ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 740 แทงใจ
ตอนที่ 740 แทงใจ
ในห้องโถงตระกูลเซี่ยเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้คร่ำครวญน่าสงสาร ลู่เจียวรีบปลอบใจสองผู้เฒ่า “ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว พวกท่านอย่าเสียใจไปเลย”
นางรู้ว่าตอนนี้สองผู้เฒ่าทุกข์ใจอย่างมาก ไม่รู้จะทำเช่นไรดี
แต่ลู่เจียวเองก็ไม่คิดว่าหลิวจื่อเหยียนทำผิดอันใด หากเขาไม่สะสางบัญชีแค้นแทนมารดา ก็ไม่ควรเป็นบุตรผู้ใด
แต่เห็นชัดว่าเรื่องที่ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวคิดนั้นไม่ใช่สะใภ้ตัวดี แต่เป็นบุตรชายและหลานชายตนจะเกิดเรื่อง
สองผู้เฒ่าร้องไห้พลางคว้ามือลู่เจียวมากล่าวว่า “เจียวเจียว เจ้าให้อวิ๋นจิ่นยกเลิกคำร้องไห้ได้หรือไม่ อย่าให้จื่อเหยียนฟ้องมารดาเลี้ยงเขาได้หรือไม่ มารดาเลี้ยงถือเป็นผู้ใหญ่ ฟ้องนางย่อมไม่ดีต่อตนเอง ยังทำร้ายไปถึงบิดาเขาด้วย”
ลู่เจียวมองสองผู้เฒ่าพลางถอนหายใจ หากหญิงที่ตายไปผู้นั้นได้มาอยู่ต่อหน้าสองผู้เฒ่าเบื้องหน้านี้ พวกเขายังจะกล่าวเช่นนี้หรือไม่ ดังนั้นจึงว่าสะใภ้อย่างไรก็เป็นคนนอก บุตรชายหลานชายจึงนับว่าเป็นคนในครอบครัวแท้จริงของพวกเขา
ลู่เจียวมองสองผู้เฒ่าแล้วก็ค่อยๆ กล่าวว่า “ความจริงตอนจื่อเหยียนยื่นคำร้อง พวกเราก็ให้เขาคิดให้ดีแล้ว และท่าทางเขาตอนนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก หากพวกเราไม่รับคำร้องไว้ เกรงว่าเขาก็คงเสียสติ ดังนั้นพวกเราจึงรับคำร้องเขาไว้”
“ตอนนี้คำร้องส่งไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทแล้ว ทรงมีราชโองการให้กรมอาญา ศาลอาญาต้าหลี่กับศาลจิงจ้าวร่วมพิจารณาคดี คดีนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว ไม่อาจถอนกลับได้”
สองผู้เฒ่าได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ร่ำไห้สะอึกสะอื้นจนแทบหายใจไม่ทัน ปวดใจยากทนรับไหว “จื่อเหยียนเขาเสียสติหรือ นั่นเป็นบิดาเขานะ เขาทำร้ายบิดาตนเอง เขาจะได้ประโยชน์อันใด”
นายผู้เฒ่าร้องไห้จนสุดท้ายมองไปยังลู่เจียวกล่าวว่า “ข้าได้ยินบุตรชายว่า ให้จื่อเหยียนถอนฟ้องได้ ขอเพียงจื่อเหยียนถอนฟ้อง ตระกูลหลิวก็จะไม่เป็นอันใดแล้ว”
นายผู้เฒ่ากล่าวจบ สีหน้าลู่เจียวก็ไม่ดีอย่างมาก แววตาเย็นเยียบเผยให้เห็นความเย็นชาอย่างที่สุด
นางเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ใต้เท้าโส่วฝู่ก็ช่างคิดได้ดี จะให้จื่อเหยียนถอนฟ้อง เรื่องนี้ฟ้องไปถึงเบื้องพระพักตร์แล้ว ตอนนี้ให้เขาถอนฟ้องหรือ หากหากกล้าถอนฟ้อง ฝ่าบาทก็จะลงอาญาที่เขาหลอกลวงเบื้องสูง ถึงตอนนั้นก็อาจถูกประหาร ตอนนั้นคนที่ตายคนแรกก็คือจื่อเหยียน คนเป็นบิดา ตอนลูกยังเล็กก็ไม่สนใจดูแล ยังคิดทำร้ายเขาให้ตาย เขาไม่คู่ควรเป็นบิดาจื่อเหยียน”
ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็อึ้งไปทันที จากนั้นก็ร่ำไห้ “เช่นนั้นตอนนี้จะทำเช่นไร นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้”
กล่าวจบสองผู้เฒ่าก็มองไปยังลู่เจียว ตำหนิว่า “เจียวเจียว ตอนนั้นทำไมเจ้าไม่ห้ามเขาไว้ เจ้ากับจื่อ เหยียนนับว่าเป็นพี่น้องกัน เขาทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ พวกเจ้าควรห้ามเขาไว้ถึงจะถูก”
“ใช่ เขาอายุน้อยกว่าเจ้า เจ้าเองควรรู้หนักเบา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำตามใจตนเอง เขายังเป็นเด็กน้อย จะไปรู้เรื่องอันใด”
ลู่เจียวคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายสองผู้เฒ่าถึงกับโทษนางแทน
สีหน้านางเริ่มย่ำแย่ขึ้นมาทันที ใจที่สงสารท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวก็เริ่มมลายหายไป
นางมองท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว ค่อยๆ กล่าวว่า “ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิว หากมีคนทำร้ายมารดาข้าตาย ข้าก็จะทำเหมือนจื่อเหยียน แก้แค้นให้มารดา โลกนี้มีมารดาจึงมีบุตร แต่ไม่ใช่มีบิดาจึงมีบุตร มารดาทุ่มเทลำบากมา จนถึงขั้นเสียสละตนเองเพื่อคลอดบุตรตนออกมา แต่บิดาจะมีบุตรกี่คนก็ได้”
ก็เหมือนดังที่หลิวโส่วฝู่ทำ หรือว่าเขาไม่รู้ว่าหลิวจื่อเหยียนถอนฟ้องก็จะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว และจะถูกฝ่าบาทลงอาญา ไม่แน่ว่าอาจถูกตัดหัว แต่เขาไม่สนใจความเป็นความตายบุตรชายคนนี้ บุตรชายคนนี้ตายไป เขายังมีบุตรชายคนอื่นอีก
ลู่เจียวยิ่งคิดก็ยิ่งหมดใจ ตอนนี้ถึงกับรู้สึกว่าหลิวโส่วฝู่เติบโตมาจนเป็นคนเช่นนี้ได้ ความจริงก็เพราะสองผู้เฒ่าตระกูลหลิว เมื่อก่อนเพราะนางช่วยหลิวจื่อเหยียน ไม่ได้มีปัญหาผลประโยชน์อันใดกับตระกูลพวกเขา ดังนั้นสองฝ่ายก็สนิทสนมกันดีมาก ปรากฏยามนี้กลับเกิดปัญหาคุณธรรมในใจที่ต่างกัน
ยามนี้สองผู้เฒ่ากำลังวุ่นวายใจ ไม่ทันได้สังเกตท่าทีลู่เจียว สองผู้เฒ่าแผดเสียงร่ำไห้ดัง
“อันใดคือมีมารดาก่อนจึงมีบุตร หญิงผู้นั้นตายไปยี่สิบกว่าปีแล้ว แม้ในปีนั้นนางถูกให้ร้ายจนตายก็ผ่านไปหลายปีแล้ว หรือว่าคนเป็นสู้คนตายไม่ได้ ตระกูลหลิวเดินถึงวันนี้ง่ายหรือ เพื่อหญิงผู้นั้น ทุกคนในตระกูลหลิวต้องถูกฝังไปพร้อมกับนางหรือ”
ท่านปู่หลิวยิ่งพูดก็ยิ่งแล้งน้ำใจ สุดท้ายถึงกับกล่าวโทษหลิวจื่อเหยียนขึ้นมา
“หญิงผู้นั้นไม่เคยเลี้ยงดูเขาแม้สักวัน พวกเราต่างหากที่เลี้ยงดูเขาเติบโตมา เขาทำเช่นนี้ ไม่ใช่เนรคุณหรือ เขาเองก็แซ่หลิว ยังเป็นคนตระกูลหลิว เขาทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ให้ร้ายตระกูลหลิว ยังให้ร้ายตัวเขาเองด้วย”
“หากรู้ว่าเขาเป็นคนเนรคุณเช่นนี้ ตอนนั้นพวกเราไยต้องเลี้ยงดูเขา ยังพาเขาไปเลี้ยงดูที่อำเภอชิงเหอ ด้วย ไยต้องรักษาโรคของเขาให้หายด้วย”
นายผู้เฒ่าเพิ่งกล่าวจบ นอกประตูก็มีคนผลักเข้ามา
คนที่เข้ามาก็คือหลิวจื่อเหยียน หลิวจื่อเหยียนสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เขายืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ราวกับไร้ชีวิตจิตวิญญาณ ราวกับวิญญาณที่ว่างเปล่า จ้องมองท่านปู่ท่านย่าตนนิ่งอึ้ง
เขาคิดเสมอว่าท่านปู่ท่านย่าคือคนที่รักเขาที่สุดบนโลกใบนี้ เขาคิดว่าท่านปู่ท่านย่าแม้ว่าจะโมโห จะระเบิดอารมณ์ แต่ก็จะเข้าใจเขา แต่เขาคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะได้ยินท่านปู่เขาบอกว่า นึกเสียใจภายหลังที่เลี้ยงดูเขามา
เขารู้สึกว่าตอนนั้นหากเขาตายไปก็คงไม่มีเรื่องพวกนี้ในวันนี้
หลิวจื่อเหยียนยิ่งคิดภายในก็ยิ่งลุกโหมรุนแรง แต่สุดท้ายรู้สึกเพียงแค่ฟ้าดินพลิกตลบ ราวกับทนรับไม่ไหวอีกต่อไปเป็นลมล้มพับลงทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบยื่นมือเข้าไปประคองเขาไว้ ลู่เจียวรีบก้าวเข้ามาตรวจอาการเขา พบว่าเขาโมโหมากเกินไป กระแสภายในกระทบจิตใจจนเป็นลมสลบไป
ลู่เจียวฝังเข็มให้เขา เขาจึงได้ฟื้นขึ้นมา แม้ฟื้นขึ้นมา แต่ก็ยังแลดูเลื่อนลอยไร้สติ
ยามนี้ท่านปู่หลิวกับท่านย่าหลิวเองก็ได้สติรู้ว่าหลานชายได้ยินคำพูดตนเองก่อนหน้านี้
สองผู้เฒ่าเลี้ยงดูเขามาจนโตจริง จึงยังสงสารเขา เห็นเขาเช่นนี้ก็รู้สึกผิด เดินไปมองเขาอธิบายเสียงสั่นเทาว่า
“จื่อเหยียน ปู่ร้อนใจมากเกินไปจึงได้กล่าวเช่นนี้ เจ้าอย่าได้คิดมาก”
ท่านปู่หลิวกล่าวจบ ก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “จื่อเหยียน เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าฟ้องมารดาเลี้ยงถือว่าอกตัญญู ยังทำให้บิดาเจ้าเสื่อมเสียไปด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าเองก็จะถูกคนใต้หล้าด่าทอ วันหน้าเจ้าจะยืนในราชสำนักได้อย่างไร ยืนต่อหน้าผู้คนบนโลกได้อย่างไร”
“จื่อเหยียน ข้ารู้ว่าเจ้าถูกรังแก รู้ว่าเจ้าคิดแก้แค้นให้มารดา พวกเราก็จัดการอู่ซูกันเองได้ ไม่ต้องยื่นคำร้อง เอาอย่างนี้ พวกเรามาหาทางกันดีหรือไม่ จัดการเรื่องนี้ให้สงบลงก่อน ไว้พวกเราให้ท่านพ่อเจ้าจัดการอู่ซู ไม่ว่าจะขังนาง หรือว่าให้นางกินยาพิษก็ได้ทั้งนั้น ตามใจเจ้า แต่ตอนนี้จัดการเรื่องนี้ให้สงบลงก่อน ได้หรือไม่”
หลิวจื่อเหยียนมองท่านปู่ท่านย่าตนเองด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตางามลุ่มลึกฉายแววเจ็บปวดแตกร้าว ไม่อาจย้อนคืนดังเดิมได้อีกแล้ว
เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “สายไปแล้ว”