ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 747 ชี้แนะ
ตอนที่ 747 ชี้แนะ
ท่านหญิงเหวินอันเซี่ยนจู่กับเนี่ยอวี้เหยาเห็นแล้วก็อดสบตากันไม่ได้ สองแม่ลูกต่างยิ้มให้กัน ดูท่าตระกูลเซี่ยรับหลิงเสวี่ยเป็นสะใภ้คนโตแล้ว เจียวเจียวต้องการช่วยชี้แนะสะใภ้ด้วยตนเอง เป็นเรื่องดีจริง
ปกติพวกนางพูดกับหลิงเสวี่ย นางก็ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเอง เพราะหูหลิงเสวี่ยคิดว่ามารดานางเป็นบุตรีอู่กั๋วกง มารดานางก็ย่อมมีความมั่นใจ ท่านยายนางยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง บุตรีองค์หญิงใหญ่ เป็นสตรีสูงศักดิ์แท้จริง นางเป็นแค่บุตรีขุนนางเล็กๆ เท่านั้น บิดานางก็แค่ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ ที่ตระกูลเนี่ยหาตำแหน่งมาให้
หูหลิงเสวี่ยไม่มั่นใจในตนเอง แต่ลู่เจียวกล่าวเรื่องเหล่านี้กับนางกลับได้ผล เพราะลู่เจียวเองก็เป็นคนมาจากระดับชาวบ้าน อาศัยความสามารถตนเองเดินมาถึงวันนี้ ไม่เพียงแต่สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่กล้ารังแก แม้แต่ฝ่าบาทก็ไว้พระทัยนาง
ทุกคนไม่ทันได้สังเกตเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ มีเพียงเถียนฮวนสังเกตเห็น เถียนฮวนมองลู่เจียวกับหูหลิงเสวี่ยแล้วก็แอบคาดเดาว่าตระกูลเซี่ยน่าจะยอมรับหูหลิงเสวี่ยเป็นสะใภ้คนโตแล้ว ก็ไม่รู้ว่าลูกเลี้ยงตนจะได้รับการยอมรับหรือไม่
เถียนฮวนเห็นลูกเลี้ยงไม่ได้รู้สึกตัวอันใด ก็อดถอนหายใจไม่ได้
ฮูหยินฉีนำทุกคนไปยังห้องโถงกลาง ท่านหญิงเหวินอันเซี่ยนจู่ลงนั่ง ลู่เจียวกับเนี่ยอวี้เหยาก็แยกกันไปนั่ง ฮูหยินขุนนางที่เหลือก็พากันลงนั่ง บรรดาหญิงสาวดรุณีน้อยล้วนไม่ได้นั่ง
ท่านหญิงเหวินอันเซี่ยนจู่มองพวกนางแล้วก็กล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่นเถอะ พวกเราอายุมากแล้วนั่งคุยกันสักครู่”
ท่านหญิงเหวินอันเซี่ยนจู่กล่าวจบ ก็คล้ายว่าคิดถึงอันใดขึ้นมา มองไปยังลู่เจียวกับเนี่ยอวี้เหยาและจู้เป่าจู กล่าวว่า “พวกเจ้าก็อายุยังน้อย ก็คงนั่งไม่ติด ออกไปเดินในสวนเถอะ”
ลู่เจียวและพวกเนี่ยอวี้เหยาก็ลุกขึ้น พวกอายุน้อยที่นั่งไม่ติดก็ลุกขึ้นเดินออกไป
ลู่เจียวเดิมไม่คิดลุกออกไป แต่นางอยากคุยกับหูหลิงเสวี่ย จึงเดินนำออกไปด้านนอก
เนี่ยอวี้เหยาคิดให้ลู่เจียวชี้แนะบุตรสาวตน จึงดึงเถียนฮวนกับจู้เป่าจูมาบอกว่าจะคุยเรื่องร้านเสริมความงาม เถียนฮวนรู้ความคิดเนี่ยอวี้เหยา ก็ทำตามที่นางว่า
ลู่เจียวจูงหูหลิงเสวี่ยเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็หันมากล่าวกับนางอย่างไม่รีบร้อนว่า “หลิงเสวี่ย เป็นคนต้องมั่นใจใจตนเอง คนที่มั่นใจในตนเองจึงจะทำให้ตนเองมีสง่าราศี อย่าได้เอาแต่คิดว่าสถานะบิดาเจ้าไม่สูงส่ง สถานะบิดาเจ้าไม่สูงส่งแต่ก็ดีกว่าตระกูลเดิมของน้าลู่ เจ้าดูน้าลู่มั่นใจในตนเองหรือไม่”
“ชาติกำเนิดไม่โดดเด่น แต่พวกเราโดดเด่นยอดเยี่ยมด้วยตนเองได้ ความมั่นใจก็คือก้าวแรกไปสู่ความยอดเยี่ยม หากแม้แต่เรื่องนี้เจ้ายังทำไม่ได้ เจ้าจะยอดเยี่ยมได้อย่างไร จะคู่ควรกับต้าเป่าได้อย่างไร”
“เจ้าอย่าได้สนใจเรื่องภายนอกมากเกินไป เช่นคนอื่นเป็นสตรีสูงศักดิ์ ข้าไม่ใช่ คิดเช่นนี้ไปทำไมกัน คนเราดำรงชีวิตอยู่ก็เพื่อตนเอง ต้องมีความมั่นใจในตนเองและความเบิกบานใจ ข้ายอดเยี่ยมก็เป็นเรื่องของข้าเอง”
“เรื่องนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากอวี้หลัว บิดาอวี้หลัวสถานะไม่สูงส่งนัก บิดานางเป็นเพียงคุณชายอนุในจวนโหว แต่เจ้าดู นางมีความไม่มั่นใจในตนเองหรือไม่ การที่เอาแต่สนใจมองแต่ภายนอก แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนยอดเยี่ยม คนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ จะไม่สนใจแต่ภายนอก เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ลู่เจียวกล่าวจบจ้องมองหูหลิงเสวี่ย หูหลิงเสวี่ยคล้ายเข้าใจอยู่บ้าง ที่แท้คนไร้ความมั่นใจก็จะไม่ยอดเยี่ยม นางต้องการเป็นคนยอดเยี่ยม ก้าวแรกก็ต้องมั่นใจในตนเองก่อน
“เจ้าต้องเชื่อมั่นในตนเอง เจ้าต้องเชื่อว่าเจ้าหูหลิงเสวี่ยไม่อาศัยบิดา ไม่อาศัยวงศ์ตระกูล ก็ต้องเป็นคนยอดเยี่ยมได้ เจ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ วันหน้าจึงจะสาดแสงเปล่งประกายได้ หากเจ้าปรับความคิดเช่นนี้ไม่ได้ ก็จะไม่มีวันเป็นคนยอดเยี่ยมได้ ได้แต่ทำให้ตนเองกลายเป็นคนหวาดระแวงอ่อนไหว คนเขาแค่ขยับตัวเล็กน้อย เจ้าก็จะสงสัยว่าคนเขาดูแคลนเจ้าแล้ว เจ้าก็จะยิ่งไม่มั่นใจในตนเอง เจ้าเช่นนั้นจะยังกลายเป็นคนยอดเยี่ยมได้อีกหรือ ความยอดเยี่ยมต้องมาจากตนเอง ไม่ใช่ภายนอกเสริมสร้างให้เจ้า”
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองไปยังหูหลิงเสวี่ย กล่าวว่า “ความจริงเดิมเจ้าก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว หรือว่าเจ้าไม่ไดสังเกต หากไม่ใช่ว่าเจ้ายอดเยี่ยม เจ้าคิดว่าน้าลู่จะเห็นด้วยให้เจ้าแต่งกับต้าเป่าหรือ ต้าเป่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก”
“หลิงเสวี่ย เจ้าอ่อนโยน จิตใจดีงาม ละเอียดอ่อน เข้าอกเข้าใจ เมตตาต่อผู้อื่น เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นข้อดีของเจ้า หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกว่าคนไม่น้อยยินดีจะเป็นสหายกับเจ้า”
“นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจ้าไม่ได้อาศัยบิดาเจ้า แต่ยอดเยี่ยมด้วยตัวเจ้าเอง วันหน้าเจ้าพยายามอีกหน่อยก็จะได้เป็นสตรีที่ส่องประกายงดงามดังไข่มุก”
ลู่เจียวกล่าวจบอมยิ้มมองหูหลิงเสวี่ย หูหลิงเสวี่ยครุ่นคิดคำพูดลู่เจียว ก็ยื่นมือไปกุมมือลู่เจียวโยกไปมาพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“น้าลู่ ท่านไม่พูด ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าความจริงข้าเองก็มีข้อดี ท่านยายกับท่านป้าสะใภ้ก็ล้วนชอบข้า พี่น้องลูกพี่ลูกน้องก็ชอบข้า สตรีสูงศักดิ์หลายคนก็อยากเป็นสหายกับข้า นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าข้ามีข้อดี ดังนั้นข้าไม่ควรคิดว่าสถานะบิดาไม่สูงส่งพอ”
ลู่เจียวยิ้มลูบศีรษะหูหลิงเสวี่ย กล่าวว่า “ความจริงบิดาเจ้าก็ชาติกำเนิดไม่เลว อย่าลืมว่าท่านปู่เจ้าตอนนี้เป็นจือฝู่ระดับห้าแห่งเมืองหนิงโจว ชาติกำเนิดเช่นนี้ใช้ได้แล้ว”
หูหลิงเสวี่ยคิดแล้วก็รู้สึกว่าใช้ได้แล้วจริงๆ เทียบกับชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่ได้ แต่เทียบกับผู้อื่นก็ไม่เลว
หูหลิงเสวี่ยพลันปลอดโปร่งโล่งใจ ยิ้มยิ่งเบิกบาน
“น้าลู่ ข้ารู้แล้ว ขอบคุณท่านน้าที่ชี้แนะข้า”
“ไม่เป็นไร ไปเล่นกับเด็กๆ เถอะ”
“เจ้าค่ะ”
หูหลิงเสวี่ยหันหลังเดินยิ้มตาหยีไปหาจ้าวอวี้หลัว ดึงมือจ้าวอวี้หลัวมากล่าวว่า “อวี้หลัว พวกเราไปเดินเล่นในสวนกัน”
“ได้สิ”
ทั้งสองคนหันไปมองเหวินเมี่ยว เหวินเมี่ยวหันไปมองจู้เป่าจูด้วยสัญชาตญาณ จู้เป่าจูพยักหน้า เหวินเมี่ยวก็ตามหญิงสาวสองคนออกไป
เนี่ยอวี้เหยาเห็นบุตรสาวราวกับเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เปิดเผยร่าเริง ในใจก็ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ดูท่าเจียวเจียวเป็นว่าที่แม่สามีที่อบรมสั่งสอนนางเป็นยิ่งกว่านางผู้เป็นมารดา วันหน้าหากบุตรสาวได้แต่งเข้าตระกูลเซี่ย ดังหวัง ย่อมเป็นสะใภ้ที่ผ่านมาตรฐานของตระกูลเซี่ยได้อย่างแน่นอน
เนี่ยอวี้เหยายิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ กล่าวกับลู่เจียวว่า “เจียวเจียว ร้านเสริมสวยตกแต่งใกล้เสร็จแล้ว เจ้าจะไปดูเมื่อใด ดูว่ามีรายละเอียดอันใดต้องแก้ไขอีกหรือไม่”
“ได้ พรุ่งนี้ข้าไปดูหน่อย พวกเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
เถียนฮวนกับจู้เป่าจูพยักหน้าว่าจะไปด้วยกัน
ทุกคนพูดคุยรายละเอียดของร้านเสริมสวย ว่าจะแจกใบปลิวอย่างไร ลดราคาอย่างไร พิธีเปิดร้านอย่างไร เป็นต้น
ขณะที่ทุกคนคุยกันครึกครื้น พ่อบ้านตระกูลฉีก็เข้ามาหาพวกนาง
“ฮูหยินเซี่ย ฮูหยินเซี่ย ฮูหยินเราให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน เจ้าบ่าวจะรับเจ้าสาวเข้ามาโถงพิธีแล้ว ขอเชิญฮูหยินเซี่ยไปร่วมพิธี”
ลู่เจียวได้ฟังก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ คิดถึงว่าก่อนหน้านี้ฮูหยินฉีบอกว่าจะให้ฉีเหล่ยพาภรรยามาโขกศีรษะนาง คงไม่ได้ให้นางไปรับการโขกศีรษะอันใดกระมัง ไม่เอานะ
แต่นางไม่ได้แสดงออก เพียงแค่พยักหน้าตอบรับ “ได้”