ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 450 เนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่า
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 450 เนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่า
ปู้ฟางและหนานกงอู๋เชวียกลับมาที่ร้าน ตอนนี้หนานกงอู๋เชวียถูกขับออกจากตระกูลหนานกง กลายเป็นคนไร้บ้าน มิหนำซ้ำที่พักของเขาในหอโอสถยังถูกสุนัขแก่หนานกงเสวียนเฮ่อยกเลิกไ ไปอีก
ในเมื่อกลับหอโอสถไม่ได้ เขาเลยทำได้แค่เดินตามหลังปู้ฟางต้อยๆ
“เตรียมตัวเข้าดินแดนเร้นลับกันเถอะ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจะเปิดคืนนี้ตอนที่ดวงจันทร์สองดวงมาบรรจบกัน พอวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเปิด เราก็จะได้เข้าไปในดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา” หลั งกลับถึงร้าน หนานกงอู๋เชวียก็นั่งลงบนเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว้ห้างทันทีพลางเอ่ยปาก
ปู้ฟางจ้องอีกฝ่ายกลับด้วยสีหน้าเฉยชาเป็นคำตอบ หนานกงอู๋เชวียรู้สึกอึดอัดที่ถูกมองเช่นนั้นจึงรีบเอาขาลงอย่างรวดเร็ว
“สหายปู้ เจ้าจะเข้าไปในดินแดนเร้นลับหรือเปล่า” หนานกงอู๋เชวี่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แน่นอนอยู่แล้ว” ปู้ฟางลากเก้าอี้มาขดตัวนอน พลางตอบหนานกงอู๋เชวียอย่างเรียบง่าย
มันคือภารกิจของระบบที่เกี่ยวข้องกับพระกระโดดกำแพงระดับอรหันต์ เขาจึงจำเป็นต้องไป แต่ต่อให้เกี่ยวข้องกับพระกระโดดกำแพงระดับปุถุชน ปู้ฟางก็ยังอยากไปอยู่ดี
พระกระโดดกำแพงระดับปุถุชนราคาหนึ่งหมื่นผลึกนั้นถือว่าแพงหูฉี่ทีเดียว
แต่เหมือนปู้ฟางยังไม่พอใจเท่าไร หลังจากเปิดกิจการมาหลายวัน เขาก็ตระหนักได้ว่าชาวเมืองหมอกนภานั้นกินเก่งกว่าชาวนครหลวงของอาณาจักรวายุแผ่วอย่างเห็นได้ชัด
มีลูกค้าเข้าร้านมาเพราะอยากลองชิมพระกระโดดกำแพงตลอดวัน แต่ปู้ฟางขายแค่วันละสองชามเท่านั้น
เหตุผลสำคัญที่พวกเขายอมจ่ายคืออาหารจานนี้มีเสน่ห์จับจิตจับใจเหลือเกิน
กระนั้นปู้ฟางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการบริโภคของชาวเมืองหมอกนภานั้นค่อนข้างสูง
ถ้าอยากให้พลังปราณรุดหน้าโดยเร็ว ปู้ฟางต้องคิดค้นอาหารราคาแพงๆ จานใหม่ พระกระโดดกำแพงระดับปุถุชนไม่อาจสนองความต้องการของเขาได้
ดังนั้นปู้ฟางจึงเล็งไปที่พระกระโดดกำแพงระดับอรหันต์ เขาเชื่อว่ามันจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
“อ้อ… แต่เจ้าต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวงในดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา” หนานกงอู๋เชวียพูดพลางถอนหายใจ
“เจ้าต้องเจอหนักกว่าข้าแน่” ปู้ฟางมองหนานกงอู๋เชวียอย่างจริงจังพลางเอ่ยเตือน
หนานกงอู๋เชวียผงะไป คำพูดของปู้ฟางนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะมีคนมากมายในเมืองหมอกนภาที่ต้องการเห็นเขาตาย
ไม่ต้องเอ่ยถึงสุนัขแก่หนานกงเสวียนเฮ่อ เอาแค่ตระกูลหลินและตระกูลจาง… เขาไม่ควรตายใจเพียงเพราะคนพวกนั้นช่วยเขาไว้ที่ลานจัตุรัสในเมือง ทันที่หนานกงอู๋เชวียก้าวขาเข้า ดินแดนเร้นลับ พวกนั้นย่อมจู่โจมและเอาชีวิตเขาแน่นอน
ถึงอย่างไรพรสวรรค์ของหนานกงอู๋เชวียก็น่ากลัวกว่าหนานกงเสวียนเฮ่อมากนัก เมื่อเติบใหญ่ เขาย่อมเป็นฝันร้ายของตระกูลหลินกับตระกูลจาง
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกำจัดหนานกงอู๋เชวีย ย่อมเป็นตอนที่เขาเข้าไปในดินแดนเร้นลับทะเลเมฆา หากพลาดโอกาสนี้ไป พวกเขาก็ต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ถ้าคิดจะลงมืออีกครั้ง
“ดี…” หนานกงอู๋เชวียรู้สึกว่าการพยายามโน้มน้าวปู้ฟางเป็นเรื่องที่เหนื่อยเปล่า
สหายปู้มีสายตากว้างไกลและเฉียบแหลมกว่าเขา
ตอนนั้นเองหนานกงอู๋เชวียก็เหมือนจะคิดบางอย่างได้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเป็นประกาย เขามองปู้ฟางพลางเอ่ยขึ้น “สหายปู้ เจ้ายังมีบะหมี่เหลือจากครั้งก่อนไหม บะหมี่ของเจ้าช่วยเพ พิ่มพลังการต่อสู้ได้ มันวิเศษมากๆ… มีฤทธิ์เหนือกว่าโอสถวิญญาณหนึ่งแต้มที่ข้าปรุงด้วยซ้ำ แถมบะหมี่ของเจ้ายังไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นพิษเป็นภัยอีกต่างหาก”
แม้ว่าบะหมี่นั่นจะเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาเล็ด แต่พลังของหนานกงอู๋เชวียก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังกินเข้าไปหนึ่งชาม นี่คือสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธหรือมองข้ามได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือบะหมี่นี้ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย หากการปากพองเพราะความเผ็ดถือเป็นอาการข้างเคียง ให้หนานกงอู๋เชวียเดินปากพองไปทั่วเมืองทุกวันก็ยังได้
“ครั้งนี้ข้ามีของดีให้เจ้า ไปรอข้างนอกก่อน ข้าจะทำอาหารจานใหม่สำหรับการเดินทางไปยังดินแดนเร้นลับของเรา” ปู้ฟางมองหนานกงอู๋เชวียก่อนหันหลังเดินเข้าครัวไป ร่างของเขาหายวับไป ปอย่างรวดเร็ว
อาหารจานใหม่หรือ
ดวงตาของหนานกงอู๋เชวียเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นทันที
“เนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่าคืออาหารวิเศษ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายถึงสามเท่า… มันสามารถใช้สร้างวงแหวนปราณอาหารเลิศรสและยังกินร่วมกับบะหมี่อาละวาดได้ด้วย ไม่มีผลข้างเค คียงหากกินเดี่ยวๆ แต่หากกินคู่กับบะหมี่อาละวาด หลังจากประสิทธิภาพหมดลงจะทำให้อ่อนแรงสามชั่วยาม”
ปู้ฟางยืนนิ่งอยู่หน้าเตาในครัว เขากำลังตรวจสอบข้อมูลของอาหารวิเศษจานใหม่นั่นก็คือเนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่า เขาอยากเยาะเย้ยและประณามรสนิยมที่แสนเฮงซวยในการตั้งชื่ออาหารขอ องระบบเสียเหลือเกิน เนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่า… แค่ได้ยินชื่อก็ไม่มีใครอยากกินแล้ว
ความกระปรี้กระเปร่าจะสร้างปาฏิหาริย์และความอัศจรรย์ได้หรือ… ช่างเป็นชื่อที่น่าขันจริงๆ
วิธีการทำเนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่าไม่ต่างจากการทำเนื้อปั้นทั่วไป ยกเว้นวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุง ครั้งนี้ระบบเป็นฝ่ายจัดเตรียมวัตถุดิบให้ ซึ่งช่วยลดปัญหาของปู้ฟางได้มาก
เขาหยิบมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาพลางทบทวนวิธีการใช้มีดสิบสามมหากาฬในหัว ความจริงแล้วผู้ใช้มีดสิบสามมหากาฬต้องฝึกทักษะการใช้มีดฝนดาวตกจนถึงขั้นสูงสุดเสียก่อน จึงจะเริ่ม มเรียนรู้และทำความเข้าใจทักษะมีดสิบสามมหากาฬได้
นั่นเพราะมีดสิบสามมหากาฬไม่ใช่ทักษะการใช้มีดธรรมดา มันคือทักษะการใช้มีดรูปแบบหนึ่งที่ต้องอาศัยความน่ายำเกรง
แล้วความน่ายำเกรงคืออะไร
ปู้ฟางไม่เข้าใจคำนี้อย่างถ่องแท้ จึงตั้งใจศึกษาและพยายามเข้าถึงความหมายของคำว่าความน่ายำเกรงอย่างจริงจัง ยอดฝีมือแต่ละคนมีความน่ายำเกรงของตน มันเกิดจากเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ล แตกต่างจากพลังกดดันอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่เรียกว่าพลังกดดันเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ของตนเอง มันมีฤทธิ์สะกดคนที่พลังปราณต่ำชั้นกว่าได้อย่างเฉียบขาด แต่พลังกดดันดังกล่าวจะหมดราคาทันทีหากเผชิ ญกับผู้มีมีพลังปราณสูงกว่า
ความน่ายำเกรงแตกต่างจากพลังกดดันอย่างสิ้นเชิง
ผู้ใดมีความน่ายำเกรง ย่อมมีพลังปราณเที่ยงแท้ พลังชีวิตและพลังวิญญาณแตกต่างจากคนอื่นอย่างสมบูรณ์
มือกระบี่ที่พยายามเข้าถึงความน่ายำเกรงของตัวเองจึงจะมีสิทธิ์ถูกเรียกว่ามือกระบี่ พวกเขาเป็นผู้ชำนาญการในการใช้ความน่าเกรงขามของตัวเองข่มขวัญศัตรู
เจตจำนงกระบี่คือความน่ายำเกรงประเภทหนึ่ง… มีเพียงมือกระบี่ที่จะมีเจตจำนงกระบี่ เมื่อมือกระบี่พัฒนาเจตจำนงกระบี่ของตัวเอง ร่างกายจะปลดปล่อยกระแสอากาศที่แหลมคมและรุนแรงออกมา า ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างสามารถสัมผัสความน่ายำเกรงนี้ได้
ตอนนี้สิ่งที่ปู้ฟางตั้งใจจะควบรวมออกมาคือความน่ายำเกรงของมีดสิบสามมหากาฬ และมันก็เป็นงานที่ยากอย่างยิ่งยวด
เขาดึงเจ้ากุ้งลงจากไหล่แล้ววางมันลงบนเตา
ปู้ฟางกำมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือพลางหรี่ตาสองข้างมองเจ้ากุ้ง
“เจ้ากุ้ง ข้ากำลังจะปลดปล่อยความน่ายำเกรงของตัวเองออกมา ไม่ต้องกลัวไป แต่ถ้ากลัวมากก็กลับขึ้นไหล่ของข้ามาเสีย…” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“น้ำเสียงช่างลำพองจริง“ เจ้ากุ้งงึมงำเบาๆ พลางโบกก้ามใส่ปู้ฟางอย่างตื่นเต้น
มีดสิบสามมหากาฬ ความน่ายำเกรงของมีดสิบสามมหากาฬกระบวนท่าแรก เขาโบกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมืออย่างคล่องแคล่วจนรอบตัวเกิดเป็นแสงวูบวาบนับไม่ถ้วน
หากคนทั่วไปเห็นปู้ฟางสะบัดมีดเช่นนี้ย่อมงวยงงหนักเป็นแน่
ปัง!
ปู้ฟางใช้กระบวนท่ามีดพราวแสงสักพักก่อนหยุดมือปุบปับ แต่ยังกำด้ามมีดแน่นอยู่
เจ้ากุ้งที่นอนบนโต๊ะยกลำตัวส่วนบนขึ้น มันกะพริบตาโปนๆ พลางโบกก้ามใส่เป็นการบอกว่า ‘ความน่ายำเกรง’ ของปู้ฟางนั้นยังไม่เท่าไร
“หืม?” ปู้ฟางหรี่ตามองเจ้ากุ้ง
“พลังอ่อนมากรึ เช่นนั้นลองอีกสักที… เจ้ากุ้ง เจ้าไม่ต้องกลัวไป ไม่ต้องทำเป็นใจดีสู้เสือก็ได้”
หวือ! หวือ! หวือ!
ปัง!
ปู้ฟางกำด้ามมีดอย่างแน่นหนา รู้สึกว่าตัวเองช่างหล่อเหลาและยอดเยี่ยมเหลือเกินหลังจากแกว่งไกวมีด กระบวนท่าที่เขาใช้ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ ประหนึ่งว่าเขาได้หลอมรวมเข้ากับมีด ดแล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันเรียบร้อย
ปู้ฟางโบกมีดจนเกิดลมแรงพัดไปทั่วครัว
กระนั้นเจ้ากุ้งก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิม มันโบกก้ามเป็นการบอกว่านี่มันน่ายำเกรงตรงไหนกัน
ปู้ฟางเก็บมีดทำครัว มองเจ้ากุ้งที่ไม่สนใจไยดีด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาจับมันขึ้นมาวางบนไหล่ก่อนจะเริ่มทำเนื้อปั้น ถึงเวลาทำเนื้อปั้นกระปรี้กระเปร่าเสียที
ส่วนความน่ายำเกรงของมีดสิบสามมหากาฬ ไว้เขาค่อยๆ พยายามเรียนรู้ไปทีละก้าวจะดีกว่า
ครืน!
ความร้อนแผ่ออกจากกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ น้ำจากทะเลสาบเทือกเขาปราณสวรรค์เดือดพล่าน ทำให้เกิดไอน้ำที่สดชื่นและหอมหวานจนปู้ฟางถึงกับมึนเมา
เขาโยนเนื้อปั้นสดใหม่นับไม่ถ้วนที่เตรียมเอาไว้ลงในกระทะ
เกิดเสียงดัง “ต๋อม” ทุกครั้งที่เนื้อปั้นถูกโยนลงไป มันเริ่มกลอกกลิ้งไปมาในน้ำเดือด
ประกายสีแดงสดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มปล่อยกลิ่นหอมหมดจดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อออกมา
ปู้ฟางเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมนี้มาก
เขาช้อนเนื้อปั้นขึ้นมาใส่ในชาม เนื้อปั้นเหล่านี้ดูเหมือนมีชีวิต มันเปล่งประกายด้วยสีสันสดใสสะดุดตา แผ่กลิ่นหอมออกมาพร้อมคลื่นพลังปราณ
ปู้ฟางไม่ได้ใส่วัตถุดิบรองเพิ่ม เขาปรุงมันอย่างเรียบง่าย และผงกศีรษะด้วยความพอใจเมื่อเห็นชามเนื้อปั้นตรงหน้า
ไม่ควรมีใครดูถูกเนื้อปั้นเหล่านี้เพราะรูปลักษณ์ที่ธรรมดาและเรียบง่ายของมัน ปู้ฟางรู้เต็มอกว่าตนเองนั้นต้องใช้ความพยายามมากเพียงใดเพื่อทำเนื้อปั้นพวกนี้ออกมา
เขาใช้พลังปราณเที่ยงแท้ของตนควบคุมพลังปราณที่ไหลล้นออกมาจากเนื้อแล้วหลอมรวมกลับเข้าไปในเนื้ออย่างสมบูรณ์ หนำซ้ำยังตั้งใจอย่างดีไม่ให้พลังปราณของเนื้อกระจายไปรอบๆ
มันคืองานที่ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ
ปู้ฟางสูดหายใจลึกเอากลิ่นหอมเข้าจมูก ถือชามที่มีเนื้อปั้นหลายมากมายออกจากครัวแล้วเดินมาที่ห้องอาหาร
“ออกมาสักที…”
หนานกงอู๋เชวียรอแล้วรอเล่าจนค่อนข้างกระวนกระวาย ในที่สุดปู้ฟางก็ออกจากครัวมาพร้อมชามในมือ
หนานกงอู๋เชวียตั้งตารอเล็กๆ กับการชิมอาหารจานใหม่ในมือของปู้ฟาง เขาอยากรู้จักอาหารจานนี้ของปู้ฟางเต็มแก่แล้ว
อาหารจานใหม่ของสหายปู้… ย่อมไม่ผิดหวังแน่นอน ใช่ไหมนะ
ขณะที่เขากำลังคิดปู้ฟางก็วางชามลงตรงหน้า กลิ่นหอมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และพลังปราณแผ่ออกมาจากเนื้อปั้นนับไม่ถ้วนในชาม แม้ว่าหน้าตาจะดูน่ากิน… แต่มันก็แค่เนื้อปั้นไม่ใช่หรื อ
แบบนี้จะเรียกว่าอาหารได้อย่างไร