ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 791 หย่า
ขันทีรับคำออกไปสืบความตระกูลเฉินในวันนี้กลับมาอย่างรวดเร็ว
เซียวอวี้ได้ยินก็มีสีหน้าเย็นเยียบ เขาคิดว่าแม้ว่าตระกูลเฉินสถานะต่ำต้อย แต่ก็ควรจะไม่เลวร้ายมาก อย่างไรอาจารย์เฉินก็สั่งสอนนักเรียนมามากมาย บุตรชายตนเองก็เป็นจิ้นซื่อหนึ่งคน เป็นจวี่เหรินหนึ่งคน ผู้ใดจะรู้ว่าตระกูลพวกเขาถึงกับไม่ได้ความเช่นนี้
มิน่าองค์ชายรองไปที่นั่นกลับมาจึงคิดออกจากวัง ไม่เป็นองค์ชายรองแล้ว มีอาสะใภ้รองเช่นนี้ วันหน้าอาจหาเรื่องเดือดร้อนมาให้องค์ชายรองได้
เซียวอวี้ครุ่นคิดแล้วก็รับสั่งขันทีตงหลินข้างกายให้นำพระดำรัสไปแจ้งแก่ตระกูลเฉิน
ตระกูลเฉินทุกคนได้รับพระดำรัสฝ่าบาทแล้วก็สบตากันเป็นนานไม่กล่าวอันใด
ขันทีตงหลินกล่าวเนิบนาบว่า “พวกเจ้าเป็นตระกูลมารดาองค์ชายรอง ตามหลักข้าควรให้ความเคารพ เพียงแต่ข้าขอเตือนด้วยความหวังดีสักคำ วันหน้าตระกูลเฉินอยู่เมืองหลวงแม้มีอำนาจวาสนา แต่หากมีสตรีที่ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก ยากจะรับรองได้ว่าจะไม่นำความเดือดร้อนมาสู่องค์ชายรองและตระกูลเฉิน”
ตงหลินกล่าวจบก็จากไป
ยามนี้สีหน้าสะใภ้รองซีดเผือด เข่าอ่อนยวบลงคุกเข่ากับพื้น
“ข้า ข้า”
เฉินมู่อู่อดถลึงตาใส่นางไม่ได้ “ล้วนเป็นเพราะเจ้าก่อเรื่อง บอกให้เจ้าเข้าเมืองหลวงมาแล้วพูดน้อยๆ กินข้าวให้มากๆ สนใจแต่วาสนาเจ้าก็พอ วาจาไม่ควรพูดก็อย่าได้พูด ตอนนี้ดีเลย หาเรื่องทำลายตนเองแท้ๆ”
ก่อนหน้านี้เฉินมู่อู่คิดหย่าสะใภ้รองที่ตำบลชีหลี่แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าตอนนั้นนางตั้งครรภ์แล้ว จากนั้นก็ให้กำเนิดทารกชายแก่ตระกูลเฉิน
นางให้กำเนิดหลานชายกับตระกูลเฉินถึงสองคน เด็กต้องการมารดา ดังนั้นเขาทนให้บุตรชายอายุยังน้อยไร้มารดาไม่ได้ จึงได้อดทนไว้ ครั้งนี้เข้าเมืองหลวง เดิมบิดามารดาคิดให้ครอบครัวพวกเขาอยู่ตำบลชีหลี่ต่อ ทรัพย์สมบัติที่ตำบลชีหลี่ก็จะมอบให้ครอบครัวพวกเขา
แต่เฉินมู่อู่คิดถึงว่าพี่ใหญ่ที่สอบจิ้นซื่อได้ คิดถึงว่าน้องเล็กที่สอบจวี่เหรินได้ หากตนเองติดตามบิดามารดา ไม่แน่ว่าบิดาอาจอบรมสั่งสอนจวี่เหรินหรือซิ่วไฉขึ้นมาอีกก็ได้ บิดาไปจากตำบลชีหลี่ ลูกๆ เขาก็ต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอื่น ผู้อื่นไหนเลยจะทุ่มเทเหมือนบิดาของเขา
ดังนั้นเฉินมู่อู่จึงยืนยันจะตามบิดามารดาเข้าเมืองหลวง
ก่อนเข้าเมืองหลวง เขาได้กำชับภรรยาตนเองแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางพูดจาน้อยๆ กินข้าวให้มากๆ รอให้บุตรชายได้เป็นเหมือนลุงและอาก่อน วันหน้านางผู้เป็นมารดาก็จะได้เสวยวาสนาสุขแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่านางยังคงก่อเรื่อง
ยามนี้สะใภ้รองรู้จักหวาดกลัวแล้ว คุกเข่าร่ำไห้ขอร้องนายผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านอย่าให้มู่อู่หย่ากับข้า วันหน้าข้าจะไม่พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว ไม่ล่วงเกินผู้อื่นอีกแล้ว ขอพวกท่านละเว้นข้าสักครั้ง ข้ารับรอง”
สะใภ้รองร้องไห้จบก็หันไปมองเฉินมู่อู่ “มู่อู่ เจ้าช่วยขอร้องท่านพ่อกับท่านแม่ให้ข้าหน่อย”
ครั้งนี้ไม่ต้องรอให้เฉินมู่อู่ตอบ สะใภ้ใหญ่เฉินเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ครั้งนี้ฝ่าบาทมีรับสั่ง หากท่านยังให้น้องสะใภ้อยู่ต่อ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงกริ้ว”
สะใภ้ใหญ่ไม่ชอบพฤติกรรมสะใภ้รอง รู้สึกว่าหญิงผู้นี้โง่เขลามาก นางเกรงว่าหญิงผู้นี้อยู่เมืองหลวงต่อไป จะนำภัยมาสู่ตระกูลเฉิน นอกจากบ้านรองแล้ว ตระกูลเฉินยังมีบ้านใหญ่และบ้านสาม หากท่านพ่อไม่จัดการให้หมดจด ก็แยกบ้านกันดีกว่า ไล่บ้านสองออกไป เป็นตายไม่เกี่ยวข้องกัน
ในยามนี้สะใภ้ใหญ่หรือฮูหยินเฉินคิดไปพลางมองนายผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน สองผู้เฒ่ามองความคิดสะใภ้ใหญ่ออก ได้แต่ถอนหายใจมองเฉินมู่อู่ กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งบ้านสองพวกเจ้าไปจากเมืองหลวง กลับตำบลชีหลี่ไป หรือตระกูลเฉินหย่าสะใภ้รอง ให้คนส่งนางกลับอำเภอชิงเหอไป”
เฉินมู่อู่คิดแล้วก็มองสะใภ้รองกล่าวว่า “หลี่ฉาน เจ้าลองคิดถึงบุตรชายเราหน่อยเถอะนะ”
หลี่ฉานได้ฟังเฉินมู่อู่ ก็อึ้งไปทันที วาจานี้หมายความเยี่ยงไร
“ข้าเขียนหนังสือหย่าให้เจ้า เจ้ากลับตำบลชีหลี่ไปเถอะ ข้าไม่อาจกลับไปกับเจ้าได้ ข้าไม่อยากให้บุตรชายทั้งสองของข้าวันหน้าเป็นคนบ้านนอกคอกนาเหมือนกับข้า ข้าอยากให้พวกเขาได้เชิดหน้าชูตา”
เมื่อก่อนเฉินมู่อู่ไม่ชอบเรียนหนังสือ พอเห็นพี่ชายกับน้องชายสอบจิ้นซื่อและจวี่เหรินได้ จึงได้รู้สึกเสียใจภายหลัง แต่ก็สายไปเสียแล้ว ตอนนี้เขามีแต่ความคิดส่งเสริมให้บุตรชายเรียนหนังสือ หวังว่าวันหน้าบุตรชายจะได้เหมือนลุงและอาของตนเอง สอบจิ้นซื่อหรือไม่ก็จวี่เหรินได้ เขาก็จะได้เป็นบิดาจิ้นซื่อหรือไม่ก็จวี่เหริน บิดาของเขาเองก็ไม่ใช่ว่าเป็นเช่นนี้หรือ
หลี่ฉานได้ฟังเฉินมู่อู่ก็แผดเสียงร้องไห้ดัง หลังร้องไห้จบก็มองเฉินมู่อู่ ขอร้องว่า “มู่อู่ พวกเรากลับตำบลชีหลี่กัน กลับตำบลชีหลี่ก็ส่งบุตรชายไปเรียนที่สำนักศึกษาได้ บุตรชายเราก็สอบเคอจวี่ได้เหมือนกัน”
เฉินมู่อู่ตามนางกลับตำบลชีหลี่ก็ได้ เช่นนี้ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องแยกจากกัน
พวกเขากลับตำบลชีหลี่ นายผู้เฒ่ากับฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทรัพย์สมบัติที่ตำบลชี หลี่มอบให้ครอบครัวพวกเขาทั้งหมด ชีวิตในตำบลชีหลี่ก็จะไม่ลำบาก จะมีชีวิตที่ดีมาก
วันหน้าผ่านไปอีกหน่อย นางค่อยขอร้องนายผู้เฒ่า ไม่แน่อาจได้กลับมา
ดังนั้นหลี่ฉานรู้สึกว่าวิธีการยอมถอยก่อนนี้ใช้ได้
น่าเสียดายเฉินมู่อู่ไม่คิดเช่นนี้ เขามองหลี่ฉานกล่าวเสียงดังว่า “พี่ชายและน้องชายข้าสอบเคอจวี่ได้ ก็เพราะบิดาข้าทุ่มเทอบรม เจ้าคิดว่าอาจารย์สำนักศึกษาจะเหมือนบิดาข้าหรือ ข้าไม่กลับ”
เขากล่าวจบถลึงตาใส่หลี่ฉานกล่าวว่า “หลี่ฉาน เรื่องนี้เจ้าก่อขึ้นเอง เจ้าอย่าได้เป็นตัวถ่วงข้ากับบุตรชายเจ้า”
กล่าวจบเขาก็ไม่สนใจหลี่ฉานอีก หันไปหยิบพู่กันกับกระดาษมาเริ่มเขียนหนังสือหย่า
หลี่ฉานเห็นว่าครั้งนี้เฉินมู่อู่เอาจริงแล้ว ก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นโมโห นางตวาดด่าทอเฉินมู่อู่อย่างเดือดดาล
“เฉินมู่อู่ อย่าได้พูดจาน่าฟังเพียงนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องตาต้องใจความเจริญในเมืองหลวง ดังนั้นไม่ยอมกลับไปตำบลชีหลี่กับข้า ยังคิดเอาเรื่องบุตรชายมาอ้าง เจ้ากล้าหย่ากับข้า ข้าก็จะตายที่ตระกูลเฉินเจ้า ข้าเป็นคนตระกูลเฉิน ตายไปก็จะเป็นผีตระกูลเฉิน”
หลี่ฉานทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย เฉินมู่อู่เขียนหนังสือหย่าเสร็จ ก็เอาไปตรงหน้าหลี่ฉาน กล่าวว่า “หลี่ฉาน เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรือ เจ้ากลัวตายมาก ไม่มีทางกล้าไปตายหรอก”
เขากล่าวจบมองไปยังหลี่ฉานกล่าวว่า “แม้ว่าข้าหย่ากับเจ้า แต่จัดการชีวิตจากนี้ของเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว บ้านตระกูลเฉินที่ตำบลชีหลี่ก่อนหน้านี้และที่นาในตำบลชีหลี่มอบให้เจ้า”
ตระกูลเฉินมีสมบัติในตำบลชีหลี่ไม่น้อย เฉินมู่อู่ย่อมไม่อาจมอบให้หลี่ฉานหมด แต่พอคิดว่านางกลับไปคงมีชีวิตไม่ดีนัก ดังนั้นจึงให้บ้านนางไว้พักอาศัย และให้ที่นาจำนวนหนึ่งแก่นาง”
หลี่ฉานได้ฟังเฉินมู่อู่ รู้ว่าเขายังเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยา ก็ร้องไห้ขึ้นมา “เฉินมู่อู่ ข้าไม่ไปๆ”
สะใภ้ใหญ่เฉินไม่อาจปล่อยนางไว้ สั่งให้คนส่งหลี่ฉานไป
ต่อมาเสียงเคลื่อนไหวทางนี้ทำให้บุตรชายสองคนของหลี่ฉานรู้เรื่อง ทั้งสองพากันวิ่งมาร้องไห้เสียงดังคิดรั้งมารดาไว้ ตระกูลเฉินเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายนายผู้เฒ่าเฉินเกือบจะหมดสติ
ฮูหยินเฉินสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง มองเฉินมู่อู่กล่าวว่า “หากท่านพ่อถูกพวกเจ้าทำให้โมโหจนเป็นอันใดไป ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เมืองหลวงแล้ว”
นางกล่าวจบก็หันไปสั่งการให้คนไปเชิญหมอในเมืองหลวงมา