ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 712 เด็กหนุ่มรูปงาม
ตอนที่ 712 เด็กหนุ่มรูปงาม
ลู่เจียวพยักหน้า ยื่นมือไปลูบหลังเขา “อยู่ค่ายทหาร ต้องฟังคำสั่งแม่ทัพเกิ่งรู้ไหม อย่าได้ถือว่าตนเองฉลาดก็จะมองข้ามหัวผู้อื่น ในคนสามคนย่อมมีอาจารย์ของเรา[1] ดังนั้นต้องรับฟังความคิดผู้อื่น คนพวกนั้นแม้ว่าไม่ได้เรียนมามากเหมือนเจ้า ไม่ได้ฉลาดเหมือนเจ้า แต่เขาก็มีประสบการณ์แท้จริง เข้าใจหรือไม่”
เซี่ยเหวินเจียพยักหน้าเต็มแรง “ท่านแม่ ท่านวางใจได้ ข้าจดจำไว้แล้ว”
สองแม่ลูกกำลังคุยกัน ต้าเป่า ซานเป่า ซื่อเป่าต่างมองออกว่าในใจมารดารู้สึกเศร้า ต้าเป่ามองซานเป่า ซานเป่าเดินเข้าไปโอบไหล่ลู่เจียว กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าได้เป็นห่วงเอ้อร์เป่า ข้ามีเวลาจะไปเยี่ยมเขาเอง”
หลายปีมานี้ซานเป่าติดตามเรียนวิชาการแพทย์จากลู่เจียว ตอนลู่เจียวไม่มีเวลา เขาก็จะติดตามฉีเหล่ยไปทั่วทุกแห่ง เรียนวิชาแพทย์จำเป็นต้องออกเก็บสมุนไพร ดังนั้นเขากล่าววาจานี้ได้ไม่ผิด
ต้าเป่ากับซื่อเป่าได้ฟังคำพูดซานเป่าก็เดินเข้ามาพร้อมกัน “ท่านแม่ ถึงตอนนั้นพวกเราคิดถึงเอ้อร์เป่า ก็ไปเยี่ยมเขาได้”
ลู่เจียวมองบุตรชายทั้งสี่ข้างกายแล้วก็ยิ้มออก
“ได้ แม่รู้แล้ว”
ทุกคนเห็นลู่เจียวยิ้มได้ในที่สุด ก็พากันยิ้มขึ้นพร้อมกัน
ต้าเป่ายิ้มทีก็หล่อเหลาน่าตะลึงเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่นตอนหนุ่ม เขาหน้าตาเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ไม่ได้เย็นชาเก็บตัวแบบเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขามีกิริยาท่าทางราวกับต้นไผ่งามสง่า[2] ทั้งยังแฝงกลิ่นอายบัณฑิต แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนพวกหนอนหนังสือ แต่กลับมีสง่าทรงภูมิรอบรู้ เป็นดังไผ่เขียวสง่างามแท้จริง
สองปีมานี้ ยิ่งเขาเติบโตขึ้น ยามเดินออกไปข้างนอกก็จะเป็นดังบุตรเขยแห่งแผ่นดินของบรรดาเด็กสาวในเมืองหนิงโจว แต่ละคนพอเห็นเขาก็หน้าแดง
ตอนเด็กเอ้อร์เป่ากับซานเป่าหน้าตาเหมือนกันมาก แต่พอโตขึ้นมา กลับมีนิสัยต่างกันทำให้ตอนนี้แตกต่างกันออกไปเล็กน้อย เพราะเอ้อร์เป่าฝึกยุทธ์ประจำ ทำให้ดูเข้มแข็ง คิ้วดาบคมเข้มและแววตาส่องประกายวาว กิริยาท่าทางการเคลื่อนไหวก็ล้วนดูคล่องแคล่วสง่างาม
ส่วนซานเป่าเรียนวิชาแพทย์ กอปรกับสองปีมานี้ติดตามฉีเหล่ยไปทั่ว แววตาก็มีความอ่อนโยนในแบบฉีเหล่ย เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสนิทสนม กอปรกับเขาหน้าตาดี ไปที่ใดก็ได้รับการต้อนรับจากผู้อื่นอยู่เสมอ เขาอยู่เมืองหนิงโจวเป็นหมอที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ผู้คนเรียกเขาว่าหมอเซี่ยน้อย
ขอเพียงเอ่ยถึงหมอเซี่ยน้อยมา เด็กหญิงสามขวบก็จะหยุดร้องไห้ รอให้เขามาดูอาการให้
ส่วนในบรรดาแฝดสี่ ซื่อเป่าหรือเซี่ยเหวินอวียิ่งโตก็ยิ่งแลดูงามประณีต เรียวตาดอกท้อเปี่ยมเสน่ห์ ยามมองผู้คน ก็ทำให้คนใจเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล นับประสาอันใดกับเขาไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังปากหวาน วาจาที่กล่าวออกมาล้วนหวานปานน้ำผึ้ง หญิงชราอายุแปดสิบเห็นเขายังดึงมือเขาไปถามว่าหมั้นหมายแล้วหรือยัง จะมอบหลานสาวตนเองให้เป็นภรรยาเขา
หลายปีมานี้เซี่ยเหวินอวีมุ่งมั่นกับการทำการค้า แม้ว่าอายุเพียงสิบสามปี แต่ได้ขยายร้านค้าเล็กๆ ในตอนนั้นให้เป็นร้านค้ามีชื่อในแคว้นต้าโจว ไม่เพียงแต่เมืองหนิงโจว แม้แต่สตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงต่างนิยมชมชอบเครื่องแต่งกายที่เขาออกแบบ ร้านเครื่องแต่งกายนี้เป็นร้านที่รวมเอาเครื่องประดับ ชุดเสื้อผ้าพร้อมการแต่งหน้าที่เข้าชุดกัน เครื่องประดับและเสื้อผ้าในร้านออกแบบมาเป็นชุดโดยเจ้าของร้านเอง ขอเพียงชุดใหม่ออกวางขาย ก็จะกลายเป็นสินค้าใหม่ที่บรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหนิงโจวกับเมืองหลวงต่างแบ่งกันซื้อ น่าเสียดายว่าสินค้าใหม่แต่ละชุดทำเพียงสิบชุด ขายหมดก็หมด ค่อยรอแย่งซื้อชุดถัดไป
แม้ว่าของในร้านจะแพงจนน่าตกใจ แต่ก็ยังคงมีนิยมชมชอบแย่งกันซื้อหา
แน่นอนว่าไม่มีคนรู้ว่าเจ้าของร้านนี้ถึงกับเป็นบุตรชายของเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวที่อายุเพียงแค่สิบสาม
ทุกครั้งที่ลู่เจียวคิดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดดี บุตรชายข้า เจ้าเป็นถึงท่านชายจวนอ๋องเยียน ว่าที่องค์ชายในวันหน้า ทำเช่นนี้จะดีหรือ
ลู่เจียวตัดสินใจว่ากลับไปเมืองหลวงครั้งนี้ นางจะให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นบอกชาติกำเนิดซื่อเป่ากับอ๋องเยียน ไม่สิ ตอนนี้เป็นรัชทายาทแล้ว
อ๋องเยียนสร้างความชอบไม่หยุดจากทั้งข้าวสาลี ข้าวเจ้า เกลือขาวและอิฐแดง จึงได้รับการสนับสนุนจากขุนนางราชสำนัก มั่นใจว่าเขาเป็นตัวเลือกรัชทายาทที่เพียบพร้อมสำหรับแคว้นต้าโจว เพราะอ๋องเยียนไม่เพียงแต่ทุ่มเทเพื่อราษฎร ยังใจคอกว้างขวาง เพราะเขาให้การสนับสนุนผู้มีความสามารถ จึงได้ทำให้มีสิ่งของประดิษฐ์คิดค้นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องมากมายเช่นนี้ ดังนั้นอ๋องเยียนจึงเป็นองค์ชายรัชทายาทที่เหมาะสมที่สุดของแคว้นต้าโจว
เริ่มแรกฮ่องเต้เองก็ทรงลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินพระทัยแน่วแน่ หลังจากขุนนางราชสำนักมีฎีกาเสนอสองครั้งก็มีราชโองการแต่งตั้งอ๋องเยียนเป็นรัชทายาทแห่งแคว้นต้าโจว ตอนนี้อ๋องเยียนก็คือองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นต้าโจวแล้ว
ซื่อเป่าเป็นบุตรชายองค์ชายรัชทายาท พวกเขาก็ควรให้เขาได้รู้ชาติกำเนิดตนเอง เรื่องนี้ควรให้รัชทายาทมีส่วนตัดสินใจ
ลู่เจียวกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ซื่อเป่าเห็นนางเอาแต่จ้องมองเขา ก็ยื่นมือไปไปกอดแขนลู่เจียวออดอ้อนขึ้นว่า “ท่านแม่ บุตรชายท่านแม่ผู้นี้ทำให้ท่านแม่หลงใหลใช่หรือไม่ รู้สึกว่าข้ารูปงามกว่าเดิมอีกหลายเท่าใช่หรือไม่”
ใช่แล้ว คุณชายซื่อเป่าเป็นคนหลงตัวเอง
ลู่เจียวยื่นมือไปบีบแก้มเขาทีหนึ่ง “ใช่ แม่ใกล้ถูกบุตรชายท่านแม่ทำเอาหลงใหลไม่อาจถอนตัวแล้ว คิดถึงว่าที่สะใภ้จะได้ยึดครองบุตรชายรูปงามแสนน่ารักของแม่แล้ว แม่ก็อิจฉายิ่ง”
ซื่อเป่าหัวเราะดังลั่น “ท่านแม่ แม้ข้าแต่งภรรยา ท่านแม่ก็เป็นที่หนึ่งในใจข้าเสมอ ข้าจะไม่ให้ภรรยายึดครองที่หนึ่งในใจข้าไปคนเดียว ”
วาจาซื่อเป่าทำเอาลู่เจียวรู้สึกขำ เด็กหนุ่มสามคนข้างกายเองก็หัวเราะตามไปด้วย
นอกจากเด็กหนุ่มสี่คน ยังมีเงาร่างตัวเล็กเบียดอยู่ด้วย กว่าจะเบียดตัวเข้ามาได้ก็ไม่ง่าย “ท่านแม่ ข้าไม่แต่งภรรยา ข้าจะอยู่กับท่านแม่ไปชั่วชีวิต”
คนที่เบียดตัวเข้ามาก็คืออู่เป่าน้อย ที่ถูกพ่อลูกรังเกียจใส่ในตอนนั้น ปีนี้อู่เป่าน้อยอายุเจ็ดขวบ หน้าตาผสมกันระหว่างเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว มองคราแรกเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่มองให้ละเอียดก็รู้สึกว่าเขาเหมือนลู่เจียว สรุปก็คือเป็นเด็กน้อยน่ารักงดงามคนหนึ่ง
อู่เป่าน้อยนิสัยเหมือนต้าเป่ามาก ชอบเรียนหนังสือ ดังนั้นในบรรดาแฝดสี่ เขาจึงชอบต้าเป่าที่สุด ต้าเป่าเองก็ชอบเขา เพราะสองพี่น้องชอบเรียนหนังสือเหมือนกัน อยู่ด้วยกันก็มีหัวข้อสนทนา
แม้ว่าอู่เป่าน้อยไม่อาจจดจำภาพตอนเพิ่งคลอดได้ แต่ในใจเขาคล้ายรู้ว่าบิดาและพี่ชายเคยนึกรังเกียจเขา ปกติจึงไม่ค่อยใกล้ชิดบิดาและพี่ชาย แต่ที่เขาชอบที่สุดก็คือตามติดลู่เจียวผู้เป็นมารดา
“ท่านแม่ ท่านวางใจ วันหน้าพวกพี่ๆ แต่งภรรยาแล้ว ข้าไม่แต่ง จะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่”
คุณชายน้อยห้ากล่าวจบ พี่น้องรอบกายก็พากันแย่งเอ่ยขึ้นว่า “น้องห้าเกินไปแล้วนะ เหตุใดให้พี่ชายแต่งภรรยา แล้วเจ้าไม่แต่ง เจ้าคิดยึดครองท่านแม่ไว้คนเดียวหรือ”
“ท่านแม่เป็นของทุกคน ไม่ใช่ของเจ้าคนเดียว ไม่ให้เจ้ายึดครองคนเดียว”
“ตอนนี้เจ้าพูดได้น่าฟัง รอไว้โตอีกหน่อยก็ไม่ใช่เช่นนี้แล้ว ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นเจ้าอาจวิ่งมาบอกท่านแม่ว่าจะแต่งภรรยาแล้วก็เป็นได้”
ซื่อเป่ากล่าวจบ อู๋เป่าก็เอ่ยค้าน “ข้าไม่ ข้าไม่แต่งภรรยา ข้าจะอยู่กับท่านแม่”
ซื่อเป่ายังคิดหยอกอู่เป่า ลู่เจียวผลักซื่อเป่าอย่างไม่พอใจ “อย่าล้อเขา”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ นอกประตูก็มีเสียงหยกประดับดังมา ตามมาด้วยเสียงเคลื่อนไหว เย่ว์หยาบุตรสาวฝาแฝดอายุเจ็ดขวบกำลังเดินเข้ามา
สาวน้อยเย่ว์หยาหน้าตาเหมือนลู่เจียว เรียวตาเมล็ดซิ่ง จมูกจิ้มลิ้ม ริมฝีปากราวลูกอิงเถา แต่งกระโปรงไหมหลัวฉวินสีชมพูอ่อน เกล้ามวยสองข้าง สองมวยยังปักดอกไม้สีแดงอ่อน ใบหน้าขาวละมุนส่องประกายด้วยรอยยิ้มสดใส พอนางเดินเข้ามาก็ยิ้มตาหยีถามว่า “พวกพี่ๆ เก็บของกันเสร็จแล้วหรือ”
บรรดาพี่ชายเห็นนางก็ดีใจ พากันลุกมารอรับ ซานเป่ากับซื่อเป่าเข้าไปจับจูงมือนางซ้ายขวา ถามอย่างห่วงใยว่า “เย่ว์หยาเก็บของเสร็จแล้วหรือ หากยังไม่เสร็จ พี่สามไปช่วยเจ้าเก็บ”
“หลิงหลง เจ้าเหนื่อยหรือไม่ พี่สี่เทน้ำผึ้งให้เจ้าดื่ม”
ซื่อเป่าเรียกเย่ว์หยาว่าหลิงหลง เพราะชื่อนี้เขาตั้ง
อู่เป่าน้อยด้านหลังเห็นน้องสาวฝาแฝดเป็นที่ต้อนรับของพี่ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่กลับดีใจมาก ตนเองจะได้ยึดครองท่านแม่คนเดียว
เขายื่นมือไปกอดแขนลู่เจียว เขยิบเข้าไปกระซิบข้างหูลู่เจียวว่า “ท่านแม่ ข้ามีอะไรบอกท่านแม่ วันหน้าข้าจะไม่แต่งภรรยา จะอยู่กับท่านแม่”
[1] คำสอนของขงจื่อ หมายความว่า อย่าได้คิดว่าตนเองเก่งแต่เพียงผู้เดียว
[2] ต้นไผ่เขียวเปรียบดังวิญญูชนที่ถ่อมตน ทรงภูมิและงามสง่า