ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 1010 อยู่ด้วยกันลำพัง
ตอนที่ 1010 อยู่ด้วยกันลำพัง
เซียวเหวินอวี๋รับคำด้วยสัญชาตญาณ ในใจแอบนึกเสียใจอยู่บ้าง เหตุใดไม่รออีกสักหน่อย รอให้เขาได้พบนาง เขากับนางก็จะมีบทสรุปที่สวยงามแล้ว
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ ในใจก็พลันเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอันใด
ครั้งนี้ขอให้เขาปล่อยตามใจตนเองสักครั้ง วันหน้าเขาจะดำรงตนเป็นฮ่องเต้นิ่งสงบ จะไม่คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิดอีก
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเดินกลับไปที่กองไฟ ยกไก่ย่างออกมาฉีกน่องไก่ส่งให้เซียวเหวินอวี๋
แม้เป็นเพียงแค่ไก่ย่างง่ายๆ แต่รสชาติไม่เลว เพราะซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนใส่ของบางอย่างลงไปในท้องไก่ ทำให้ไก่มีรสชาติดีเป็นพิเศษ
แต่ไรมาเซียวเหวินอวี๋ไม่เคยได้กินไก่ย่างกับคนที่เขาชอบ ยามนี้รู้สึกเพียงแค่ในปากอบอวลไปได้ด้วยความหอมหวาน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านพ่อรักท่านแม่เช่นนั้น เหตุใดชอบอยู่กับท่านแม่เช่นนั้น
เพราะเขาชอบท่านแม่ ก็เหมือนตนเองชอบอวิ๋นเยี่ยน การได้อยู่กับนาง เพียงแค่กินอะไรง่ายๆ ก็รู้สึกอบอวลไปได้ด้วยความหอมหวาน
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนกินอาหารไม่เหมือนสตรีตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปที่กินคำเล็กๆ แต่นางกินอย่างที่นางอยากกิน แต่ก็ยังคงแลดูงามสง่า ไม่ได้มีท่าทางเขมือบกลืนกินแม้สักนิด
เซียวเหวินอวี๋เหม่อมองนาง
แม้ว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนก้มหน้ากิน แต่ก็รู้สึกได้ว่าเซียวเหวินอวี๋กำลังมองนาง
แก้มนางร้อนผ่าว รู้สึกเก้กังไปหมด นางไม่เคยมีความรู้สึกทำอันใดไม่ถูกเช่นนี้มาก่อน
แม้แต่ในภพก่อน นางอยู่กับหรงกุยมาก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้
นางแต่งกับหรงกุยเพราะท่านแม่ นางเห็นท่านแม่เป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของนางมาโดยตลอด ทำให้สุดท้ายนางเลือกคนผู้หนึ่งที่ดีต่อนางไม่เลว ต่อมาหลังได้อยู่ร่วมกับหรงกุย เขาออกรบเหนือใต้อยู่ตลอด นางต้องรักษาผู้คน สองสามีภรรยามีเวลาอยู่ร่วมกันน้อยมาก กล่าวตามตรงเรื่องระหว่างสามีภรรยาก็กระทำต่อกันน้อยมาก ต่อมาหรงกุยยังถูกอวี๋เซวียนทำร้ายจนตายไปอีก
ภพก่อนและภพนี้คนที่ทำให้นางรู้สึกทำอันใดไม่ถูก น่าจะมีเพียงต่อหน้าคนผู้นี้
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนไม่ใช่คนโง่ นางรู้ว่าเซียวเหวินอวี๋ในฐานะฮ่องเต้แคว้นต้าโจวถึงกับมาช่วยนางด้วยตนเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
นางรู้เขาว่าเขาทำเช่นนี้เพราะอันใด แต่นางไม่อาจแบ่งปันเขากับหญิงอื่น
ดังนั้นแม้ว่าซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนรู้กระจ่างว่าเหตุใดเซียวเหวินอวี๋มาช่วยนาง แต่กลับไม่เอ่ยอันใด เพียงแต่เอ่ยขอบคุณด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“ขอบคุณพี่สี่ที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
ตั้งแต่เซียวเหวินอวี๋ได้ยินลู่เจียวกล่าวเช่นนั้น ก็ไม่ได้คิดอยากให้ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเข้าวังอีก พอได้ฟังซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนก็ยิ้มบางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นบุตรสาวบุญธรรมท่านแม่ ก็นับได้ว่าเป็นน้องสาวเรา เราเห็นท่านแม่ร้อนใจจึงได้นำคนมาช่วยเจ้า เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เพื่อท่านแม่”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนได้ฟังคำเซียวเหวินอวี๋ ก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลง รู้สึกถึงความผิดหวังอยู่บ้าง แต่นางรู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของนางและเขา
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนครุ่นคิดแล้วก็รีบลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่สี่ ข้าออกไปหาน้ำมาให้พี่สี่ดื่มสักหน่อย”
เซียวเหวินอวี๋เป็นห่วงว่านางออกไปจะเกิดเรื่อง
“ข้าไม่กระหายน้ำ”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนรู้ว่าเขาเป็นห่วงนาง ยิ้มกล่าวว่า “ข้ากระหายน้ำแล้ว ข้าออกไปหาน้ำดื่มสักหน่อย”
เซียวเหวินอวี๋รีบดิ้นรนจะลุกขึ้น “ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนเห็นเขาขยับก็รีบลุกขึ้นไปกดตัวเขาไว้ “พี่สี่อย่าขยับ อาการบาดเจ็บภายในพี่สี่ยังไม่หายดี”
“ไม่มีอันใด ข้าจะระวังหน่อย ไม่เป็นอันใด”
เซียวเหวินอวี๋ยังคงคิดลุกขึ้น เห็นซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนคิดห้ามเขา เขาก็กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พวกเราไปหาด้วยกัน ดูว่ามีทางขึ้นไปหรือไม่”
“ตกลง”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนได้ยินวาจานี้ก็เห็นด้วย
ความจริงเซียวเหวินอวี๋ไม่รู้สึกเป็นห่วงว่าตนเองจะขึ้นไปไม่ได้ ลูกน้องของเขาเห็นเขาตกลงมาจากหน้าผาย่อมต้องลงมาตามหาเขา แต่เขาเป็นห่วงซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนว่าจะตกอยู่ในมือของซั่งกวนเฮ่ออีกครั้ง จึงคิดไปเป็นเพื่อนนาง
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนยื่นมือไปประคองเซียวเหวินอวี๋ขึ้นมา ทั้งสองคนประคองกันออกจากถ้ำ สถานที่แห่งนี้เป็นเขาลูกเล็ก เพราะอยู่ในฤดูหนาว ทำให้ใบไม้แห้งเหลือง ดูแล้วบรรยากาศเคร่งขรึมอย่างยิ่ง แต่แสงแดดอบอุ่นสาดส่องลงมาทำให้แลอบอุ่นเป็นพิเศษ
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนประคองเซียวเหวินอวี๋พลางชี้ไปที่ด้านหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าไปจับไก่มาย่าง เห็นที่ตรงนั้นชื้นมาก ไม่แน่ว่าอาจมีแหล่งน้ำ”
“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปดูกัน”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนประคองเซียวเหวินอวี๋อย่างระมัดระวัง ทั้งสองคนเดินไปด้านหน้าด้วยกัน
เซียวเหวินอวี๋ก้มหน้ามองหญิงที่ประคองเขาไว้ เห็นวงหน้านางมีแววห่วงใยและเคร่งเครียด
ความห่วงใยและเคร่งเครียดเช่นนี้ เขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว ในความทรงจำส่วนลึกของเขา ตอนอยู่ตระกูลเซี่ย ท่านแม่มักจะดูแลเขาอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ ยามเขาเสียใจเพียงแค่เล็กน้อย นางก็จะเป็นห่วงอย่างมาก ต่อมาพอกลับคืนสู่สถานะของเขา หลังกลับเข้าวัง เขาก็ไม่เคยได้รับความรู้สึกห่วงใยอบอุ่นเช่นนี้จากผู้ใดอีก
แม้ว่าเสด็จพ่อจะห่วงใยเขา แต่เขามักจะเห็นแก่ความสามารถของเขามากกว่า ต่อมาเขาแต่งภรรยาถึงสองคน แต่พวกนางต่างมีความคิดเห็นแก่ตนเอง ไม่มีคนห่วงใยเขาอย่างจริงใจสักคน
ความจริงเขารักหวังเมิ่งเหยาไม่น้อย แม้ต่อมาพบว่านางไม่เป็นดังที่เขาคิด แต่เขาไม่เคยแสดงอาการรำคาญนาง คิดไม่ถึงว่านางถึงกับกลายเป็นคนร้ายกาจไปได้
เซียวเหวินอวี๋ครุ่นคิดแล้วก็แอบปวดร้าวในใจ รู้สึกสิ่งที่ตนทุ่มเทลงไปช่างไม่คุ้มค่า
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนก้มหน้าประคองเขา มองออกว่าเขาไม่เบิกบานใจ จึงถามอย่างห่วงใยว่า “เป็นอันใดหรือ เจ็บหัวใจหรือไม่ หากยังเจ็บ พวกเราก็หยุดพักกันก่อนดีหรือไม่”
นางกล่าววาจาอ่อนโยนนุ่มนวล น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู ทำให้คนที่ได้ฟังต่างรู้สึกชื่นชอบ
เซียวเหวินอวี๋อมยิ้มมุมปาก “ไม่มีอันใด พวกเราเดินไปดูกันเถอะ”
“ได้”
ทั้งสองคนเดินตรงไปด้านหน้า ไม่นานก็หาแหล่งน้ำพบ ความจริงก็คือบ่อน้ำเล็กแห่งหนึ่ง แต่น้ำในบ่อน้ำกระจ่างใสมาก ไม่มีความขุ่นเศษดิน และเพราะเขาเล็กลูกนี้ไม่ได้มีสัตว์ป่าดุร้าย ดังนั้นแหล่งน้ำจึงไม่สกปรก
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนตรวจสอบก่อนรอบหนึ่ง แน่ใจว่าน้ำไม่มีปัญหา จึงได้ใช้กระบอกไม้ไผ่ตักน้ำเต็มกระบอกส่งให้เซียวเหวินอวี๋
เซียวเหวินอวี๋เห็นนางลงมือทำอย่างคล่องแคล่วมีขั้นมีตอนก็อดแปลกใจไม่ได้ ในฐานะองค์หญิงแปดซีเหลียง นางเป็นเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
เห็นนางใช้ชีวิตในป่าได้อย่างคล่องแคล่ว หากไม่รู้ ยังคิดว่านางเป็นนายพรานหญิงใช้ชีวิตในป่า
เซียวเหวินอวี๋มองแล้วก็อดถามไม่ได้ว่า “เจ้ามีความสามารถเหล่านี้ได้อย่างไร”
ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก็หัวเราะขึ้นมา
ความสามารถพวกนี้ล้วนเรียนรู้มาจากภพก่อน ภพก่อนอยู่ในยุคกลียุค เพื่อช่วยเหลือคนป่วย หลายครั้งนางต้องขึ้นเขาเก็บสมุนไพร บางครั้งต้องอยู่บนเขาระยะหนึ่งก็สองสามวัน ดังนั้นจึงเคยชินกับเรื่องเหล่านี้ แต่นางไม่อาจบอกเซียวเหวินอวี๋เช่นนี้ได้
“พี่สี่ลืมแล้วหรือ ข้าเป็นหมอ ขึ้นเขาเก็บสมุนไพรเป็นเรื่องปกติ บางครั้งยังต้องค้างคืนบนเขา”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ เซียวเหวินอวี๋ก็มีเรื่องคิดถามต่อ เขาถามซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนว่า “เจ้าเป็นองค์หญิงแปดซีเหลียง มารู้จักท่านแม่ข้าได้อย่างไร ยังคารวะนางเป็นมารดาบุญธรรม”
เซียวเหวินอวี๋รู้สึกแปลกใจมาก ซั่งกวนอวิ๋นเยี่ยนไม่รู้ควรเอ่ยอันใด เซียวเหวินอวี๋เห็นนางเช่นนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่เอ่ยได้ยาก ดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เอ่ยยากก็มิต้องเอ่ยก็ได้”
——————————————–