรงมา
เขาไม่มีสิ่งใดที่รับประกันได้ว่าจะพาปู้ฟางเข้าไปในดินแดนเร้นลับได้ แต่เขาก็จะพยายามดู นั่นเพราะอะไรก็ตามที่เป็นของเขา เขาจะไปชิงคืนมาให้ได้
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่ พยายามให้หนักขึ้นละ” ปู้ฟางยกมือขึ้นกำหมัดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกจากนั้นก็เอามือลง
หนานกงอู๋เชวียอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
เมื่อปู้ฟางมั่นใจแล้วว่าหนานกงอู๋เชวียจะพาตนเข้าไปในดินแดนเร้นลับแน่ๆ เขาก็หมุนตัวออกไปเปิดร้านและเริ่มการค้าขายสำหรับวันนี้
…
ณ ใจกลางเมืองหมอกนภา ผู้คนมากมายมารวมตัวกันที่ลานจัตุรัสหมอกนภา พวกเขาส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจด้วยความตื่นเต้น ดูเหมือนว่าที่นั่งที่เรียงรายอยู่รอบๆ ลานจัตุรัสจะไม่เหลือเลยสักที่ ทุกที่ล้วนมีคนจับจองไปหมดแล้ว
ใบหน้าของทุกคนล้วนปรากฏอาการตื่นเต้นขณะจ้องมองวงแหวนปราณขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางลาน เงาร่างของคนจำนวนไม่น้อยกะพริบวาบอยู่ในวงแหวนปราณ กระแสพลังปราณเที่ยงแท้ที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากตรงกลางวงแหวนปราณ
เหล่าสำนักต่างๆ ต่างกำลังประชันขันแข่งกันเพื่อชิงสิทธิ์ที่จะเข้าไปยังดินแดนเร้นลับ และตอนนี้การแข่งขันก็ดำเนินมาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดแล้ว
ตระกูลหลิน ตระกูลจางและตระกูลหนานกงเป็นสามตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหมอกนภา แม้แต่เจ้าเมืองเองก็ยังไม่กล้าดูหมิ่นตระกูลทั้งสามพร้อมๆ กัน
ทั้งสามตระกูลหยั่งรากลึกภายในเมืองหมอกนภามานาน รากฐานของพวกเขามั่นคงแน่นหนายิ่งนัก
หนานกงเสวียนเฮ่อที่ใบหน้าขมึงทึงนั่งอยู่บนที่นั่งยกสูง หนานกงอู๋เชวียถูกเขาขับไล่ออกจากตระกูล และประมุขตระกูลคนก่อนก็สิ้นชีพไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงขึ้นเป็นประมุขตระกูลหนานกงคนปัจจุบัน
การที่สีหน้าของเขาขมึงทึงมีสองเหตุผลด้วยกัน หนึ่งคือการตายของหนานกงเสวียนอิง และสองคือศิษย์ของตระกูลหนานกงยังเอาชนะไม่ได้เลยสักนัดเดียว
ช่างเป็นการเสียเกียรติอะไรเช่นนี้
เคราะห์ดีที่ตระกูลหนานกงของเขายังมีสิทธิ์อยู่สองที่ หาไม่แล้วหากเขาต้องพึ่งพาศิษย์เหล่านี้ในการแย่งชิงสิทธิ์เพื่อเข้าสู่ดินแดนเร้นลับ เช่นนั้นคงจะซวยไปตามๆ กันแน่ พวกเขาอาจคว้าสิทธิ์มาไม่ได้แม้แต่ที่เดียว
“นายท่านจากเมืองโบราณอสุรา ข้าคงต้องยกหน้าที่การต่อสู้ที่เหลือให้ท่านเสียแล้ว
“ยังมีสิทธิ์เหลืออีกห้าที่และเราต้องได้มันมาทั้งหมด” หนานกงเสวียนเฮ่อถอนหายใจเหยียดยาวก่อนจะหันหน้าไปมองยอดฝีมือสองคนในชุดคลุมสีเลือด พวกเขานั่งห่างจากชายชราไม่น้อย
“เรื่องนั้นง่ายดายมาก แต่อย่าลืมว่าท่านต้องให้สิทธิ์สองสิทธิ์ที่ตระกูลท่านครอบครองอยู่กับเรา ส่วนอีกห้าสิทธิ์ที่เหลือเราจะไปชิงมันมาให้ท่าน”
หมีซาในชุดคลุมสีเลือดมีรูปร่างหน้าตาน่าพรั่นพรึงไม่น้อย เขายกยิ้มขณะเอ่ยปากกับหนานกงเสวียนเฮ่อ ริมฝีปากบานเบอะสีแดงก่ำราวกับเพิ่งดื่มเลือดมายกขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดหนานกงเสวียนเฮ่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เสียที ชายชราผ่อนคลายขึ้นหลังได้ยินคำมั่นจากหมีซา
หากยอดฝีมือทั้งสองไม่คิดลงมือ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลหนานกงจะชิงสิทธิ์ห้าสิทธิ์ที่เหลือมาได้แม้เพียงสิทธิ์เดียว
ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะมีสิทธิ์แค่สองสิทธิ์ที่ได้มาก่อนหน้านี้ และสถานการณ์เช่นนี้ก็ค่อนข้างน่าอับอายทีเดียว
ทว่าด้วยความช่วยเหลือจากยอดฝีมือของเมืองโบราณอสุรา พวกเขาจะได้สิทธิ์มาทั้งหมดเจ็ดสิทธิ์ ไม่มีใครเสียประโยชน์จากการตกลงกันในครั้งนี้
และทันทีที่พวกเขาได้เข้าไปในดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา พวกเขาก็จะรีบทำตามแผนที่วางไว้ พวกเขาได้ข้อมูลลับเกี่ยวกับดินแดนเร้นลับทะเลเมฆามาก่อนหน้านี้แล้ว หากทำตามแผนได้สำเร็จ ชื่อเสียงของตระกูลหนานกงก็จะทะยานขึ้นตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว
การเดินทางไปยังดินแดนเร้นลับในครั้งนี้จะแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ในจุดที่ไกลออกไป สมาชิกของหอโอสถกำลังรุดหน้าเข้ามาเรื่อยๆ
หยางเหมยจี๋ผู้มีร่างกายใหญ่โตเต็มไปด้วยมัดกล้ามเดินตามหลังชายชราหลังค่อมมา เมื่อเห็นชายชราผู้นี้ ทุกคนก็ล้วนมีท่าทีเคารพนบนอบ นั่นเพราะเขาคือผู้อาวุโสของหอโอสถแห่งเมืองหมอกนภา ปรมาจารย์เสวียนเปย นักเล่นแร่แปรธาตุไตรเมฆา
คนผู้นี้มีสถานะสูงส่งมากในเมืองหมอกเมฆา
ครั้งนี้ชายชราตัดสินใจจะเข้าไปในดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา มันเป็นครั้งแรกที่เขาจะเข้าไป
ไม่มีใครคัดค้านเรื่องนี้ อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็มีคุณงามความดีและเป็นที่เคารพนบนอบ เป็นเรื่องสมควรแล้วที่เขาจะได้รับสิทธิพิเศษนี้
อีกอย่างต่อให้มีบางคนคัดค้านกับการที่ปรมาจารย์เสวียนเปยจะเข้าไปในดินแดนเร้นลับ ก็เป็นเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น
สายลมพัดปะทะร่างของทุกคน
การต่อสู้ในลานประลองเข้มข้นและตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหล่ายอดฝีมือต่างสำแดงความเก่งกาจออกมามากขึ้น
คนสองคนเดินมายังทางเข้าลานจัตุรัสช้าๆ
หนานกงอู๋เชวียมองปู้ฟางอย่างเงียบงัน ตอนนี้ปู้ฟางกำลังเดินอยู่ข้างหลังเขา และเขาก็รู้สึกตงิดๆ ขึ้นมาในใจว่าต้องได้พบเจอเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะปู้ฟางแน่ๆ
สหายปู้ยังเดินตามหลังเขาดีอยู่
“สหายปู้ จากนี้ไปเจ้าต้องตามติดข้าอย่าให้ห่าง อย่าคิดก่อเรื่องวุ่นวายเชียว” หนานกงอู๋เชวียเอ่ยเตือนอีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ข้ารู้” ปู้ฟางพยักหน้าตกลง
หลังจากเห็นปู้ฟางพยักหน้าให้คำมั่น หนานกงอู๋เชวียก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดประตูสัมฤทธิ์เข้าไป
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังก้องไปทั่วบริเวณ สายลมพัดผ่านสถานที่แห่งนี้ไป นัยน์ตาของหนานกงอู๋เชวียเย็นชาอย่างยิ่งยวดมีบัญชีแค้นที่เขาจะต้องสะสางให้เรียบร้อย