ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 707 เรื่องมงคล
ตอนที่ 707 เรื่องมงคล
หลังจากเฝิงจือออกเรือนแล้ว สาวใช้ข้างกายลู่เจียวก็มีติงเซียงเป็นหลัก โชคดีที่ติงเซียงฉลาดมีไหวพริบ และยังได้รับการอบรมมาจากเฝิงจือ จึงทำงานได้ประสิทธิภาพแบบเฝิงจือ ไม่ต้องให้ลู่เจียวคอยกำชับ
เพราะลู่เจียวตั้งครรภ์แฝด ท้องจึงใหญ่มาก แม้ว่าตอนนี้ท้องเพิ่งห้าเดือนกว่า แต่เทียบกับหญิงตั้งครรภ์ ทั่วไป ท้องจะใหญ่กว่า และมักชอบนอน วันหนึ่งต้องนอนหลายรอบ ทำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นห่วงอย่างมาก เขามีงานต้องทำมากมาย ไม่อาจมาเป็นเพื่อนลู่เจียวได้ทั้งวัน ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจ สุดท้ายให้คนไปหมู่บ้านซิ่งฮวารับเถียนซื่อมา
เถียนซื่อเดิมก็วางแผนจะมาอยู่แล้ว ระยะนี้จัดการเรื่องที่บ้านเรียบร้อยแล้ว พอดีเซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งคนมารับนาง นางจึงรีบนั่งรถม้ามาเมืองหนิงโจว
ลู่เจียวเห็นเถียนซื่อก็ดีใจมาก “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไปรับเถียนซื่อมาไม่ได้บอกลู่เจียว อยากให้นางตื่นเต้นดีใจ และลู่เจียวก็ดีใจมากดังคาด
เถียนซื่อยิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “เจ้าตั้งครรภ์แล้ว แม่ไม่วางใจจึงได้มาดูแลเจ้าสักหน่อย”
“แล้วเรื่องทางบ้านทำเช่นไร”
“ไม่เป็นไร มีท่านพ่อเจ้าอยู่ แม่จัดการเรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่กับสะใภ้ใหญ่ย่อมดูแลทุกอย่างได้เรียบร้อย”
ลู่เจียวถามถึงเรื่องที่บ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยดี กิจการร้านเต้าหู้ก็ดีมาก เพราะชาวหมู่บ้านปลูกสมุนไพรทำเงินได้ไม่น้อย คนก็ตัดใจกินเต้าหู้ลง ดังนั้นกิจการพวกเขาจึงดีมาก กอปรกับพวกเขาเองก็ปลูกสมุนไพร ชีวิตก็ยิ่งดีขึ้น
พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ขยันขันแข็งมาก ส่วนลู่อันกับลู่กุ้ยที่อำเภอชิงเหอก็ยิ่งมีชีวิตดี
ลู่เจียวคิดถึงเรื่องจิ่นซิ่วตั้งครรภ์ ก็รีบถามเถียนซื่อ “จิ่นซิ่วเหมือนตั้งครรภ์ใกล้คลอดแล้วกระมัง ท่านแม่ไม่ไปดูแลนาง มาดูแลข้า ไม่ค่อยดีหรือไม่”
นางไม่อยากให้ความสัมพันธ์แม่สามีกับสะใภ้ไม่ดีเพราะนาง
เถียนซื่อยิ้มกล่าวว่า “แม่บอกกับพวกนางแล้ว พวกนางเต็มใจให้ข้ามา ข้างกายจิ่นซิ่วมีท่านแม่นางดูแลอยู่ น้าสวีเจ้าดูแลคนเป็นยิ่งกว่าแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงจิ่นซิ่ว เจ้าไม่มีแม่สามีดูแลน่าเป็นห่วงกว่า เอาละ วันหน้าแม่ก็จะมาอยู่ตระกูลเซี่ย รอให้เจ้าคลอดค่อยกลับ”
เถียนซื่อกล่าวจบก็คิดถึงว่าก่อนหน้านี้ลู่เจียวให้คนส่งจดหมายไปหมู่บ้านซิ่งฮวาบอกว่านางตั้งครรภ์แฝด ตอนนี้ดูแล้วท้องเริ่มโตมากแล้ว
“เจียวเจียว ท้องเจ้าใหญ่กว่าคนทั่วไปจริง ตอนนี้ห้าเดือนกว่าก็ใหญ่เกือบเท่าท้องน้องสะใภ้เจ้าแล้ว เจ้าแน่ใจว่าครรภ์แฝดสอง ไม่ใช่เหมือนครั้งก่อนที่เป็นแฝดสี่กระมัง”
ลู่เจียวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่หรอก มีแค่สอง”
นางตรวจดูแล้ว แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์แฝดสอง
เถียนซื่อได้ฟังพยักหน้า เอ่ยปากกล่าวว่า “ครั้งนี้ในท้องต้องมีแก้วตาดวงใจตัวน้อย”
ลู่เจียวได้ยินก็แทบอยากจะร้องไห้ เหตุใดแต่ละคนล้วนอยากให้นางคลอดบุตรสาว การจะคลอดได้บุตรสาวเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจได้หรือ
แต่ลู่เจียวไม่ได้กล่าวมากอันใด
ตั้งแต่นั้นเถียนซื่อก็อยู่ตระกูลเซี่ยดูแลลู่เจียว เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นที่บ้านมีเถียนซื่อก็วางใจ
เมื่อซูจือฝู่ไม่ยุ่งเรื่องที่ทำการ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับพวกหูทงพั่นทุ่มเททำงานเพื่อเมืองหนิงโจวได้อย่างสบายใจ พ่อค้าหลายร้านในเมืองหนิงโจวที่เคยกำหนดราคาสินค้าในเมืองหนิงโจวอย่างอิสระ สินค้าบางอย่างราคาสูงจนเกินเหตุมาก เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบสั่งคนไปเชิญประธานสมาคมการค้าเมืองหนิงโจวมา บอกกับเขาเรื่องนี้ ว่าหากมีคนกล้าตั้งราคาส่งเดช ก็จะถูกทางการปิดร้าน
ประธานสมาคมการค้ามองออกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอาจริง ก็รีบกลับไปเรียกประชุมสมาคมการค้า คนที่มาประชุมมีคนจากสี่ตระกูลใหญ่ด้วย ตระกูลนิ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด คนตระกูลนิ่งโมโหมาก แต่คิดถึงจุดจบของหลินจือฝู่ สุดท้ายก็ไม่กล้าก่อเรื่องประท้วง ราคาสินค้าทั้งหมดจึงถูกควบคุม
ราษฎรในและนอกเมืองหนิงโจว แต่ละคนต่างตบมือยินดี ราคาสินค้าลดลง คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็คือราษฎร ทุกคนย่อมดีใจ
เพราะเหตุนี้ ชาวในและนอกเมืองหนิงโจวไม่รู้จักซูจือฝู่ แต่ทุกคนรู้ว่าที่ทำการมีเซี่ยถงจือที่คิดเพื่อราษฎร
เพราะเรื่องนี้ทำให้ราษฎรเริ่มไว้ใจขุนนางที่ทำการว่าจะทำเพื่อราษฎร คนที่ถูกใส่ร้าย แต่ไม่กล้ามาฟ้องร้องที่ที่ทำการก็กล้ามาฟ้องร้องที่ทำการ พริบตาลูกหลานตระกูลใหญ่ทุกคนในเมืองหนิงโจวก็รู้จักสงบเสงี่ยมลงมาก ผู้ใดก็ไม่กล้าก่อเรื่องวิวาทกันส่งเดช
เห็นชัดว่าเมืองหนิงโจวมีความสงบสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน เซี่ยอวิ๋นจิ่นยุ่งกับการจัดระเบียบเมืองหนิงโจว ข้าวเจ้างอกที่เขากับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่หว่านก่อนหน้านี้งอกเป็นต้นกล้าแล้ว รอให้ต้นกล้าสูงขึ้น ก็จะเตรียมปักดำได้แล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปที่นาปักดำต้นกล้า ครั้งนี้ไม่ได้พาลู่เจียวมา ตอนนี้ร่างกายลู่เจียวน้ำหนักมากขึ้น ไม่เหมาะกับการนั่งรถม้ากระแทกไปมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นจึงได้พาลูกทั้งสี่ไปปักดำต้นกล้าคนเดียว
ข้าวเจ้าเติบโตได้ดีเหมือนกับข้าวสาลีฤดูใบไม้ร่วงที่จ้าวหลิงเฟิงปลูกที่อำเภอ มองออกไปไกลก็เห็นแต่ความเขียวชอุ่ม คนที่เพาะปลูกเป็นย่อมมองออกว่าข้าวสาลีนี้เติบโตได้ดีกว่าข้าวสาลีอื่น
ความจริงข้าวสาลีแบ่งออกเป็นข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิกับข้าวสาลีฤดูหนาว ข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิปลูกราวเดือนสามเดือนสี่ ข้าวสาลีฤดูหนาวปลูกเดือนเก้าเดือนสิบ แต่จ้าวหลิงเฟิงร้อนใจ คิดจะปลูกข้าวสาลีฤดูใบไม้ร่วงให้เลื่องลือไปไกลถึงเมืองหลวง ตบหน้ามารดาตนเอง[1]ที่เมืองหลวงเสียหน่อย
เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีชุดนี้ได้มาจากห้วงอากาศลู่เจียว แม้เพาะปลูกในฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่มีปัญหาอันใด ปลูกฤดูใบไม้ร่วง เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวได้ก็พอดีไว้ปลูกข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิเดือนสามเดือนสี่ปีหน้า
จ้าวหลิงเฟิงไม่ได้รอให้ข้าวสาลีเติบโตเรียบร้อย ก็ส่งสารไปเมืองหลวงรายงานอ๋องเยียน ว่าข้าวสาลีฤดูใบไม้ร่วงเพิ่มผลผลิตได้มาก
อ๋องเยียนนำเรื่องนี้ทูลต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้ดีพระทัยมาก รีบส่งขุนนางกรมคลังมาตรวจสอบ
พื้นที่ปลูกข้าวสาลีของจ้าวหลิงเฟิงอยู่ที่อำเภอเหอ อำเภอเหอห่างจากเมืองหลวงเพียงสามร้อยกว่าลี้
จ้าวหลิงเฟิงกินอยู่ที่ท้องนาเพื่อดูแลข้าวสาลีชุดนี้ทุกขั้นตอน
พอขุนนางกรมคลังมาถึง ได้ตรวจสอบแล้วก็พบว่าข้าวสาลีเติบโตได้อีกว่าข้าวสาลีที่อื่น ขุนนางกรมคลังรีบซักถามจ้าวหลิงเฟิงว่าปลูกอย่างไร จ้าวหลิงเฟิงตอบง่ายๆ ไปสองสามคำ นี่คือต้นทุนที่จะทำให้เขาได้กลับสู่เมืองหลวง เขาไม่มีทางบอกวิธีการเพาะปลูกทั้งหมดให้ขุนนางกรมคลังพวกนี้ได้รู้อย่างแน่นอน หากทำเช่นนี้ เขาจะกลับเมืองหลวงได้อย่างไร
ขุนนางกรมคลังตรวจสอบแล้วก็ให้การรับรองว่าข้าวสาลีที่เขาปลูกเพิ่มผลผลิตได้จริง ส่วนจะเพิ่มได้เท่าไร ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
ขุนนางกรมคลังกลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้ดีพระทัยมาก พระราชทานข้าวของจำนวนมากให้กับจ้าวหลิงเฟิง รับสั่งให้จ้าวหลิงเฟิงปลูกข้าวสาลีชุดนี้ให้ดี หากข้าวสาลีเพิ่มผลผลิตได้จริง ก็จะทรงพระราชทานรางวัลให้เขาอย่างงาม
จ้าวหลิงเฟิงดีใจมาก กินอยู่ที่โรงนาและยังต้องคอยป้องกันบรรดาพี่ชายน้องชายที่กำเนิดจากภรรยาเอกบิดาตนเองมาทำลายงานเขา เขายังสั่งให้คนไม่น้อยมาเฝ้าด้านนอกโรงนาไว้
โชคดีที่เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง คนจวนหย่งหนิงโหวไม่กล้าลงมือ กลับเป็นหย่งหนิงโหวบิดาจ้าวหลิงเฟิงส่งคนมาซักถามเขา ยังชมว่าบุตรชายเขาทำให้เขาพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย
จ้าวหลิงเฟิงมีสีหน้าไม่พอใจ เขาเลยวัยที่จะได้ยินคำชมของบิดาแล้วก็จะดีใจแล้ว
ตอนนั้นที่เขายังอยู่เมืองหลวง คิดอยากให้บิดาหาตำแหน่งให้เขาสักหน่อย บิดาเกรงมารดา จึงได้ปฏิเสธคำขอของเขา ความหมายของบิดาก็คือคิดให้เขาอยู่บ้านรอความตายไปวันๆ ถือสิทธิ์อันใดร้องขอตำแหน่ง
ต่อมาเขามาอยู่กับอ๋องเยียน อ๋องเยียนส่งเขาออกจากเมืองหลวงเพื่อให้ช่วยเขาหาเงินทอง เขาเองก็คิดเพียงแต่จะได้เป็นขุนนางผู้มีความชอบช่วยฮ่องเต้ขึ้นบัลลังก์ จากนั้นก็กลับเมืองหลวงอย่างสง่าผ่าเผยเท่านั้น ตอนนี้มีโอกาสนี้ ไยเขาไม่คว้าเอาไว้เล่า
[1] สมัยโบราณผู้ชายมีภรรยาหลายคน แต่บุตรอนุที่เกิดมาไม่อาจเรียกมารดาตนเองว่ามารดาได้ แต่ให้เรียกภรรยาเอกบิดาเป็นมารดา