ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 449 เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 449 เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน
“นั่นมันยอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุราไม่ใช่หรือ”
เซียวจ่างอวิ้นที่นั่งอยู่ท่ามกลางสมาชิกตระกูลหลินถามออกมาขณะมองไปยังยอดฝีมือในชุดคลุมสีเลือดที่กำลังเดินเข้าไปในลานต่อสู้ น้ำเสียงเจือความสงสัย
แทบทุกคนต่างรู้จักรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของยอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุรา พวกเขาล้วนสวมชุดคลุมสีเลือด ทั้งยังแผ่พลังรัศมีมุ่งร้ายออกมา
ยอดฝีมือจากสำนักหุ่นเชิดที่มีรูปลักษณ์น่าพรั่นพรึงในชุดคลุมสีดำปกปิดใบหน้าจนมองแทบไม่เห็นเครื่องหน้า ทอดดวงตาสีแดงซึ่งเปล่งรัศมีชวนขนลุกไปยังยอดฝีมือทั้งสองจากเมืองโบราณอสุราที่ยืดอยู่กลางลานประลอง
หมีซายกยิ้มมุมปากขึ้นมาจนมันดูโค้งเกินจริง เส้นผมสะบัดพลิ้วไปตามลมแรงที่พัดปะทะร่างของคนทั้งคู่จนทำให้ชุดของพวกเขาพัดกระพือไม่หยุด
“ใครอยากจะสู้กับพวกเราบ้าง” หมีซาเอ่ยท้าทาย
เสียงที่แหบห้าวเล็กน้อยของเขาสะท้อนก้องไปทั่วลานจัตุรัสหมอกเมฆา
“ให้ตายสิ! ไอ้ตระกูลหนานกงนั่นเชิญยอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุรามาเรอะ”
“ทำตัวไร้เหตุผลเสียจริงๆ!
ใบหน้าของสมาชิกตระกูลหลินและตระกูลจางถอดสี พวกเขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่ายอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุราจะมาปรากฏตัวระหว่างการชิงชัย ตอนแรกตระกูลหลินและตระกูลจางต่างมั่นอกมั่นใจว่าตนต้องเป็นผู้ชนะแน่ ทว่าเมื่อยอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุรามาปรากฏตัวเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่อาจแน่ใจได้อีกว่าตนเองจะชนะได้
ดูท่าว่าตระกูลหลินและตระกูลจางของพวกเขาจะไม่ได้ห้าสิทธิ์สุดท้ายเสียแล้ว…
แม้พวกเขาจะไม่ได้ห้าสิทธิ์สุดท้ายมาครองแต่ก็เป็นเรื่องที่ยังพอรับได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็ได้สิทธิ์มาจำนวนไม่น้อยแล้ว เพียงแต่พวกเขารู้สึกสมเพชตัวเองในใจว่าเมื่อแบ่งสิทธิ์ที่ได้มากับสำนักพลับพลาวายุและอสนีกับสำนักหุ่นเชิดแล้ว พวกเขาเองจะเหลือจริงๆ เพียงไม่กี่สิทธิ์
ตระกูลหนานกงมีสองสิทธิ์ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้ารวมทั้งหมดพวกเขาจะได้ไปเจ็ดสิทธิ์
ให้ตายเถอะ!
ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขายังปล่อยให้ตระกูลหนานกงชิงความได้เปรียบไปอีก
เหล่ายอดฝีมือของตระกูลหลินและตระกูลจางรับเรื่องนี้ไม่ได้ จึงทุบหมัดลงบนโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว
ยอดฝีมือของเมืองโบราณอสุราเดินออกจากลานประลองกลับไปยังที่นั่งในส่วนของตระกูลหนานกง เจ้าของสิทธิ์ที่เหลือถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่สิทธิ์ทั้งหมดถูกแบ่งสรรกันเรียบร้อย เจ้าเมืองหมอกนภาก็เดินลงมาตรงกลางลานประลอง แล้วประกาศผู้ที่ได้ครอบครองสิทธิ์ทั้งหลาย
ดินแดนเร้นลับทะเลเมฆาเป็นสินทรัพย์ที่ล้ำค่ายิ่งของเมืองหมอกนภา และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดสิทธิ์ในการเข้าถึงสถานที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญยิ่งยวด
ทุกคนในลานจัตุรัสพากันส่งเสียงอื้ออึงเมื่อเจ้าเมืองหมอกเมฆาประกาศรายนามของผู้ที่ได้รับสิทธิ์
ตึง ตึง
เสียงหนักแน่นของฝีเท้าสองเสียงดังก้องไปทั่วลานจัตุรัสหมอกเมฆา
เสียงนั้นไม่ได้ดังสนั่น แต่ทันทีที่ทุกคนได้ยินเสียงฝีเท้าดังกล่าว ลานจัตุรัสที่ก่อนหน้านี้ส่งเสียงจอแจก็เงียบกริบโดยพลัน ทั้งลานเงียบสงัดไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
สายตาของผู้คนในลานจัตุรัสมองไปยังร่างสองร่างที่เพิ่งก้าวเข้ามา
“หนานกงอู๋เชวีย”
“หือ… ลือกันว่าเขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกงนี่นา เหตุใดจู่ๆ จึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”
ทุกคนในลานจัตุรัสใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะสงบจิตสงบใจลงได้ อึดใจถัดมาเสียงอื้ออึงของผู้คนก็ดังก้องไปทั่วลาน พวกเขาต่างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทันทีที่เห็นหนานกงอู๋เชวียเดินตรงเข้ามา
ตระกูลหนานกงเพิ่งจะประกาศให้ภายนอกรับรู้ว่าหนานกงอู๋เชวียเสียชีวิตเพราะบาดเจ็บสาหัส และเมื่อผู้สืบทอดของตระกูลหนานกงสิ้นชีวิตลง สิทธิ์ตายตัวในการเข้าดินแดนเร้นลับที่เป็นของตระกูลหนานกงจึงตกอยู่ในมือของหนานกงเสวียนเฮ่อ ชายชราสามารถตัดสินใจได้ว่าจะจัดสรรสิทธิ์ทั้งสองสิทธิ์นี้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อหนานกงอู๋เชวีย ผู้สืบทอดตระกูลหนานกงมาปรากฏตัว อำนาจในการจัดสรรสิทธิ์จึงตกเป็นของชายหนุ่มผมแดงไม่ใช่หนานกงเสวียนเฮ่อ เพราะชายชราไม่ใช่ผู้สืบทอดตระกูลหนานกงตั้งแต่แรก
เสียงจ้อกแจ้กจอแจที่ดังขึ้นทั่วบริเวณไม่ได้ทำให้ปู้ฟางและหนานกงอู๋เชวียขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ปู้ฟางดูสงบนิ่งไม่แยแสสิ่งใด ขณะที่อารมณ์ของหนานกงอู๋เชวียนั้นตรงกันข้ามกับปู้ฟางอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังหนานกงเสวียนเฮ่อ จิตสังหารแผ่พล่านไปทั่วตัว
“ไอ้หมาแก่! เจ้าคงคิดไม่ถึงสิท่าว่าข้าจะโผล่มา ข้ามาที่นี่เพื่อชำระความแค้นกับเจ้า” หนานกงอู๋เชวียพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เสียงของเขาไม่ได้ถูกเสียงอื้ออึงรอบข้างกลบแต่อย่างใด มันพุ่งตรงไปถึงโสตประสาทของหนานกงเสวียนเฮ่อโดยตรง
ทุกคนในลานจัตุรัสมีสีหน้าประหลาดล้ำเมื่อมองไปยังชายชรา
สีหน้าของหนานกงเสวียนเฮ่อพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชายชรายืนขึ้นจากที่นั่ง ควบคุมพลังรัศมีของตัวเองพลางตำหนิหนานกงอู๋เชวียเสียงเย็น “สิทธิ์ของตระกูลหนานกงถูกจัดสรรเรียบร้อยแล้ว เรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูล ไว้กลับไปถึงคฤหาสน์แล้วค่อยมาว่ากันอีกที อย่าลบหลู่ข้าต่อหน้าคนอื่นเช่นนี้”
สิทธิ์ถูกจัดสรรเรียบร้อยแล้วหรือ
ทุกคนหัวเราะเย้ยหยันหนานกงเสวียนเฮ่ออยู่ในใจ พวกเขานับถือความหน้าหนาของชายชราผู้นี้จริงๆ… หนังหน้าคงจะหนายิ่งกว่ากระเบื้องเสียกระมัง
สายตานิ่งเรียบไร้ความรู้สึกของปู้ฟางกวาดผ่านไปทั่วลานจัตุรัส
หนานกงอู๋เชวียชี้นิ้วใส่หนานกงเสวียนเฮ่อ มุมปากยกขึ้นก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน มีคุณสมบัติอะไรถึงกล้าจัดสรรสิทธิ์ตายตัวสองสิทธิ์นี้”
หนานกงเสวียนเฮ่อมีคุณสมบัติอะไร สุนัขแก่ที่หักหลังตระกูลหนานกงผู้นี้มีคุณสมบัติอะไร
เรื่องภายในตระกูลรึ ใครจะลดตัวไปคุยเรื่องภายในตระกูลกับเจ้ากัน
“สารเลว…” หนานกงเสวียนเฮ่อโกรธเสียจนเครากระเพื่อมไม่หยุด เขาเบิกดวงตากว้างพลางส่งสายตาเคืองแค้นไปยังหนานกงอู๋เชวีย
ชายชรายื่นนิ้วมือที่สั่นเทาใส่ชายหนุ่มผมแดง
“อย่าคิดชี้นิ้วใส่ข้าเชียว วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อใช้เหตุผลกับเจ้า และไม่ได้มาเพื่อพูดคุยเรื่องภายในตระกูลกับเจ้าด้วย ข้ามาเพื่อเอาสิทธิ์สองสิทธิ์นั้น” หนานกงอู๋เชวียกล่าว
เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกง คนที่ต้องทำหน้าที่จัดสรรสิทธิ์ควรเป็นเขาไม่ใช่ใครอื่น
เขาไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถามเรื่องอำนาจในการจัดสรรสิทธิ์ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสุนัขแก่หนานกงเสวียนเฮ่อ
“ข้าจัดสรรสิทธิ์ทั้งสองสิทธิ์แทนเจ้าไปแล้ว…” หนานกงเสวียนเฮ่อกล่าว
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครไม่ทราบ ไสหัวไปเสีย! ข้าจะเป็นคนจัดสรรมันเอง… สิทธิ์ตายตัวของตระกูลหนานกงไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยให้พวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาแตะต้องได้” หนานกงอู๋เชวียเชิดหน้าขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของชายหนุ่มเย่อหยิ่งจองหองขณะเอ่ยคำกับหนานกงเสวียนเฮ่อ
“เจ้า…” หนานกงเสวียนเฮ่อเดือดดาลสุดขีด
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรออกไป สมาชิกตระกูลหลินและสมาชิกตระกูลจางก็ยืนขึ้นแล้วหัวเราะเยาะใส่ ฉากตรงหน้าทำให้พวกเขารู้สึกชวนหัวไม่น้อย และต่างยินดีปรีดาเล็กๆ ที่เห็นหนานกงอู๋เชวียตะคอกใส่หนานกงเสวียนเฮ่อ
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจิ้งจอกเฒ่าหนานกงเสวียนเฮ่อจะยังไม่ได้สังหารหนานกงอู๋เชวีย… แบบนี้มันจะต่างอะไรกับการขุดหลุมลึกแล้วกระโดดลงไปเอง หนำซ้ำยังกลบหลุมให้ตัวเองเสร็จสรรพ
สถานะที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องเช่นนี้ เขายังกล้าฝันจะขึ้นเป็นประมุขตระกูลหนานกงอีกหรือ
ช่างสมองทึบเสียจริง…
ไม่มีใครคิดละทิ้งโอกาสที่จะเหยียบซ้ำชายชรา
“หนานกงเสวียนเฮ่อ ในเมื่อคุณชายหนานกงยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจเรื่องสิทธิ์ตายตัวของตระกูลหนานกงไม่ได้” ประมุขตระกูลหลินกล่าว
ประมุขตระกูลจางเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยเช่นกันว่าหนานกงเสวียนเฮ่อไม่มีอำนาจในการจัดสรรสิทธิ์
หนานกงเสวียนเฮ่อโกรธมากเสียจนร่างทั้งร่างสั่นเทิ้ม แต่ก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย เขาคิดไปเองว่าในเมื่อน้องสองสิ้นชีพไป หนานกงอู๋เชวียที่ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อทำให้น้องสองบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิตก็ย่อมอาการร่อแร่ไม่ต่างกัน ไม่มีทางที่คนผู้นี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
เอาเข้าจริงความคิดของเขาก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด หนานกงอู๋เชวียบาดเจ็บหนักจากการประมือกับหนานกงเสวียนอิงจริงๆ แต่หนานกงเสวียนเฮ่อมองข้ามไปอย่างหนึ่ง นั่นคือความเร็วในการฟื้นฟูตนเองของหนานกงอู๋เชวีย
“ผู้อาวุโสเสวียนเฮ่อ นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านไม่ใช่คนที่อยู่ในตำแหน่งประมุขตระกูลหนานกงหรอกหรือ” หมีซาหรี่ตามองหนานกงเสวียนเฮ่อ น้ำเสียงที่พูดเย็นชาสุดขั้ว
“ข้า…”
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว อย่างไรเสียเราก็ต้องได้สิทธิ์สองสิทธิ์ เราตกลงกันแล้วและทุกอย่างก็ลุล่วงลงด้วยดี หากท่านไม่ให้สิทธิ์สองสิทธิ์กับข้า ตระกูลหนานกงต้องเผชิญกับความโกรธแค้นของเมืองโบราณอสุราแน่” หมีซามองหนานกงเสวียนเฮ่อก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ใครจะสนว่าเจ้าเป็นใครกัน สิทธิ์สองที่นั้นเป็นของข้า และข้าจะมอบให้ใครก็ได้ที่ข้าอยากให้ เจ้าพูดพล่ามอะไรไม่ทราบ” หนานกงอู๋เชวียเอ่ยกับหมีซา
หลังพูดจบเขาก็ดึงตัวปู้ฟางที่อยู่ข้างๆ ให้ออกมาด้านหน้า
“ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้ว่าสิทธิ์สองสิทธิ์ของตระกูลหนานกง หนึ่งสิทธิ์เป็นของข้า ส่วนอีกสิทธิ์หนึ่งเป็นของชายผู้นี้”
ปู้ฟางปรายตามองทุกคนที่อยู่ในลานจัตุรัสด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ
“ถูกต้อง เป็นของข้า”
ทุกคนต่างอึ้งไปและเกือบจะกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของปู้ฟาง
ถูกต้องบิดาเจ้าสิ เจ้าเป็นใครไม่ทราบเนี่ย
ฉากที่เกิดขึ้นต่อหน้าทุกคนภายหลังจากหนานกงอู๋เชวียปรากฏตัวช่างปุบปับและชวนงุนงงเสียจริง
เจ้าหนุ่มนี่โผล่มาจากมุมไหนของโลกมิทราบ แล้วเหตุไฉนจึงมาฉวยสิทธิ์หนึ่งสิทธิ์ไปง่ายๆ
“เจ้าพูดเรื่องชวนหัวอะไร” หมีซาที่อยู่ในชุดคลุมสีแดงมองหนานกงอู๋เชวียอย่างเย็นชา
หนานกงอู๋เชวียไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขาเบิกตากว้างขณะจ้องมองหมีซา
“เหตุใดข้าต้องเสียเวลาพูดเรื่องชวนหัวกัน สิทธิ์สองสิทธิ์นั้นมีเพียงข้าที่มีอำนาจจัดสรร เจ้าคัดค้านหรือ แล้วมีหลักการอะไรจะมาคัดค้านการตัดสินใจของข้ามิทราบ”
หนานกงอู๋เชวียพูดจาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายราวกับเป็นนักเลงโต
ทุกคนต่างอึ้งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินถ้อยคำที่หนานกงอู๋เชวียพูดใส่หมีซา
ดวงตาของหยางเหมยจี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรมาจารย์เสวียนเปยเป็นประกายเจิดจ้า นางกำหมัดแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยดาราพร่างพราว
“เขาช่างหล่อเหลาและสง่างามอะไรเช่นนี้! คุณชายหนานกง… ท่านจะเจ๋งเกินไปแล้ว!”
ดูเหมือนว่ามีบางคนในฝูงชนจำปู้ฟางได้ คนผู้นั้นตะโกนออกมาเสียงดัง
“ข้าจำเขาได้! เขาคือคนที่ขายอาหารทำจากอึในย่านที่ตระกูลหนานกงเปิดขายโอสถอดอาหารหลากรส ข้าไม่กล้าเข้าไปในย่านนั้นเลย เพราะกลิ่นมันรุนแรงต่อใจมาก”
“เถ้าแก่คนนั้นน่ะหรือ นี่น่ะหรือเถ้าแก่ร้านอาหารผู้นั้น”
“เถ้าแก่ร้านอาหารแห่งนั้นมีข้อตกลงลับๆ กับตระกูลหนานกง… หรือคนผู้นี้จะเป็นสามีของหนานกงหวั่นจริงๆ สวรรค์ช่วย!”
…..
เสียงตื่นตกใจและประหลาดใจดังก้องออกมาจากลานจัตุรัสเมื่อทุกคนรู้สึกว่าการจัดสรรสิทธิ์ในครั้งนี้ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเกินไปแล้ว
เจ้าเมืองหมอกเมฆาที่ยืนอยู่บนลานกว้างประกาศสิทธิ์ตายตัวของตระกูลหนานกงไปเรียบร้อยแล้ว และสิทธิ์ดังกล่าวย่อมตกเป็นของหนานกงอู๋เชวียนั่นเพราะเขาเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของตระกูลหนานกง
หนานกงเสวียนเฮ่อไม่คิดยอมรับผลลัพธ์นี้ เสียงคำรามแทบจะเล็ดลอดออกจากปากชายชราเพราะต้องการคัดค้าน
หนึ่งในยอดฝีมือจากเมืองโบราณอสุรากวาดตามองร่างของหนานกงเสวียนเฮ่อก่อนจะพูดออกมา “เมืองโบราณอสุราของเราต้องได้สองสิทธิ์… หากเจ้าไม่ยอมทำตามข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย”
หลังพูดจบพวกเขาก็หันหลังเดินจากไป ไม่มีใครใส่ใจความรู้สึกนึกคิดของหนานกงเสวียนเฮ่อแม้แต่น้อย
หนานกงเสวียนเฮ่อรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสีย และนั่นก็ทำให้ความเกลียดชังที่มีต่อหนานกงอู๋เชวียเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แถมชายชรายังเผื่อแผ่ความเกลียดชังมาให้ปู้ฟางด้วย เพราะชายคนนี้เป็นคนรักษาอาการบาดเจ็บให้หนานกงอู๋เชวีย เอาเข้าจริงชายชราเกลียดปู้ฟางยิ่งกว่าหนานกงอู๋เชวียเสียอีก เป็นไปได้มากว่าน้องชายคนรองของเขาจะถูกคนของร้านอาหารนั่นสังหาร
การที่หนานกงอู๋เชวียฟื้นสภาพมาได้อย่างรวดเร็วต้องเกี่ยวข้องกับร้านแห่งนี้แน่นอน
ให้ตายเถิด! นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกัน
ทุกคนทยอยออกจากลานจัตุรัสเนื่องจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อไปยังดินแดนเร้นลับจะเปิดขึ้นคืนนี้ เหล่าคนที่ได้สิทธิ์ต่างพากันกลับบ้านเพื่อไปตระเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมในการเดินทางไปยังดินแดนเร้นลับ
ทุกคนต่างต้องการเข้าไปในดินแดนเร้นลับเผื่อบังเอิญได้พบขุมสมบัติระหว่างเดินสำรวจ หากพบขุมสมบัติขึ้นมาจริงๆ ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมคืบไปข้างหน้าอย่างแน่นอน ในดินแดนเร้นลับนั้นโอกาสและอันตรายเป็นของคู่กัน
“อื้อหือ หนานกงอู๋เชวียเอ๋ยหนานกงอู๋เชวีย เจ้านี่ช่างทำตัวสูงส่งเสียจริงๆ ข้าได้ยินมาว่าเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีถูกถอดออกจากร่างของเจ้าไปแล้ว เช่นนี้เจ้าจะยังหลอมโอสถทิพย์ได้อีกหรือ อ๊ะๆ… ต่อให้หลอมไม่ได้ก็ช่างเถอะอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นถึงว่าที่พี่เขยของข้า เมื่อใดที่เจ้าต้องการโอสถทิพย์ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ รับรองว่าข้าย่อมไม่ขี้เหนียว หากตรงหน้าข้ามีน้ำแกงให้ดื่ม ข้าย่อมเหลือก้นชามไว้ให้เจ้าแน่นอน”
ชายในชุดคลุมสีขาวซึ่งใบหน้าพอกด้วยแป้งฝุ่นหน้าเตอะเดินตรงเข้ามาหาหนานกงอู๋เชวียช้าๆ พลางหัวเราะคิกคักไปด้วย
“มู่เฉินเฟิง เจ้ายังทำตัวน่าสะอิดสะเอียนเหมือนเดิมไม่มีผิด ด้วยระดับการเล่นแร่แปรธาตุของเจ้า… โอสถทิพย์ที่เจ้าหลอมออกมาคงไม่ต่างไปจากมูลเน่าเหม็นแน่ ถ้าข้ากินโอสถทิพย์ที่เจ้าทำ ข้าจะไม่กลายเป็นคนโง่ไปหรอกหรือ ใครจะหาเรื่องใส่ตัวกินโอสถทิพย์ของเจ้ากัน” หนานกงอู๋เชวียปรายตามองชายที่พอกแป้งจนหนาเตอะก่อนเอ่ยกลับอย่างเดียดฉันท์
“อีกอย่างนะ… คนกึ่งชายกึ่งหญิงเช่นเจ้าฝันจะแต่งงานกับน้องสาวของข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าน้องเขยตัวจริงเสียจริงของข้ายืนอยู่ข้างๆ ข้าแล้ว”
หนานกงอู๋เชวียยกมือขึ้นดึงตัวปู้ฟางที่กำลังงุนงงออกมาด้านหน้า
มู่เฉินเฟิงหรี่ตามองปู้ฟาง เขายกมือปิดปากพลางหัวเราะคิกคักกับตนเอง
หลังจากหัวเราะจนพอใจแล้วชายหนุ่มก็หันหลังเดินจากไป
หนานกงอู๋เชวียอดเหลือบตามองปู้ฟางที่กำลังยืนทำตาปริบๆ ไม่ได้
“สหายปู้… หมอนั่นมองแบบนั้นดูถูกเจ้าชัดๆ”
ปู้ฟางจ้องหนานกงอู๋เชวียด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เอาเถอะ… เจ้าจะคิดอย่างไรก็ตามใจเลย”