ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 735 ทำร้าย
ตอนที่ 735 ทำร้าย
ลู่เจียวส่ายหน้า “อย่าเสี่ยงดีกว่า ข้าได้ยินว่าสองปีมา พระอารมณ์ฝ่าบาทแปรเปลี่ยนยากคาดเดา แม้แต่รัชทายาทก็มักโดนตำหนิอยู่บ่อยๆ”
พูดไปพูดมา ก็เพราะอายุมากแล้ว สุขภาพไม่ได้การแล้ว ความระแวงต่างๆ ก็กำเริบ กลัวบุตรชายชิงอำนาจ กลังขุนนางไม่ภักดี หากมีเหตุเพียงแค่ลมพัดผ่านยอดหญ้าก็จะหวาดระแวงขึ้นมาทันที
ลู่เจียวไม่อยากให้นายผู้เฒ่าฉีโดนฝ่าบาทระแวงเพราะเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่เขา แม้แต่ตระกูลฉีก็จะประสบเหตุเภทภัยไปด้วย
“เรื่องนี้ไม่อาจร้อนใจ ต้องหาโอกาสที่เหมาะสมค่อยกราบทูล”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ครุ่นคิด หากรอต่อไป โอกาสก็คงไม่มาถึง คงต้องรอให้รัชทายาทขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจวค่อยเอ่ยเรื่องนี้
รัชทายาทผู้นี้ทรงปรีชายิ่ง หากนางทูล เขาน่าจะเห็นด้วย
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็เปลี่ยนประเด็นคุย ถามนายผู้เฒ่าฉีว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินฉีเหล่ยบอกว่า ครั้งนี้เขากลับเมืองหลวงมาก็ต้องแต่งงานแล้ว กำหนดวันที่เท่าไรไว้หรือ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ นายผู้เฒ่าฉีก็นึกได้ว่าวันนี้มาทำไม นอกจากถามลู่เจียวเรื่องตั้งสำนักยาหลวง ยังนำเทียบเชิญมามอบให้อีกด้วย
“อีกสามวัน ข้าจะนำเทียบเชิญมาให้เจ้า”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะได้พบฮูหยินฉีแล้ว ให้นางนำมาให้ข้าได้”
นายผู้เฒ่าฉียิ้มได้ใจ กล่าวว่า “เจ้าเป็นแขกคนสำคัญตระกูลฉีข้า เทียบเชิญนี้ย่อมต้องข้ามอบให้เจ้าด้วยตนเองจึงจะล้ำค่า”
เพราะฉีเหล่ยติดตามเรียนวิชาจากลู่เจียว ตอนนี้วิชาการแพทย์เขาลุ่มลึกกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่เพียงแต่มีวิชาการแพทย์แบบจีนยิ่งร้ายกาจ แม้แต่ฝีมือการผ่าตัดก็ยังดีมาก
คนตระกูลฉีซาบซึ้งใจลู่เจียวอย่างมาก อาจารย์สอนศิษย์มักมีเก็บงำเคล็ดลับ แต่ลู่เจียวตรงกันข้าม นางแทบจะสอนทุกอย่าง ทำให้วิชาการแพทย์ฉีเหล่ยพัฒนาขึ้นอย่างมาก
ลู่เจียวเดิมเลื่อมใสคนเช่นฉีเหล่ย ออกเดินทางเฟ้นหาผู้ป่วยไปทั่วแคว้นต้าโจวเพื่อพัฒนาความรู้ทางการแพทย์ นอกจากรักษาให้ผู้อื่นแล้วยังได้ฝึกฝนวิชาการแพทย์ตนเองด้วย
เขาประสบความสำเร็จได้ ลู่เจียวไม่แปลกใจแม้สักนิด เพียงแต่อายุเขามากเกินไป ปีนี้ยี่สิบเก้าแล้ว ตอนนี้จะใกล้สามสิบแล้ว คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาต่างก็มีลูกรอแต่งสะใภ้กันแล้ว ส่วนเขาเพิ่งจะแต่ง
“ได้ อีกสามวันข้าจะไปอย่างแน่นอน”
นายผู้เฒ่าฉีพยักหน้าอย่างดีใจ ถามลู่เจียวถึงเรื่องของเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ตำแหน่งจิงจ้าวฝูอิ่นเป็นยาก เมื่อก่อนจิงจ้าวฝูอิ่นโดนลงโทษไปไม่น้อย แม้แต่คนก่อนหน้าอวิ๋นจิ่นก็ถูกฝ่าบาททรงปลดเป็นสามัญชน ในเมืองหลวงมีแต่ชนชั้นสูงศักดิ์และขุนนางทรงอำนาจ ตระกูลพวกเขาเรื่องมาก และยังชอบใช้อำนาจข่มผู้อื่น หากเจ้าล่วงเกินพวกเขา พวกเขาต้องหาเรื่องเจ้าแน่ เจ้าไม่ล่วงเกินพวกเขา เจ้ากรมตรวจการก็จะยื่นฎีกาเจ้า ว่าเจ้าหวาดกลัวกลุ่มอำนาจ ไม่ทำงานเพื่อราษฎร ไม่เหมาะกับตำแหน่งจิงจ้าวฝูอิ่น”
“แต่ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งทดสอบที่ดี หากอยู่ในตำแหน่งจิงจ้าวฝูอิ๋นได้ดี วันหน้าย่อมได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท”
ลู่เจียวเข้าใจว่านี้เป็นเภทภัยและวาสนาที่มาพร้อมกัน แต่ตอนเซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งสอบจ้วงหยวนได้ ไปอยู่ หนิงโจวในช่วงเวลาหลายปีนั้นก็รับมือเจ้าถิ่นได้ เขามีวิธีรับมือในแบบของตนเองแล้ว เชื่อว่าเขาจะทำได้ดี
ลู่เจียวคิดไปก็กล่าวไปว่า “พวกเราจะระมัดระวัง นายผู้เฒ่าวางใจได้”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ ข้ากลับละ อีกสามวันมากินเลี้ยงที่ตระกูลฉีนะ”
“ได้”
ลู่เจียวเพิ่งจะส่งนายผู้เฒ่าฉีไป คนตระกูลหลิวก็มา ผู้ที่มาก็คือหลิวจื่อเหยียน หลิวจื่อเหยียนในปีนั้นสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาเข้าดำรงตำแหน่งในสำนักฮั่นหลินย่วน หลายปีมานี้ก็ดำรงตำแหน่งมั่นคง จากตำแหน่งอารักษ์ระดับหกในปีนั้นได้เลื่อนเป็นขุนนางระดับห้า
ตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่มน้อยสำอางรูปงามแล้ว กิริยาท่าทางก็อ่อนโยนในแบบฉบับของบัณฑิตทรงภูมิ เพียงแต่แววตาเขามีความอึมครึมบางๆ ฉาบอยู่
ลู่เจียวเห็นเขาเช่นนี้ก็อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “เจ้ามีเรื่องกลัดกลุ้มอันใด บอกพี่ได้หรือไม่”
หลิวจื่อเหยียนมองลู่เจียวกล่าวว่า “พี่เจียว หลายปีมานี้ข้าในที่สุดก็สืบเรื่องหนึ่งมากระจ่างแล้ว ในปีนั้นมารดาข้าถูกอู่ซูทำร้ายจนตาย ท่านพ่อข้าพบแผนการของอู่ซูนานแล้ว แต่เขาก็แอบยอมรับเรื่องนี้เพื่ออนาคตราชการของตนเอง”
กล่าวจบเขาเหมือนหมดเรี่ยวแรงล้มลงนั่งบนเก้าอี้
การที่หลิวจื่อเหยียนอยู่สำนักฮั่นหลินย่วนในเมืองหลวงต่อก็เพื่อสืบความจริงเรื่องการตายของมารดาในปีนั้น เริ่มแรกเขานิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่สองปีก่อนก็เริ่มสืบเรื่องนี้ อู่ซูกับหลิวโส่วฝู่ย่อมคิดไม่ถึงว่าเขาจะสืบเรื่องในปีนั้น ปรากฏเขาสืบพบแล้ว
ลู่เจียวได้ฟังหลิวจื่อเหยียน ก็เสียใจไปกับเขาด้วย คิดไม่ถึงว่าในปีนั้นมารดาเขาถึงกับถูกอู่ซูหรือท่านหญิงหลันหยางจวิ้นจู่ทำร้ายจนตาย ในเรื่องนี้ที่ควรเจ็บแค้นที่สุดก็คือหลิวโส่วฝู่ หากไม่ใช่เขาแอบยอมรับเงียบๆ อู่ซูจะกล้าทำเช่นนี้หรือ
ดังนั้นพูดไปพูดมาล้วนเป็นชายชั่ว ผู้ชายแล้งน้ำใจเกินไป สังหารภรรยาเพื่อเส้นทางอนาคต
“เจ้าวางแผนทำเช่นไร”
“เดิมข้าจะส่งคำร้องไปที่กรมอาญา เกรงว่ากรมอาญาไม่รับ อู่ซูเป็นบุตรีอ๋องผิงหลิง ยังเป็นฮูหยินโส่วฝู่แห่งคณะมนตรี ข้ากลัวว่ากรมอาญาไม่รับคำร้อง หากข้าส่งไปแล้วกรมอาญาไม่รับ แต่กลับแอบบอกหลิวโส่วฝู่กับอู่ซู เช่นนี้ข้าจะฟ้องอู่ซูอีกก็ยากแล้ว”
“ที่ทำให้ข้าคิดไม่ถึงก็คือพี่เขยถึงกับกลับเข้าเมืองหลวงมาดำรงตำแหน่งจิงจ้าวฝูอิ่นประจำเมืองหลวง ดังนั้นข้าคิดส่งคำร้องไปที่ศาลจิงจ้าว”
คดีในเมืองหลวงล้วนส่งไปที่ศาลจิงจ้าว เพียงแต่หากเป็นจิงจ้าวฝูอิ่นปกติย่อมไม่รับคดีนี้ เพราะคดีนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวพันถึงจวิ้นอ๋อง แต่ยังเกี่ยวพันถึงขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก จิงจ้าวฝูอิ่นปกติรับคดีเช่นนี้ก็จะรีบผลักออก ให้เจ้าทุกข์ไปร้องที่กรมอาญา คดีเช่นนี้ส่งไปกรมอาญาจึงจะเหมาะสม
หลิวจื่อเหยียนรู้ว่าส่งไปกรมอาญาย่อมไม่ได้ ตอนนี้ความหวังเขาอยู่ที่เซี่ยอวิ๋นจิ่น
หลิวจื่อเหยียนยิ่งคิดขอบตาก็ยิ่งแดง สุดท้ายก็มองลู่เจียวน้ำตาคลอหน่วย “พี่เจียว ช่วยข้าได้หรือไม่”
ลู่เจียวมองหลิวจื่อเหยียนกล่าวว่า “ท่านปู่ท่านย่าเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”
หลิวจื่อเหยียนรีบกล่าวว่า “ข้าส่งท่านปู่ท่านย่ากลับไปบ้านเดิมแล้ว พวกเขาอยู่เมืองหลวงก็โดนอู่ซูรังแกมาตลอด ดังนั้นสามเดือนก่อน ข้าจึงเกลี้ยกล่อมให้พวกเขากลับบ้านเดิมไปก่อน”
ดูท่าหลิวจื่อเหยียนตัดสินใจแล้วว่าจะฟ้องอู่ซู ฟ้องอู่ซูย่อมต้องส่งผลกระทบต่อหลิวโส่วฝู่ หลิวจื่อ เหยียนเกรงว่าท่านปู่ท่านย่ารู้เรื่องนี้แล้วจะเสียใจ ดังนั้นจึงส่งพวกท่านกลับบ้านเดิมไปก่อน
ลู่เจียวได้ฟังหลิวจื่อเหยียนก็จ้องมองเขากล่าวว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะฟ้องร้องมารดาเลี้ยงตนเองหรือ นางเป็นมารดาเลี้ยงเจ้า แต่นางก็เป็นผู้อาวุโสเจ้าด้วย หากเจ้าฟ้องนาง เกรงว่าจะทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์ อีกอย่างบิดาเจ้าก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย หากไม่ระมัดระวังให้รอบคอบก็จะทำลายเขาจนสูญเสียตำแหน่งโส่วฝู่ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะไม่ใช่คุณชายจวนโส่วฝู่แล้ว แต่เป็นขุนนางระดับห้าธรรมดา”
หลิวจื่อเหยียนยิ้ม แต่แววตาเย็นเยียบยากบรรยาย
“ข้าต้องทวงความยุติธรรมให้ท่านแม่ข้า หากข้าผู้เป็นบุตรชายไม่ทวงความยุติธรรมให้นาง เช่นนั้นข้ายังมีหน้าลอยชายอยู่บนโลกนี้อีกหรือ ข้ายังคู่ควรเป็นบุตรชายอีกหรือ ท่านแม่ข้าจากไปอย่างไม่เป็นธรรม คนที่ทำร้ายนางกลับยังมีชีวิตอยู่ดีมีสุข ไม่ยุติธรรมสักนิด”
หลิวจื่อเหยียนพูดจนสุดท้ายส่งเสียงร้องคำรามดังคล้ายสัตว์ป่า แววตาทั้งสองราวกับอาบไปด้วยโลหิตแดงฉาน