ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 711 จิงจ้าวฝูอิ่นขุนนางระดับสี่
ตอนที่ 711 จิงจ้าวฝูอิ่นขุนนางระดับสี่
ลู่เจียวได้รับการชี้แนะจากเถียนซื่อก็ไม่ได้รู้สึกสลดลงดังเดิม ดึงเถียนซื่อไปดูสองแฝดกับนาง สองแฝดมังกรหงส์เพิ่งจะคลอดมาได้สามวัน ยังคงราวกับลูกแมวน้อย ยับย่นราวกับคนชราตัวน้อยๆ มองไม่ออกสักนิดว่าเหมือนผู้ใด
ลู่เจียวมองแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ “เด็กน้อยเกิดมาน่าเกลียดจริง”
เถียนซื่อไม่เห็นด้วย “อู่เป่ากับเย่ว์หยางามมากแล้ว เจ้าไม่เห็นเด็กคนอื่น คลอดมาน่าเกลียดจะแย่”
ลู่เจียวแปลกใจ “ยังมีเด็กที่น่าเกลียดกว่าพวกเขาอีกหรือ”
“เหตุใดไม่มี เด็กบางคนเกิดมาเหมือนคนชราแท้จริง เจ้าดูอู่เป่ากับเย่ว์หยาเรางามเพียงใด”
ลู่เจียวดูแล้วก็ยังคงดูไม่ออกว่าอู่เป่ากับเย่ว์หยางามตรงไหน
แต่ท่านแม่ตนกล่าวเช่นนี้ นางจะทำอย่างไรได้ ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
ตกค่ำ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมาก็บอกกับลู่เจียวเรื่องส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้าเข้าเมืองหลวง
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับจ้าวหลิงเฟิงไปว่า จะบอกว่าวิธีการผลิตปุ๋ยใส่ข้าวเจ้าเรียนมาจากเขา”
การผลิตปุ๋ยความจริงเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรียนรู้จากหนังสือของลู่เจียว แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่จับจ้องมากเกินไป เขายอมมอบความดีความชอบนี้ให้แก่จ้าวหลิงเฟิง
แม้ว่าทำเช่นนี้เหมาะสมดี แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังรู้สึกผิดต่อลู่เจียว เขาก้มลงกอดลู่เจียว
“เจียวเจียว ขอโทษ เรื่องยอดเยี่ยมเหล่านี้หากรวมอยู่ที่พวกเรา ก็จะเป็นที่ระแวงของฝ่าบาท ฝ่าบาทต้องเห็นพวกเราเป็นดังหนามตำตา ไม่แน่ยังจะคิดว่าพวกเราไม่เป็นผลดีต่อแคว้นต้าโจว ดังนั้นข้าได้แต่มอบความชอบกองโตให้ผู้อื่นไป”
ลู่เจียวเข้าใจความลำบากใจของเซี่ยอวิ๋นจิ่น “อืม ข้ารู้ เจ้าทำไปได้ตามสบาย ชื่อเสียงมายาน้อยหน่อยก็ดี ไม่ได้มีอันใด”
“อืม ไว้ข้านำเรื่องการขยายผลผลิตข้าวเจ้าขึ้นกราบทูล ฝ่าบาทต้องพระราชทานรางวัลให้ แต่ข้าจะบอกกับอ๋องเยียนว่า ตอนนี้พวกเราไม่เข้าเมืองหลวง ขอให้อ๋องเยียนช่วยพวกเราชะลอไว้ก่อน ข้าวางแผนว่าจะอยู่เมืองหนิงโจวผลักดันข้าวเจ้าก่อน ให้แต่ละพื้นที่ในเมืองหนิงโจวได้ปลูกข้าวเจ้าของพวกเราออกมากันก่อน”
“ได้ เจ้าวางใจทำไปเลย”
ลู่เจียวสนับสนุนให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นดำเนินการไปได้ตามสบาย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวไม่โทษเขา ในใจก็สงบลง วันรุ่งขึ้นก็รายงานเรื่องการขยายผลผลิตข้าวเจ้าต่ออ๋องเยียน อ๋องเยียนได้รับรายงานก็ดีใจมาก รีบเข้าไปกราบทูลเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้ดีพระทัยอย่างมาก แน่พระทัยว่าสวรรค์ปกป้องคุ้มครองแคว้นต้าโจว จึงได้มีข่าวดีติดต่อกันมาเช่นนี้
ฮ่องเต้ทรงคิดมีราชโองการเรียกตัวเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข้าเมืองหลวงในทันที แต่ถูกอ๋องเยียนทูลห้ามไว้ อ๋องเยียนทูลฮ่องเต้ว่า เซี่ยอวิ๋นจิ่นต้องการผลักดันเรื่องการปลูกข้าวเจ้าที่เมืองหนิงโจวก่อน ให้ทั้งเมืองหนิงโจวปลูกข้าวเจ้าเช่นนี้
ฝ่าบาททรงดีพระทัยอย่างที่สุด ตรัสชื่นชมขุนนางเซี่ยจงรักภักดีน่าชื่นชม แม้ว่าไม่ได้เรียกตัวเขากลับเมืองหลวง แต่ก็พระราชทานสิ่งของจำนวนมากไปยังเมืองหนิงโจว และยังตรัสกับที่ประชุมขุนนาง เรื่องนี้ทำให้บรรดาขุนนางราชสำนักพากันตกตะลึง แต่ละคนแน่ใจว่าสวรรค์คุ้มครองแคว้นต้าโจว แรกเริ่มก็จ้าวหลิงเฟิงขยายผลผลิตข้าวสาลี ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ขยายผลผลิตข้าวเจ้า เป็นลางแห่งมงคล
รัชศกหรงไท่ที่สี่สิบแปด ฮ่องเต้มีราชโองการให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ถงจือเมืองหนิงโจวเข้าเมืองหลวงเป็นจิงจ้าวฝูอิ่น[1]ระดับสี่
เมืองหนิงโจวจวนตระกูลเซี่ย ลู่เจียวตัดใจไปจากจวนที่ตนเองอยู่มาเกือบเจ็ดปีไม่ได้ นางตัดใจไปไม่ได้จริงๆ
ถูกต้อง พวกเขาอยู่เมืองหนิงโจวมาเกือบเจ็ดปีแล้ว สามปีก่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้มาดำรงตำแหน่งถงจือเมืองหนิงโจว พอซูจือฝู่ครบวาระ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้เป็นจือฝู่ระดับห้า
เวลาเกือบเจ็ดปีที่เขาอยู่ในตำแหน่งจือฝู่ ทำงานเพื่อราษฎรเมืองหนิงโจวเป็นที่เลื่องลือ ชาเมืองหนิงโจวขายดีไปทั่วแคว้นต้าโจว เกลือเมืองหนิงโจวก็ทั้งขาวทั้งละเอียด ข้าวเจ้าเมืองหนิงโจวก็มีชื่อไปทั่วแคว้นต้าโจว สมุนไพรเมืองหนิงโจวก็มีชื่อเช่นกัน แต่ละพื้นที่ในเมืองหนิงโจวก็พลันเต็มไปด้วยราษฎรใช้ชีวิตในพื้นที่อุดมสมบูรณ์แดนใต้ ทุกคนล้วนร่ำรวยกินดีอยู่ดี
ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นจือฝู่เมืองหนิงโจวผลักดันส่งเสริม ราษฎรเมืองหนิงมักพูดกันทั่วไปว่าใต้เท้าจือฝู่ทุ่มเทเพื่อประชาเพียงใด ใต้เท้าจือฝู่มือสะอาดเพียงใด
ฝ่าบาทมีราชโองการให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับเข้ารับตำแหน่งในเมืองหลวง ชาวเมืองหนิงโจวรู้เรื่องนี้ก็รีบพากันมารวมตัวกันด้วยตนเอง เตรียมจัดทำร่มหมื่นราษฎร์[2]มอบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ก็ห้ามไว้ บอกกับชาวบ้านว่า พวกเขามีชีวิตที่ดีเช่นนี้ได้ล้วนเป็นเพราะพระเมตตาฝ่าบาท ฝ่าบาททรงให้โอกาสเขา เขาจึงได้ดำเนินการราบรื่น ดังนั้นพวกเขาจะขอบคุณก็ให้ขอบพระทัยฝ่าบาท
ราษฎรเมืองหนิงพอได้ฟัง รีบร่วมลงชื่อจัดทำร่วมหมื่นราษฎร์ให้ฝ่าบาท ขอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นตัวแทนนำร่มไปถวายแด่ฝ่าบาทที่เมืองหลวง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นย่อมเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างยินดียิ่ง
ณ ตระกูลเซี่ย ลู่เจียวกำลังดูแลให้คนเก็บของ “เข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เกรงว่าคงยากกลับมาอีก ดังนั้นของที่นำไปด้วยได้ ก็ให้นำไปทั้งหมด ติงเซียง เจ้าคอยดูของพวกนี้หน่อย ต้องวางเบาๆ ระวังแตกหัก”
ในความเป็นจริงของมีค่าและเงินทองในบ้าน ลู่เจียวเก็บเข้าไปในห้วงอากาศหมดแล้ว แต่ก็ยังมีของไม่น้อยอยู่ นางสั่งการให้ติงเซียงเก็บของ
เวลาเจ็ดปี ติงเซียงกลายเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่ทำงานมีประสิทธิภาพ รับคำแล้วก็ออกไปจัดการเรื่องพวกนี้
ลู่เจียวหันหลังออกไปดูเย่ว์หยาเก็บของถึงไหนแล้ว
ปีนี้เย่ว์หยาเจ็ดขวบแล้ว ลู่เจียวให้นางจัดการเรื่องส่วนตัวของนางหลายเรื่องด้วยตนเอง ครั้งนี้ทั้งครอบครัวกลับเมืองหลวง ลู่เจียวก็ให้นางจัดการเก็บของตนเอง
เพียงแต่ลู่เจียวเพิ่งจะก้าวพ้นจากห้อง เงยหน้ามาก็เห็นคุณชายหนุ่มน้อยรูปงามสี่คนกำลังเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม
แฝดสี่เติบโตเป็นคุณชายน้อยอายุสิบสาม ปีนี้ได้เข้าร่วมการสอบเมืองหนิงโจว ทั้งสี่คนสอบซิ่วไฉได้อย่างไม่เหนือความคาดหมาย แต่บุตรชายคนโตเซี่ยวเหวินเหยาสอบได้เป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหนิงโจว ที่เหลืออีกสามคนสอบได้ลำดับสูงมากเช่นกัน
แต่เอ้อร์เป่า ซานเป่าและซื่อเป่าไม่ได้มุ่งมั่นกับการสอบเป็นขุนนาง ทั้งสามคนไม่คิดเดินไปบนเส้นทางแห่งการสอบเคอจวี่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็ตามใจพวกเขา
ครั้งนี้ทั้งครอบครัวเข้าเมืองหลวง บุตรชายรองเซี่ยเหวินเจียไม่ได้ติดตามพวกเขาไปเมืองหลวงด้วย เซี่ยอวิ๋นจิ่นมอบเขาให้แม่ทัพเกิ่ง ให้เขาไปเป็นพลหทารในกองทัพ
เจ็ดปีผ่านไป เซี่ยเหวินเจียไม่ได้ล้มเลิกปณิธานในตอนนั้น ยืนยันจะเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพ จากนั้นก็จะเป็นแม่ทัพ
เจ็ดปีมานี้เขาทุ่มเทความพยายามมากมาย ไม่เพียงแต่ฝึกยุทธ์อย่างหนัก ยังศึกษาตำราพิชัยสงครามอย่างหนักอีกด้วย เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นพยายามของเขาเช่นนี้ ก็รู้ว่าเขามุ่งมั่นอย่างมาก จึงปล่อยเขาได้ทำตามใจตนเอง
เพียงแต่พอคิดถึงว่าต้องทิ้งเขาไว้ที่ค่ายทหารเพียงคนเดียว ในใจลู่เจียวก็รู้สึกปวดร้าว เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งอายุแค่สิบสาม
เด็กหนุ่มอายุสิบสามงามสง่าผึ่งผาย
“เหวินเจีย หากเจ้าอยู่ค่ายทหารแล้วคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่และพี่น้อง ก็เขียนจดหมายมาเมืองหลวง ถึงตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ก็จะตอบจดหมายเจ้า พวกเราจะส่งของกินและเสื้อผ้าให้เจ้าด้วย”
เซี่ยเหวินเจียมองดูก็รู้ว่ามารดาอาลัยอาวรณ์เขา เขาเดินเข้าไปกอดลู่เจียวออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจะดูแลตนเองให้ดี พอข้าไปถึงค่ายแม่ทัพเกิ่ง จะต้องส่งจดหมายไปบอกพวกท่านอย่างแน่นอน”
[1] ขุนนางในส่วนภูมิภาคมีตำแหน่งรวมเรียกว่าซานฝู่ ประกอบด้วย จิงจ้าวอิ่น สั่วเฝิงอี้ และโย่วฝูเฟิง ตำแหน่งจิงจ้าวอิ่นเทียบได้กับผู้ว่าเมืองในปัจจุบัน
[2] ตามธรรมเนียม เมื่อขุนนางท้องถิ่นไปรับตำแหน่งพื้นที่อื่น ชาวบ้านในพื้นที่จะจัดทำร่มผ้าทรงกลมคล้ายฉัตรให้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งใจที่ขุนนางเป็นร่มปกป้องภัยให้แก่ชาวบ้าน ยิ่งได้รับร่มมากก็ยิ่งแสดงว่าเป็นที่รักของชาวบ้าน