ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 743 ปวดพระเศียรรุนแรง
ตอนที่ 743 ปวดพระเศียรรุนแรง
ดึกดื่นเที่ยงคืน ทุกคนในตระกูลเซี่ยเข้านอนกันหมดแล้ว ในตรอกทางยาวพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังมา เสียงฝีเท้ามุ่งตรงมายังจวนตระกูลเซี่ย หยุดลงหน้าประตู เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวที่กำลังหลับสนิทอยู่ในเรือนกลางก็พลันตกใจตื่นเพราะเสียงฝีเท้าม้า สองสามีภรรยารีบหันมาสบตากัน ความรู้สึกแรกของลู่เจียวก็คือมีผู้ป่วยมาให้นางรักษา เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกว่าอาจคดีใด
พ่อบ้านเซียวให้คนเข้ามารายงานที่เรือนด้านหลังว่า “ใต้เท้า ฮูหยิน ในวังส่งคนมารับฮูหยินเข้าวัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวสองคนมีสีหน้าตกใจ เซี่ยอวิ๋นจิ่นคาดเดาทันทีว่าฝ่าบาทประชวร ดังนั้นจึงได้เรียกตัวเจียวเจียวเข้าวังไปตรวจพระอาการให้ฝ่าบาท
แม้ว่าลู่เจียววิชาการแพทย์ร้ายกาจมาก แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็อดเป็นห่วงไม่ได้ สองปีมานี้ ฝ่าบาทพระอารมณ์แปรปรวนไปตามพระชนมายุที่มากขึ้น ยิ่งขี้ระแวงยากคาดเดามากยิ่งขึ้น
ลู่เจียวย่อมคาดเดาได้ว่าในวังมาตามตอนนี้ ย่อมต้องเป็นเพราะพระวรกายฝ่าบาทมีปัญหา จึงให้คนออกจากวังมารับตัวนางเข้าวัง
ฝ่าบาทให้คนมารับตัว นางจะทำเช่นไรได้ ได้แต่ตามเข้าวังไป
ลู่เจียวลุกขึ้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ลุกขึ้นไปเป็นเพื่อนนาง ทั้งสองคนแต่งกายเตรียมตัวเรียบร้อย ตอนเดินออกไปก็เห็นนอกลานมีสามแฝดเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ พวกเขาเองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนอกประตู ดังนั้นจึงมาดูว่าเกิดเรื่องอันใดหรือไม่
ทั้งสามคนเพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูก็เห็นบิดามารดาออกมา จึงพากันส่งเสียงเรียกนอบน้อม “ท่านพ่อ ท่านแม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพยักหน้า มองไปยังพวกเขา ลู่เจียวกล่าวว่า “ไม่มีอันใด อาจเพราะในวังมีคนไม่สบาย จึงให้แม่เข้าวัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบกล่าวว่า “พ่อจะเข้าวังไปกับท่านแม่เอง”
สามแฝดได้ยินคำบิดาก็วางใจลงได้เล็กน้อย ลู่เจียวเลิกคิ้วมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างแปลกใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นมือไปกุมมือนาง กล่าวเบาๆ ว่า “พระวรกายฝ่าบาทไม่ดี ในฐานะขุนนางย่อมต้องเป็นห่วงฝ่าบาท เป็นเพื่อนเจ้าเข้าวังก็เป็นเรื่องปกติ”
ความจริงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หากเขาไม่กล่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจเข้าวังไปเป็นเพื่อนลู่เจียวได้
ลู่เจียวไม่ได้กล่าวอันใดอีก ทุกคนเดินไปยังเรือนด้านหน้าตระกูลเซี่ย
ประตูเรือนด้านหน้ามีคนยืนอยู่หลายคน คนที่นำมาก็คือขันทีที่รับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาท ด้านหลังเขายังมีองครักษ์อีกหลายคน
ทุกคนพอเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมาก็รีบเข้ามารอรับ ขันทีหัวหน้าเดินนำมาเอ่ยเสียงเล็กแหลมว่า “ฝ่าบาทรับสั่งให้ฮูหยินเซี่ยเข้าวัง”
ขันทีเพิ่งกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าวังเป็นเพื่อนฮูหยิน”
ฝูคังกงกงหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างแปลกใจ “ใต้เท้าเซี่ย ฝ่าบาทรับสั่งให้ฮูหยินเซี่ยเข้าวังเพียงผู้เดียว”
“กงกง ข้าเป็นขุนนางในพระองค์ จะไม่เป็นห่วงพระวรกายฝ่าบาทได้อย่างไร”
หากเซี่ยอวิ๋นจิ่นบอกว่าไม่วางใจลู่เจียว กงกงก็คงจะตำหนิเขา แต่เขาว่าเป็นห่วงฝ่าบาท กงกงจะกล่าวอันใดได้
สุดท้ายคิดแล้วก็ไม่ได้ห้าม “ได้ รีบเข้าวังกัน”
ทุกคนขึ้นรถม้า ตรงไปยังวังหลวง
ในวัง อาการปวดพระเศียรรุนแรงของกฝ่าบาทกำเริบ กำลังกริ้วหนัก ให้คนโบยหมอหลวงบาดเจ็บหนักไปสองคน หมอหลวงในสำนักหมอหลวงต่างได้รับบาดเจ็บไปเกินครึ่ง ครั้งนี้แม้แต่หัวหน้าสำนักหมอหลวงอย่างหมอหลวงฉีก็หลบไม่พ้น โดนโบยไปยี่สิบไม้ แต่แม้เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ยังคงกริ้วหนัก ตวาดบริพาษเสียงดังว่า “เศษสวะ แต่ละคนล้วนเศษสวะ เราเลี้ยงพวกเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด”
ฮ้องเต้ปวดพระเศียร คล้ายมีของครอบอยู่ แรกสุดก็กำเริบเป็นระยะ แต่ครั้งนี้ถึงกับปวดพระเศียรไม่หยุด ราวกับจะระเบิด คิดลงมือทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้
บรรดาหมอหลวงต่างรู้สึกว่าอาการปวดพระเศียรรุนแรงของฝ่าบาทน่าจะมาจากเส้นเลือดสมองอุดตัน แต่หลังใช้วิธีการรักษาเส้นเลือดอุดตันกับฝ่าบาทมาก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทก็ยังมีพระอาการกำเริบเป็นระยะ เสวยโอสถพวกเขาไปแล้วก็ยังกำเริบเป็นระยะ ไร้ประโยชน์ จนถึงตอนนี้เสวยไปก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย
ฝ่าบาทปวดพระเศียรขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับรู้สึกได้ว่าพระวรกายพระองค์จะขยับไม่ได้แล้ว
เขาทั้งตกใจและหวาดกลัว ยิ่งรู้สึกว่าสำนักหมอหลวงไร้ประโยชน์
รัชทายาทและบรรดาอ๋องหลายคนก็เข้าวังมากันหมด อ๋องจิ้นเห็นเสด็จพ่อเช่นนี้ก็พลันคิดถึงลู่เจียว ก่อนหน้านี้เขาสืบแล้วว่าฮูหยินเซี่ยอวิ๋นจิ่นผู้นี้มีชื่อเสียงมากในเมืองหนิงโจว คล้ายบอกว่าวิชาการแพทย์นางร้ายกาจมาก คนไม่น้อยเรียกนางว่าหมอเทวดาลู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยไม่ให้นางเข้าวังมารักษาเสด็จพ่อดู
อ๋องจิ้นไม่คิดว่าลู่เจียวจะรักษาอาการปวดหัวรุนแรงของเสด็จพ่อได้ เขาแค้นใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวจึงคิดหาเรื่องพวกเขาเท่านั้น
“เสด็จพ่ออย่าได้ทรงร้อนใจ ฮูหยินเซี่ยกำลังเข้าวังมาแล้ว กระหม่อมได้ยินว่าวิชาการแพทย์นางเป็นหนึ่งในใต้หล้า นางมาแล้วย่อมต้องรักษาอาการปวดพระเศียรรุนแรงของเสด็จพ่อให้หายได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเสด็จพ่ออย่าได้ทรงร้อนพระทัยไป”
รัชทายาทเซียวอวี้มองเสด็จพี่ตนเองด้วยแววตานิ่งลึก รู้ว่าเขาต้องการแก้แค้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวจึงได้เสนอเช่นนี้
แต่เกรงว่าเสด็จพี่คงไม่รู้ว่า ฮูหยินเซี่ยผู้นี้วิชาการแพทย์สูงส่งจริง แม้แต่หมอหลวงฉีก็ชมไม่ขาดปาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวย่อมไม่รู้ว่าการออกมาครั้งนี้ จะบังเอิญได้พบฉีเหล่ยหน้าประตูวัง ลู่เจียวตกใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามาได้อย่างไร พรุ่งนี้แต่งงานไม่ใช่หรือ”
พรุ่งนี้ฉีเหล่ยก็จะแต่งงาน ดังนั้นตามหลักฉีเหล่ยควรอยู่ที่จวนรอเป็นเจ้าบ่าวถึงจะถูก
ฉีเหล่ยยิ้มเฝื่อน กล่าวว่า “บิดาข้าถูกฝ่าบาทสั่งโบยยี่สิบไม้ ส่งกลับจวนตระกูลฉีแล้ว ฝ่าบาทได้ยินว่าวิชาการแพทย์ข้าไม่เลว จึงให้ข้าเข้าวัง คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทเรียกอาจารย์มาด้วย เช่นนั้นพวกเราก็เข้าวังด้วยกันเถิด”
ลู่เจียวได้ฟังฉีเหล่ยก็สีหน้าราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน พรุ่งนี้ฉีเหล่ยแต่งงาน วันนี้บิดาเขาถึงกับถูกโบย งานแต่งงานพรุ่งนี้ยังจะดำเนินต่อได้อีกหรือ ดูท่าเคียงข้างราชันดังเคียงข้างพยัคฆ์นั้นกล่าวไม่ผิด
“ท่านพ่อเจ้าเป็นอันใดหรือไม่”
“ไม่เป็นอันใด ท่านพ่อข้าปกติอยู่ในวังก็มีสายสัมพันธ์ไม่เลว องครักษ์ที่โบยยังยั้งมืออยู่”
หากโบยเต็มแรงจริง ชีวิตท่านพ่อเขาก็คงต้องทิ้งไว้ในวังแล้ว
ลู่เจียวกับฉีเหล่ยคุยกันผ่านม่าน รถม้าสองคันค่อยๆ เข้าสู่วังหลวงไปหยุดหน้าประตูชั้นใน ทุกคนลงจากรถม้า
ในวัง ณ ห้องบรรทมฝ่าบาท
ยามนี้มีขุนนางคนสำคัญยืนอยู่ไม่น้อย นอกจากขุนนางคนสำคัญแล้วก็ยังมีองค์ชายและบรรดาฝ่ายใน
อ๋องจิ้นเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นตามลู่เจียวมาก็รีบเอ่ยหาเรื่องทันที ส่งเสียงเอ่ยดังว่า “เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าบังอาจมาก ถึงกับกล้าเข้าวังตามอำเภอใจ เสด็จพ่อข้ารับสั่งเรียกตัวฮูหยินเซี่ยเข้าวัง เจ้ามาทำอันใด ไม่วางใจภรรยาเจ้าหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นอ๋องจิ้นก็พลันคาดเดาได้ว่าเจียวเจียวเข้าวังต้องเกี่ยวพันกับอ๋องจิ้นไม่น้อย คนผู้นี้น่ารังเกียจเกินไปแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปก็ตอบกลับอย่างนอบน้อมไปว่า “กระหม่อมมิได้ไม่วางใจภรรยากระหม่อม แต่เป็นห่วงฝ่าบาท แม้ว่ากระหม่อมเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ แค่จิงจ้าวฝูอิ่นขุนนางระดับสี่ แต่ก็เป็นขุนนางในพระองค์ พระวรกายฝ่าบาทไม่สบาย ในใจกระหม่อมย่อมเป็นห่วง จึงไม่ได้สนใจรับสั่งฝ่าบาท ติดตามภรรยากระหม่อมเข้าวังมาด้วย ขอฝ่าบาทโปรดอภัย”