ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 1001 ไสหัวไป
ตอนที่ 1001 ไสหัวไป
เซียวเหวินอวี๋ได้ยินคำพูดนางก็คิดถึงก่อนหน้านี้นางปฏิเสธเขา จึงยื่นมือคว้าแขนนางด้วยสัญชาตญาณ “เจ้าไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่…”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวไม่ทันจบก็พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดปกติ เขาคิดถึงว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนไม่ยินดีแต่งงาน นางจะยอมเข้าวังมาแต่งกับเขาได้อย่างไร
เขาสะบัดหน้าอย่างแรง สมองเริ่มกระจ่างขึ้นมาเล็กน้อย พอเงยหน้ามองอีกที ก็พบว่าผู้ที่ยืนอยู่หน้าแท่นบรรทมเขาเป็นพระสนมเนี่ยผิน
หญิงผู้นี้ถึงกับแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเดียวกับซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยน ยังเกล้าผมทรงเดียวกับนาง ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงได้จำผิด
เซียวเหวินอวี๋คิดถึงว่ามีคนล่วงรู้ความในใจตนเอง ในใจพลันกรุ่นไปด้วยโทสะรุนแรง และหญิงผู้นี้ถึงกับเลียนแบบการแต่งกายและทรงผมของซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยน นางคิดทำอันใด
เซียวเหวินอวี๋ไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป สะบัดมือปัดน้ำแกงในมือพระสนมเนี่ยผินทิ้ง
สีหน้าเขาย่ำแย่อย่างยิ่ง มองพระสนมเนี่ยผินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “หญิงอัปลักษณ์ น่าขยะแขยง ไสหัวออกไป”
เดิมพระสนมเนี่ยผินก็มิได้หน้าหนาไร้ยางอาย ในฐานะบุตรีจวนอู่กั๋วกง นางได้รับการอบรมอย่างดีมาแต่เล็ก ธรรมเนียมจารีตฝังลึกอยู่ในจิตใจ สิ่งที่นางกระทำในคืนนี้ล้วนต้องเสริมกำลังใจให้ฮึกเหิมจึงได้กล้าทำ ปรากฏกลับถูกฝ่าบาทลบหลู่ดูแคลน นางไม่อาจทนรับได้ หันหลังร้องไห้วิ่งออกไปทันที
นางกำนัลที่ตามนางมารีบไล่ตามไป นอกประตูโจวโย่วจิ่นไม่สนใจพวกพระสนมเนี่ยผิน แต่รีบพาคนเข้าไปคุกเข่าในตำหนักบรรทม
บนแท่นบรรทม เซียวเหวินอวี๋มองเขาอย่างผิดหวังไม่เอ่ยอันใดเป็นนาน
โจวโย่วจิ่นรู้ว่าฝ่าบาทผิดหวังในตัวเขา เขาเป็นคนสนิทที่สุดของฝ่าบาท กลับทำเรื่องที่ขัดต่อเจตจำนงของเขาเช่นนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเขา
โจวโย่วจิ่นไม่คิดเอ่ยแก้ตัว ได้แต่โขกศีรษะดัง “ฝ่าบาท บ่าวสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ออกไปคุกเข่า”
เซียวเหวินอวี๋ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกปวดหัว พลางตวาดเย็นเยียบ
โจวโย่วจิ่นหันหลังออกไป เขารู้ว่าฝ่าบาททรงยอมให้เขามากที่สุดแล้ว หากไม่ใช่ว่าติดตามฝ่าบาทมาแต่เด็ก เกรงว่าเรื่องวันนี้ก็คงทำลายความพยายามในครึ่งชีวิตแรกของเขาหมดสิ้นแล้ว
วันหน้าเขาจะไม่ทำเรื่องที่ขัดเจตจำนงฝ่าบาทอีกเด็ดขาด
“บ่าวรับพระบัญชา”
โจวโย่วจิ่นถอยออกไปแล้วก็สั่งให้ขันทีรีบเตรียมน้ำแกงสร่างเมามาให้ฝ่าบาทชามหนึ่ง หากไม่เช่นนั้น พรุ่งนี้ฝ่าบาทก็จะต้องปวดศีรษะอย่างแน่นอน
ขันทีรีบไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมา
ตระกูลเซี่ย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในวัง พวกเขาไม่รู้ความคิดซื่อเป่า ทั้งสองคนยามนี้กำลังคุยกับทูตเป่ยฉี “ชายหนุ่มรูปงามสูงใหญ่ผู้นั้นเกี่ยวข้องอันใดกับเป่ยฉี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ถามเพราะรู้สึกหึงหวงลู่เจียว ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นแค่หนุ่มน้อย
“เขาชื่ออาเอ่อร์ไท่มู่ซิว เป็นบุตรชายคนโตของหัวหน้าเผ่าเผ่าหนึ่งในสิบสองชนเผ่า ได้ยินว่าเป็นผู้กล้าชำนาญการศึก การที่เขานำทูตเป่ยฉีมาเจรจาสันติครั้งนี้ด้วยตนเองนับว่าหาได้ยากยิ่ง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ ก็เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกสนใจเขาเช่นนี้”
ลู่เจียวกำลังจะบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า มู่ซิวผู้นี้ก็คือเด็กน้อยอีกคนในภารกิจ
เพียงแต่นางไม่ทันได้เอ่ย นอกประตูก็มีเสียงหร่วนจู๋ดังมา “ใต้เท้า ฮูหยิน พ่อบ้านเซียวให้คนมารายงาน ว่า มีคนมาขอพบฮูหยินอยู่นอกประตู บอกว่าเขาชื่ออาเอ่อร์ไท่มู่ซิว
ลู่เจียวพลันเผยใบหน้าแย้มยิ้ม ตั้งแต่เห็นม่อเอ๋อร์กับเยี่ยนเอ๋อร์ นางก็เดาได้ว่าซิวเอ๋อร์ก็อาจข้ามภพมาด้วย
แม้ว่านางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่นางยังคงคาดเดาเช่นนี้
คืนนี้ตอนร่วมงานเลี้ยงในวังได้พบชายหนุ่มที่มาจากเป่ยฉี นางก็คาดเดาได้ว่าหากไม่เหนือความคาดหมายก็น่าจะเป็นจีซิว คิดไม่ถึงว่าเขาจะมายามดึกเช่นนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่านางเดาไม่ผิด
ลู่เจียวรีบยื่นมือไปคว้ามือเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยกับเขาอย่างตื่นเต้นถึงสถานะของอาเอ่อร์ไท่มู่ซิว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็แปลกใจ ดึงมือลู่เจียวมาจูงเดินไปห้องโถงกลางไปพบชายหนุ่มผู้นี้
อาเอ่อร์ไท่มู่ซิวเห็นลู่เจียวก็มิได้รีบเข้ามาเรียกนางว่าท่านแม่ในทันที แต่มองประเมินนางก่อน จนกระทั่งลู่เจียวเอ่ยเรียกขึ้นว่า “ซิวเอ๋อร์”
ในที่สุดมู่ซิวก็แน่ใจว่านางคือท่านแม่ที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ ความจริงเขารู้นานแล้วว่าท่านแม่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาถึงกับได้พบนางอีก มู่ซิวดีใจมาก ก้าวเข้าไปคุกเข่าทันที “ซิวเอ๋อร์คารวะท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มดึงเขาขึ้นมากล่าวอย่างดีใจว่า “คิดไม่ถึงว่าแม่จะได้พบเจ้าอีก แม่ดีใจมากจริงๆ”
มู่ซิวเองก็ดีใจมาก ขอบตาเริ่มแดงอย่างไม่อาจระงับ ภพก่อนตอนท่านแม่จากไป เขาก็คิดถึงนางมาตลอด พยายามทำตามความต้องการของท่านแม่ เป็นผู้ปกครองที่ดี ขอเพียงภพหน้าได้เป็นบุตรชายแท้จริงของท่านแม่ ปรากฏวันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาก็เป็นอาเอ่อร์ไท่มู่ซิวแห่งเป่ยฉี และยังรู้โดยบังเอิญว่าแคว้นต้าโจวมีฮูหยินโจวกั๋วและคำนวณศาสตร์แบบโจว
ภพก่อนท่านแม่สอนคำนวณศาสตร์แบบโจวแก่เขา เขายังเผยแพร่ให้ประชาชนได้รู้ทั่วกัน ดังนั้นพอได้เห็นคำนวณศาสตร์แบบโจว เขาก็นึกสงสัยว่าคนผู้นี้อาจเป็นท่านแม่เขา
แม้ไม่เข้าใจว่าท่านแม่กลับมาเกิดแล้ว เหตุใดยังจดจำเรื่องราวเหล่านี้ได้ แต่มู่ซิวตัดสินใจมาแคว้นต้าโจวเพื่อดูว่าคนผู้นี้แท้จริงใช่ท่านแม่ของเขามาเกิดใหม่หรือไม่ แม้ท่านแม่จำเขาไม่ได้ เขาก็อยากมาดูว่านางมีชีวิตที่ดีหรือไม่ ปรากฏพอท่านแม่ยิ้มให้เขา แววตาเหมือนกับภพก่อนเช่นนั้นไม่มีผิด
มู่ซิวรู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่อ ทนนั่งอยู่ที่พักต่อไปไม่ไหว รีบร้อนมาในคืนนี้ทันที พอได้ยินลู่เจียวเรียกเขา ในที่สุดเขาก็แน่ใจว่าท่านแม่จำเขาในภพก่อนได้ ทำให้เขาดีใจไม่อาจระงับ
สองคนแม่ลูกนั่งคุยกันถึงเรื่องราวในภพก่อน ล้วนมีแต่รอยยิ้มแห่งความสุข
บุตรชายตระกูลเซี่ยได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในเรือนด้านหน้าก็พากันมาดู ปรากฏเห็นท่านแม่ตนกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังคุยกันสนุกสนาน ท่านพ่อพวกเขามองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
พวกเซี่ยเหวินเหยาจำได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือคนในคณะทูตเป่ยฉี แต่เห็นท่านแม่คุยสนุกสนานกับคนผู้นี้อย่างมาก บรรดาบุตรชายนางพากันตกใจไม่น้อย
ลู่เจียวเรียกบุตรชายนางเข้ามาแนะนำให้มู่ซิวรู้จัก และบอกกับพวกเขาเหมือนก่อนหน้านี้ว่า มู่ซิวเป็นบุตรบุญธรรมที่นางรับไว้
พวกเซี่ยเหวินเหยาตกใจ ท่านแม่รับบุตรบุญธรรมมากมายเท่าไรกันแน่ แต่ละคนดูแล้วไม่ธรรมดาอย่างมาก
แต่แม้ว่าในใจรู้สึกแปลกใจ ทว่าไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใด ต่างทักทายมู่ซิวอย่างอบอุ่น
มู่ซิวไม่ได้ปฏิเสธการแนะนำของลู่เจียว คำนับบรรดาพี่ชายด้วยความเคารพ
พวกเซี่ยเหวินเหยายังดี แต่เซี่ยเหวินอวี้หรืออู่เป่ากลับรู้สึกสนใจมู่ซิวเป็นพิเศษ ทั้งสองคนคุยกันสนิทสนมอย่างรู้สึกถูกคอกันมาก สุดท้ายมู่ซิวก็ปล่อยให้อู่เป่าต้อนรับเขาเข้าพักในตระกูลเซี่ย
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยเหวินอวี้ก็ไปหาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะเดินทางไปเป่ยฉีกับมู่ซิว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองเขาอย่างตกใจ เหตุใดเพียงแค่คืนเดียว เจ้าหมอนี่ถึงกับจะตามมู่ซิวเดินทางไปเป่ยฉี
“เจ้าคิดเหลวไหลอันใดกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ลู่เจียวมองบุตรชายคนเล็กพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าคิดอย่างไร ไหนลองบอกท่านพ่อกับท่านแม่หน่อย”
เซี่ยเหวินอวี้สีหน้าจริงจัง มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกล่าวว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่น่าจะรู้ว่า ข้ามีความมุ่งมั่นประการหนึ่งมาตลอด ก็คือคิดทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ แต่ที่แคว้นต้าโจวมีเรื่องให้ข้าทำน้อยมาก เมื่อคืนข้าคุยกับมู่ซิวทั้งคืน มู่ซิวบอกว่าเขาต้องการรวบรวมเป่ยฉีเป็นหนึ่ง รวมสิบสองชนเผ่าให้เป็นหนึ่งเดียว เขาจะเป็นราชาแห่งเป่ยฉี ข้างกายเขาต้องการคนช่วยงานไม่น้อย เขาขอให้ข้าไปช่วยเขาอีกแรง รวบรวมสิบสองชนเผ่าและร่วมครองเป่ยฉีกับเขา ถึงตอนนั้นจะแต่งตั้งข้าเป็นอุปราชแห่งเป่ยฉี ข้าก็จะพยายามทำเต็มความสามารถของข้า ทำให้ราษฎรเป่ยฉีมีชีวิตที่ร่ำรวยอุดมสมบูรณ์”
เซี่ยเหวินอวี้พูดจนสุดท้าย แววตาก็ลุกโชนไปด้วยประกายไฟร้อนแรง เขาคล้ายว่ามีพลังชีวิตเติมเต็ม สีหน้าเปล่งประกายวาว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นเขาเช่นนี้ก็รู้ว่าเขาค้นพบเส้นทางของตนเองแล้ว
แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังคงเป็นห่วง “สถานที่เช่นนั้น เจ้าไม่คุ้นเคย หากเกิดเรื่องอันใด ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ให้ความช่วยเหลือไม่ทัน”
เซี่ยเหวินอวี้ลุกขึ้นคุกเข่าตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากทำตัวเป็นคนที่มีประโยชน์คนหนึ่ง อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ภาคภูมิใจในตัวข้า”
ลู่เจียวยื่นมือไปดึงเขาขึ้นมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วกล่าวว่า “แต่โบราณกาลมา ยามมีชัยก็จะกำจัดผู้ร่วมทาง ตอนนี้มู่ซิวต้องการเจ้า บอกว่าจะแบ่งปันแผ่นดินเป่ยฉีกับเจ้า แต่พอพวกเจ้ารวมสิบสองชนเผ่าเป็นหนึ่งได้จริง เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่วางอุบายกำจัดเจ้า แต่ไรมาราชันไม่มีทางทิ้งหอกไว้ข้างแคร่”
เซี่ยเหวินอวี้เลิกคิ้วยิ้มกล่าวว่า “หากเดินไปถึงขั้นนั้นจริง ข้าก็ไม่เสียใจ ข้าได้ทำเรื่องที่ข้าควรทำแล้ว นับประสาอันใดกับข้าเชื่อว่ามู่ซิวไม่ใช่คนเช่นนั้น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังคิดเอ่ยต่อ แต่ถูกลู่เจียวห้ามไว้ “ข้าไปกับคุยกับซิวเอ๋อร์หน่อย”
————————————–