ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 757 ปลอบใจ
ตอนที่ 757 ปลอบใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน โน้มกายลงกระซิบข้างใบหูลู่เจียวว่า “ก็ต้องดูว่าเขาอยากเป็นหรือไม่ หากเขาต้องการ ข้าก็จะช่วยเขาอีกแรง ผู้ใดให้ข้าเป็นคนเลี้ยงดูเขามาจนโตกัน”
ลู่เจียวพยักหน้า แต่ยามนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เจ้าว่าหากวันหน้าซื่อเป่าเป็นฮ่องเต้ จะระแวงพวกเราจนต้องลงมือสังหารพวกเราทิ้งหรือไม่”
บางทีแรกเริ่มอาจไม่ แต่วันหน้าเล่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่หรอก หากเขาขึ้นครองบัลลังก์ได้จริง ในฐานะบิดาเลี้ยงของเขา ข้าจะลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด ไม่มีข้าผู้เป็นบิดาเป็นโส่วฝู่อยู่ เขาจะระแวงข้าได้อย่างไร จะไม่ให้เขาต้องกลายเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
ลู่เจียวได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังนึกเสียดายแทนเขา
“แล้วเจ้าไม่เสียดายหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหลุดขำ กล่าวว่า “นี่มันเพิ่งเมื่อใดเอง ยังเร็วไป พวกเรารีบล้างหน้าล้างตาเข้านอนกันเถอะ”
“ได้”
วันรุ่งขึ้น ลู่เจียวแต่งตัวเสร็จ ก็พาติงเซียงหร่วนจู๋สองคนไปยังสำนักศึกษาสตรีซุ่นเต๋อ ตลอดทางมา ลู่เจียวคิดได้ว่าอายุของหร่วนจู๋ไม่น้อยแล้ว ปีนี้ยี่สิบเอ็ดแล้ว ลู่เจียวถามหร่วนจู๋
“เจ้ากับถงอี้วางแผนแต่งงานกันเมื่อใด เหตุใดจึงเงียบเชียบเช่นนี้”
หร่วนจู๋หน้าแดงทันที เอ่ยกระเง้ากระงอดว่า “ฮูหยิน เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมาพูดถึงเรื่องของพวกบ่าวได้”
“พวกเจ้าอายุมากแล้ว ตามหลักควรแต่งงานได้แล้ว ถงอี้ไม่มีบิดามารดา ดังนั้นมีเพียงข้าผู้เป็นฮูหยินจะจัดการให้พวกเจ้า ไว้เจ้าไปหารือกับถงอี้หน่อย กำหนดวันมา ข้าจะมอบบ้านให้พวกเจ้าหลังหนึ่ง คืนสัญญาขายตัวให้พวกเจ้า วันหน้าเจ้ากับถงอี้ก็จะอิสระ ลูกที่คลอดออกมาก็ไม่ต้องลงบัญชีทาส ไปเรียนหนังสือรับการอบรมที่ดีได้”
แม้ว่าหร่วนจู๋จะเขินอาย แต่อย่างไรก็เป็นสตรีฝึกยุทธ์ ดังนั้นจึงเป็นคนเปิดเผย กล่าวเบาๆ ว่า “ทุกอย่างแล้วแต่ฮูหยินจัดการเจ้าค่ะ”
“ได้ เช่นนั้นไว้ข้าให้พ่อบ้านเซียวไปหาบ้านให้พวกเจ้า กำหนดวันแล้วก็จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
“ขอบคุณฮูหยิน”
หร่วนจู๋ยิ้มมองลู่เจียวกล่าวว่า “วันหน้าบ่าวกับถงอี้ยังคิดติดตามอารักขาใต้เท้ากับฮูหยินดังเดิม”
ไม่มีคนที่ดียิ่งใต้เท้าและฮูหยินแล้ว ยุคสมัยนี้ดำรงชีวิตลำบากมาก พวกเขาสองคนเป็นวิทยายุทธ์ก็ได้แต่ทำงานอารักขา พวกเขาติดตามใต้เท้ากับฮูหยินมีเงินเดือน หลายปีมานี้ทั้งสองคนเก็บเงินได้ไม่น้อยแล้ว วันหน้ามีลูกก็เพียงพอให้ลูกได้เรียนหนังสือแล้ว หากลูกมีสมองจะเรียนไปสอบซิ่วไฉจวี่เหรินก็ไม่เลว
ส่วนพวกเขาฝึกยุทธ์แต่เล็ก วันๆ ทำงานหนัก ไม่อยากให้ลูกๆ ต้องมาลำบากเช่นพวกเขา แต่เรื่องเหล่านี้ก็ไว้วันหน้าค่อยดูอีกครั้ง
ในรถม้า ติงเซียงรีบแสดงความยินดีกับหร่วนจู๋
ลู่เจียวมองไปยังติงเซียงกล่าวว่า “เจ้าเองก็สิบเก้าแล้ว ดูแล้วหากมีคนเหมาะสมก็พามาหาข้า ข้าช่วยเจ้าดู หาได้ก็แต่ง หากเป็นคนภายนอก ข้าก็จะให้อิสระกับเจ้าไม่ต้องติดชื่อในบัญชีทาส ให้เจ้าออกเรือนไป หากเป็นคนในจวน ข้าก็จะจัดงานให้เจ้าเอง”
ติงเซียงรีบกล่าวว่า “ฮูหยิน บ่าวไม่ไปจากตระกูลเซี่ย”
ชีวิติข้างนอกยากลำบากขนาดนั้น โดยเฉพาะพวกนางติดตามรับใช้เจ้านายจนชินแล้ว ยิ่งไม่อาจใช้แรงงาน ไม่อาจทนลำบากได้ ดังนั้นไม่สู้ติดตามรับใช้เจ้านายสบายกว่า ติงเซียงวางแผนติดตามเจ้านายไปตลอดชีวิต
ส่วนวันหน้าลูกๆ จะมีสถานะบ่าว ติงเซียงก็ไม่ได้รู้สึกอันใด สาเหตุหลักก็เพราะภายนอกดำรงชีพไม่ง่ายเลยจริงๆ พวกเขาติดตามเจ้านาย มีชีวิตที่มีเกียรติ ไม่เห็นหรือว่าคนภายนอกต้องแบกหามทำงานหนัก ก็ยังไม่อาจเลี้ยงครอบครัวได้ แม้ว่ามีคนไม่น้อยร่ำรวย แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น
พวกเขาไม่คิดพาตนเองไปเสี่ยงเป็นส่วนน้อยนิดนั้น ดังนั้นติงเซียงจึงตัดสินใจทำงานเป็นบ่าวและให้กำเนิดลูกในตระกูลเซี่ย
ลู่เจียวได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ก็รู้ว่านางต้องตาต้องใจผู้ใดในจวนแล้ว
หลินตงหรือ ลู่เจียวมองติงเซียง คล้ายว่าเคยคุยกับหลินตงหลายครั้ง
นางอดหัวเราะไม่ได้ มองไปยังติงเซียงกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้ต้องตาต้องใจหลินตงกระมัง”
ตอนนี้หลินตงติดตามเซี่ยอวิ๋นจิ่น เป็นหัวหน้าผู้ติดตาม ทำหน้าที่คอยวิ่งติดต่องานให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นและดูแลเขา เพราะทำงานกันจนชิน ตอนนี้นับว่าเป็นคนสนิทเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ในรถม้า ติงเซียงไม่ได้เอ่ยอันใด หร่วนจู๋กลับไม่อาจควบคุมปากตนเองได้ “ฮูหยินฉลาด”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องดี ไว้ข้าหารือกับหลินต้าแล้วก็ฮวาเสิ่น จัดงานให้พวกเจ้า”
ติงเซียงแก้มแดงก่ำทันที แต่ก็ไม่ลืมเงยหน้าส่งสายตาจ้องใส่หร่วนจู๋
“เจ้าวาจามากจริง”
จากนั้นก็เอ่ยเสียงราวยุงบินว่า “แล้วแต่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
ลู่เจียวถอนหายใจ กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าพริบตา พวกเจ้าก็โตกันหมดแล้ว จะออกเรือนกันแล้ว”
พวกหร่วนจู๋กับซานฉาตอนนั้นมาติดตามนางก็แค่สิบสามสิบสี่เท่านั้น พริบตาพวกนางก็โตเป็นสาวแล้ว
ลู่เจียวมองไปยังติงเซียงสั่งการว่า “ไว้เจ้าให้พ่อบ้านเซียวเลือกซื้อสาวใช้มาอบรมเพิ่ม อย่าได้รอจนพวกเจ้าออกเรือนไปแล้วไม่มีคนรับงานต่อ”
ติงเซียงพอได้ฟังลู่เจียวก็ตื่นตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าอยากติดตามรับใช้ฮูหยิน หากออกเรือนไปแล้วไม่อาจรับใช้ฮูหยิน บ่าวก็ไม่ออกเรือนดีกว่า”
ลู่เจียวนึกขำ จิ้มศีรษะนาง “ความคิดเจ้ามากจริง ข้ายังไม่ได้บอกว่าไม่ให้เจ้ารับใช้ แค่บอกว่าไปเลือกซื้อสาวใช้มาเพิ่ม เจ้าก็คิดไปมากมายเช่นนี้ วันหน้าเจ้ามีลูก จะมีเวลาที่ไหนมาดูแลข้า เลือกซื้อสาวใช้มาอบรมสักสองสามคน วันหน้าเจ้าก็เป็นหัวหน้าผู้ดูแลก็ได้”
ติงเซียงได้ฟังก็ดีใจมาก รีบเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณฮูหยิน”
“เอาละ เอาละ อย่าได้แต่ขอบคุณไปขอบคุณมา”
สามคนคุยไปหัวเราะไป ลู่เจียวเป็นคนไม่วางอำนาจอันใด ปกติกับบ่าวข้างกายก็ยิ่งราวกับญาติสนิทมิตรสหาย นอกจากคนข้างกายที่ไม่รู้ความจึงจะทำให้นางโมโห แต่ส่วนใหญ่นางกับหร่วนจู๋และติงเซียงก็ดุจพี่น้อง ดังนั้นคนที่เคยรับใช้นางต่างชอบใกล้ชิดนางมาก
แม้เฝิงจือที่แต่งออกไปไกลแล้ว ยังกลับมาเยี่ยมเป็นเพื่อนคุยกันปีละหลายรอบ
สรุปมีแต่คนชอบฮูหยิน
รถม้าแล่นตรงมายังสำนักศึกษาสตรีซุ่ยเต๋อ หน้าประตูรถม้าไปมากันครึกครื้นเบียดเสียด โชคดีที่มีอาจารย์ในสำนักจัดคนมาจัดระเบียบ พอมีรถม้ามาก็ให้บ่าวหญิงจากสำนักศึกษามาพาไปจอดด้านข้าง คนก็เดินเข้าสำนักศึกษาไป
เนี่ยอวี้เหยากับเถียนฮวนพาหูหลิงเสวี่ยกับจ้าวอวี้หลัวสองคนมารอที่หน้าประตู พอเห็นลู่เจียว เนี่ยอวี้เหยากับเถียนฮวนก็รีบกวักมือเรียกพวกนาง
ลู่เจียวยิ้มพยักหน้า ฮูหยินแต่ละตระกูลข้างๆ เห็นนางก็ส่งเสียงทักทาย
“ฮูหยินเซี่ยมาแล้ว”
“ฮูหยินเซี่ย บ้านเจ้ามีบุตรีได้วัยพอเหมาะหรือ”
ตระกูลเซี่ยไม่มีบุตรีได้วัยพอเหมาะจะมาร่วมสอบที่นี่ ดังนั้นทุกคนจึงแปลกใจ
ลู่เจียวยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าได้รับเชิญจากพระชายารัชทายาทมาเป็นกรรมการพิเศษรับเชิญ”
ทุกคนพอได้ฟังก็มีสีหน้ายิ้มแย้มแท้จริง “ที่แท้เป็นเช่นนี้ สมควร ๆ”
“ใต้เท้าลู่เป็นเจ้ากรมสำนักยาหลวง ขุนนางระดับเจ็ด เป็นแบบอย่างของสตรีแคว้นต้าโจว มาร่วมเป็นกรรมการพิเศษรับเชิญก็เป็นเรื่องปกติ”
ลู่เจียวคุยกับพวกนางไปก็เดินมาถึงหน้าประตูสำนักศึกษา
เนี่ยอวี้เหยากับเถียนฮวนทักทายลู่เจียว หูหลิงเสวี่ยกับจ้าวอวี้หลัวสองคนก็เข้ามาคำนับลู่เจียว
“คารวะน้าลู่”
ลู่เจียวมองออกว่าหูหลิงเสวี่ยตื่นเต้นมาก สีหน้าแอบซีดขาว จ้าวอวี้หลัวดีกว่าสักหน่อย แต่ก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน
ลู่เจียวเห็นท่าทางพวกนางแล้วก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “พวกเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ ต้องทำใจให้นิ่งสงบ สอบได้ก็ได้ สอบไม่ได้ก็ไม่ได้”
หูหลิงเสวี่ยกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “สาเหตุหลักก็เพราะว่าพวกเราสองคนอายุมากแล้ว หากสอบไม่ได้ ใช่ว่าจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาหรือ”
ก่อนหน้านี้พวกนางมองไปรอบๆ พบว่าคนที่มาสอบสำนักศึกษาสตรีในวันนี้ล้วนเป็นเด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสอง อายุสิบสามก็น้อยมาก แต่พวกนางสิบสี่แล้ว
ลู่เจียวมองสองคนกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด มัวแต่สนใจผู้อื่นทำไมกัน ตอนนี้ที่พวกเจ้าต้องคิดก็คือแสดงความสามารถตนเองให้ดี แสดงความสามารถที่ดีที่สุดดังปกติก็พอแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวถึงสุดท้ายก็ยิ้มกล่าวว่า “วันนี้ข้าได้รับเชิญจากพระชายารัชทายาทให้มาเป็นกรรมการพิเศษรับเชิญ ดังนั้นอีกสักครู่ข้าจะนั่งอยู่ในตำแหน่งกรรมการสอบ พวกเจ้าอย่าได้ตื่นตกใจ ข้าคอยมองดูพวกเจ้าอยู่”
หูหลิงเสวี่ยกับจ้าวอวี้หลัวได้ฟังก็ดีใจมาก “น้าลู่ จริงหรือ”