ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 770 ขันที
ตอนที่ 770 ขันที
หลังฮ่องเต้มีราชโองการลงมาไม่นานก็ส่งคนมารับตัวเซียวเหวินอวี๋โอรสรองเข้าวัง
เซียวเหวินอวี๋ไม่ได้ปฏิเสธ นำของที่ท่านพ่อกับท่านแม่มอบให้เขาเข้าวัง
ครั้งนี้เขาเข้าวัง ลู่เจียวมอบของที่จะแบ่งให้พี่น้องเขามอบให้เขาล่วงหน้า นอกจากจวนหลังหนึ่งในเมืองหลวง เซียวเหวินอวี๋ยังมีอาคารการค้าสามห้องในพื้นที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง โรงนาสองโรงที่ชานเมือง ที่นาดีแปดร้อยหมู่ และตั๋วแลกเงินสามหมื่นตำลึง
เรื่องเหล่านี้นางได้เตรียมแบ่งให้ลูกๆ ไว้แล้ว ตอนพวกเขาแต่งงานก็จะมอบให้พวกเขา ตอนนี้ซื่อเป่าเข้าวัง วันหน้างานแต่งงานของเขาก็คงไม่ใช่พวกนางจัดการ แต่เป็นฮ่องเต้ ดังนั้นพวกนางจึงได้มอบของเหล่านี้แก่ซื่อเป่าล่วงหน้า
ของเหล่านี้เป็นเรื่องรอง แต่ที่มีค่าที่สุดก็คือเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวยังมอบผู้คุ้มกันห้าคนที่พวกเขาทุ่มเทอบรมมาสิบปีให้แก่ซื่อเป่า
ผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็คือคนที่ลู่เจียวตั้งใจอบรมมาตั้งแต่ในปีนั้นที่ได้รู้สถานะซื่อเป่า นางสั่งการพ่อบ้านเซียวทุ่มเทเงินทองไปเลือกเฟ้นเด็กที่เหมาะกับการฝึกยุทธ์มาจากสำนักนายหน้า ตอนนั้นเลือกมาได้ทั้งหมดสิบคน ลู่เจียวตัดสินใจว่าหากซื่อเป่าเข้าวังก็จะมอบให้ซื่อเป่าห้าคน ที่เหลือก็ให้ติดตามลูกๆ ของนางอีกห้าคน รวมกับเด็กติดตามที่พวกเขาฝึกยุทธ์ด้วยกันมาแต่เล็กอีกหนึ่งคน ก็มีสองคนคอยคุ้มกันพวกเขาแล้ว
นางผู้เป็นมารดาจึงวางใจได้
ซื่อเป่าเข้าวังครั้งนี้ ลู่เจียวก็เลือกผู้คุ้มกันห้าคน ให้พวกเขาแอบคอยคุ้มกันซื่อเป่า
ก่อนเข้าวัง ลู่เจียวดึงมือซื่อเป่ามากุมพลางกำชับอย่างละเอียดว่า “ซื่อเป่า จำไว้ อย่าได้เชื่อใจผู้ใดในวังทั้งสิ้น แม้ว่าคนผู้นั้นเคยช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็อย่าได้เชื่อใจเขาง่ายๆ อย่าลืมอุบายยอมเจ็บตนเองในสามสิบหกอุบายที่แม่สอนเจ้า เจ้าติดตามท่านพ่อกับท่านแม่มาตลอด ไม่เคยได้พบกับอุบายชั่วร้ายในใจคนมาก่อน ดังนั้นอย่าได้หลงเชื่อผู้อื่นโดยง่าย”
“เจ้าอย่าได้บอกเรื่องของที่ท่านพ่อกับท่านแม่ให้เจ้ากับฝ่าบาท แม้แต่ผู้คุ้มกันทั้งห้า นั่นคือไพ่ใบสุดท้ายของเจ้า แม้แต่ฮ่องเต้ก็อย่าได้บอก”
ซื่อเป่าได้ฟังคำกำชับของลู่เจียวก็น้ำตารื้น เขายื่นมือออกไปกอดลู่เจียวแน่น “ท่านแม่ ขอบคุณ ขอบคุณทุกอย่างที่ท่านแม่ทำเพื่อข้า”
นางทำมากกว่ามารดาผู้ใดในโลกนี้ ล้วนทำไปด้วยความรัก
ซื่อเป่าแน่ใจได้ว่า ท่านแม่เป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง ดังนั้นนางยินยอมช่วยเหลือคนลำบากพวกนั้น ยินยอมที่จะรักเขา อบรมสั่งสอนเขาอย่างทุ่มเท เขาจะต้องทำให้ท่านแม่เขาได้กลายเป็นแบบอย่างแห่งสตรีใต้หล้าให้ได้
แววตาซื่อเป่าลุ่มลึกอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตบหลังซื่อเป่า “เอาละ อย่าให้ฝ่าบาททรงรอนาน อีกอย่าง วันหน้าหากได้พบกันอีก อย่าได้เรียกพวกเราว่าท่านพ่อกับท่านแม่ เจ้ามีท่านพ่อเพียงหนึ่งเดียวก็คือฝ่าบาทในวัง วันหน้าเจ้าก็คือองค์ชายแคว้นต้าโจว”
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นยากทนรับไหว บุตรชายที่ตนเองเลี้ยงดูมา เรียกพวกตนว่าท่านพ่อกับท่านแม่มาตลอด พบกันอีกครา ก็ได้แต่เรียกเขาว่าองค์ชายรอง ไม่อาจเรียกเขาว่าซื่อเป่าอีกแล้ว
ซื่อเป่าได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ในที่สุดก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้
เขาหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น มองไปยังลู่เจียว สะอื้นกล่าวว่า “ท่านพ่อกับท่านแม่ ข้าหวังว่าพวกท่านจะอนุญาตให้บุตรชายคนนี้ได้มีสิทธิ์เรียกขานพวกท่านเช่นนี้ในที่ส่วนตัวต่อไป”
ลู่เจียวรู้ว่าตอนนี้เขาเสียใจยากยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ วันหน้าจะค่อยๆ ดีขึ้น
“ได้ ในที่ส่วนตัวพวกเราก็ยังเรียกขานกันเช่นนี้”
ในที่สุดซื่อเป่าก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ปล่อยวางลู่เจียวลงได้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวส่งเขาออกไป ต้าเป่ากับแฝดชายหญิงก็ตามออกไปส่งเขา
ทุกคนต่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงพากันเงียบ
ฝ่าบาทส่งขันทีสี่คนกับองครักษ์สี่คนมารับซื่อเป่าเข้าวัง เห็นซื่อเป่าก็พากันมองตาค้าง
สวรรค์ นี่คือองค์ชายรองหรือ รูปงามเกินไปแล้ว เดิมคิดว่าองค์ชายใหญ่รูปงามไม่ธรรมดาแล้ว ตอนนี้ถึงกับมีองค์ชายรองที่รูปงามยิ่งกว่า
ขันทีมองอยู่นานก็ตั้งสติไม่ทัน จนกระทั่งซื่อเป่าเดินมา ค่อยๆ เอ่ยกับพวกเขาเบาๆ ว่า “พวกเราเข้าวังกันเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรอง เชิญองค์ชายรอง”
สี่ขันที สี่องครักษ์ เชิญซื่อเป่าขึ้นรถม้าอย่างนอบน้อม
ซื่อเป่ายืนอยู่หน้ารถม้า หันไปมองตระกูลเซี่ยทุกคนครั้งสุดท้าย การจากกันครั้งนี้ วันหน้าพบกันอีกครั้งก็เป็นนายกับบ่าวที่ต่างชนชั้นแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ น้องห้า หลิงหลง ข้าเข้าวังแล้วนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพาลูกๆ โบกมือ ซื่อเป่าอมยิ้มพยักหน้า หันมองไปยังโจวโย่วฉินที่โตมาพร้อมกับเขา ยิ้มกล่าวอำลากับโจวโย่วฉิน
“โย่วฉิน รักษาสุขภาพด้วย”
ซื่อเป่าเข้าวังครั้งนี้ นอกจากผู้คุ้มกันไม่ปรากฏตัวในที่แจ้งทั้งห้าคนแล้วก็ไม่ได้พาคนอื่นเข้าวังอีก ในวังผู้ชายที่ไปมาได้อิสระ นอกจากองครักษ์แล้วก็คือขันที
องครักษ์ที่ไปมาอิสระในวังได้ก็ต้องตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ทุกคนต้องมีประวัติใสสะอาด และไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางในราชสำนัก หากเกี่ยวข้องก็ไม่อาจเข้าวังเป็นองครักษ์ได้
อีกอย่างก็คือต้องเป็นขันทีจึงจะเข้าวังได้ โจวโย่วฉินเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลเซี่ย ไม่อาจเข้าวังเป็นองครักษ์ได้ เขาเองก็มิใช่ขันที ดังนั้นซื่อเป่าไม่อาจพาเขาเข้าวังได้ และความต้องการของซื่อเป่าก็คือปีนี้โจวโย่วฉินอายุสิบหก อยู่นอกวังแต่งงานมีลูกได้ ไม่จำเป็นต้องตามเขาเข้าวัง
ในวังหลวงมีแต่อันตราย เขาเข้ามาอยู่ในวังเป็นเรื่องอันตรายมาก อยู่นอกวังดีกว่า
โจวโย่วฉินมองรถม้าจากไปเงียบๆ เป็นนานก่อนจะยอมกลับเข้าจวนตระกูลเซี่ย
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเข้ามา โจวเส้ากงกำลังหยิบไม้กระบองไล่ตีโจวโย่วฉิน
วิ่งไล่ตีไปรอบจวน ตีไปด่าไปว่า “เจ้าบัดซบ เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลอีก เจ้าพูดเหลวไหลอีกคำเดียว ดูว่าข้าจะตีเจ้าให้ตายไหม”
โจวโย่วฉินวิ่งไปตะโกนไปว่า “ท่านพ่อ ห้ามข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าบอกแล้วก็จะทำ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นพ่อลูกสองคนวิ่งไล่ตีกันก็รีบเข้าไปห้ามไว้ “โจวเส้ากง สอนลูกดีๆ ทำอันใดกัน เขาโตเพียงนี้แล้ว รักษาหน้าตา”
โจวเส้ากงโผลงมาคุกเข่ากล่าวว่า “ใต้เท้า เจ้าลูกเนรคุณถึงกับจะตอนตนเองเข้าวังไปเป็นขันที”
พอโจวเส้ากงเอ่ย เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็รู้ว่าโจวโย่วฉินทำเช่นนี้เพื่อเข้าวังไปเป็นเพื่อนซื่อเป่า
สองสามีภรรยาซาบซึ้งใจมากที่โจวโย่วฉินคิดปกป้องนาย แต่ก็ยังคงเตือนเขาว่า “โย่วฉิน เจ้ามีใจเช่นนี้ พวกเราขอบคุณเจ้าแทนซื่อเป่า แต่เจ้าเป็นบุตรชายตระกูลโจว จะจัดการตนเองเข้าวังไปเป็นขันทีได้อย่างไร เรื่องนี้แล้วไปดีกว่า”
โจวโย่วฉินเงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกล่าวว่า “ข้ารู้ข้าทำเช่นนี้อกตัญญู แต่ข้าติดตามซื่อเป่ามาแต่เล็ก จดจำเจ้านายคนนี้ไว้แล้ว ข้าโตมาพร้อมกับเขา เรียนรู้อะไรมามากมาย หากไม่ใช่ได้ติดตามเขา ตอนนี้ข้าก็คงเป็นบ่าวชายโง่งมคนหนึ่งเท่านั้น”
“แต่ไรมาเขาไม่เคยเห็นข้าเป็นบ่าวรับใช้ แต่เห็นข้าเป็นพี่ชาย ตอนนี้เขาเข้าวังไปอันตรายมาก ข้ากลับไม่อาจติดตามไปปกป้องเขาได้ ข้ารู้สึกว่าข้าช่างไร้ประโยชน์ เสียทีที่หลายปีมานี้ เขาดีกับข้า วันหน้าหากเขาเจออันตรายและเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะต้องเสียใจมาก และจะต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต รู้สึกว่าตนเองเป็นคนหลงลืมบุญคุณคน ดังนั้นข้าจะเข้าวังไปเป็นเพื่อนเขา”
“แม้ว่าไม่ได้เป็นชายชาตรี หรือวันหน้าต้องตาย แต่ข้าก็ไม่นึกเสียใจ”