ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 817 สงสัย
ตอนที่ 817 สงสัย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบออกจากวังหลวงไปรับลู่เจียว พานางไปส่งหน้าประตูตำหนัก “หากเจ้าพบเรื่องอันใดก็ส่งคนมาสำนักมนตรีบอกข้า”
“รู้แล้ว เจ้าไปทำงานเถอะ”
หน้าประตูวัง ลู่เจียวรู้สึกเก้อเขิน ทหารเฝ้าประตูต่างมองพวกนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
ยุคสมัยนี้คนอายุมากเท่าพวกนางไม่ค่อยแสดงท่าทางรักใคร่กันเช่นนี้ ดังนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นแสดงท่าทางสนิทชิดใกล้กับลู่เจียวจึงเป็นเรื่องแปลกในสายตาผู้อื่น
ใต้เท้าเซี่ยเป็นขุนนางระดับสอง ในจวนมีภรรยาเพียงคนเดียว ประเด็นสำคัญก็คือยังรักภรรยาตนเองเช่นนี้ ใต้เท้าเซี่ยเป็นผู้ชายที่ดีจริง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจผู้อื่น เขาชินกับการอยู่ร่วมกับลู่เจียวเช่นนี้
ลู่เจียวเข้าวังแล้วก็ไปตำหนักพักอ๋องหมิงเซียวเหวินอวี๋
แม้ว่าเซียวเหวินอวี๋ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋อง ภายนอกก็เริ่มสร้างจวนอ๋องให้เขาแล้ว แต่เพราะเขาอายุไม่มาก จวนด้านนอกยังสร้างไม่เสร็จ ตอนนี้เขายังคงอยู่ในวัง ปีหน้าจวนอ๋องสร้างเสร็จ เขาก็จะได้อภิเษกและย้ายออกไป
ลู่เจียวยังไม่ได้เห็นเซียวเหวินอวี๋ ในใจก็เป็นห่วงมาก นางถามโจวโย่วฉินอย่างห่วงใย สีหน้าโจวโย่วฉินไม่ค่อยดีนัก เดินกะเผลกข้างหนึ่ง ยังมีบาดแผลตามร่างกาย
“อ๋องหมิงไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
โจวโย่วฉินรีบกล่าวว่า “เรียนฮูหยิน อ๋องหมิงไม่เป็นอันใด ฮูหยินวางใจได้”
ลู่เจียวถามโจวโย่วฉินอย่างห่วงใย “แล้วขาเจ้าเล่า”
โจวโย่วฉินรีบกล่าวทันทีว่า “ขาบ่าวก็ไม่เป็นอันใด ฮูหยินวางใจได้”
ลู่เจียวไม่ได้ถามต่อ ในวังหูตามากมาย แม้ว่านางเป็นมารดาเลี้ยงองค์ชายรอง แต่ยังคงควรระวังสักหน่อยจะดีกว่า
เซียวเหวินอวี๋เห็นลู่เจียว ก็เอ่ยเรียกอย่างรู้สึกเหมือนโดนรังแกมา “ท่านแม่ ข้าเจ็บ”
ลู่เจียวมองเซียวเหวินอวี๋ คิดไม่ถึงว่าบาดแผลเซียวเหวินอวี๋ถึงกับอยู่ตรงหน้าอก แม้ว่าไม่ใช่ตำแหน่งหัวใจ แต่ห่างจากหัวใจไม่มาก อันตรายมาก
ลู่เจียวรู้ว่าเซียวเหวินอวี๋ได้รับบาดเจ็บ ในใจก็เตรียมตัวไว้แล้ว แต่พอมาได้เห็นตำแหน่งบาดแผลเซียวเหวินอวี๋ ขอบตานางก็อดแดงไม่ได้ จากนั้นก็คิดถึงว่าบาดแผลนี้พวกเขาจงใจรับไว้เอง หากไม่คิดรับไว้เอง ย่อมมีโอกาสหลบพ้น
ลู่เจียวพูดไม่ออก เดินเข้าไปจิ้มหน้าผากเซียวเหวินอวี๋เต็มแรง “เจ้านี่นะ เจ้าให้ข้าว่าอันใดเจ้าดี”
เซียวเหวินอวี๋ไม่ได้พบลู่เจียวมานาน ได้เห็นลู่เจียวทำกับเขาเหมือนเมื่อก่อน ในใจเขาก็พลันอ่อนยวบ ยื่นมือไปกอดเอวลู่เจียวเหมือนตอนเด็ก “ท่านแม่ ข้าเจ็บ”
ลู่เจียวโมโหทุบเขาไปทีหนึ่ง “เจ้าไม่ระวังตัวเองเลย ครั้งหน้ากล้าทำเช่นนี้อีก ข้าก็จะไม่มีบุตรชายเช่นเจ้าอีก”
เซียวเหวินอวี๋รีบรับผิด “ทราบแล้ว ทราบแล้ว ครั้งหน้าไม่กล้าอีกแล้วขอรับ”
ลู่เจียวแสดงท่าทางให้เซียวเหวินอวี๋ปล่อยนาง “แม่พันแผลให้เจ้าใหม่”
“ขอรับ ท่านแม่”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวจบก็ปล่อยลู่เจียว พอได้กอดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีพลังเพิ่มขึ้นเต็มเปี่ยม เพราะเขารู้ว่าตนเองไม่ได้ตัวคนเดียว เบื้องหลังเขามีทั้งครอบครัวคอยปกป้องเขาอยู่
ลู่เจียวแสดงท่าทางให้เซียวเหวินอวี๋ถอดเสื้อ เซียวเหวินอวี๋ยังเขินอายอยู่บ้าง อึกๆ อักๆ ละล้าละลัง ลู่เจียวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เร็วหน่อย ใช่ว่าแม่ไม่เคยเห็น”
เซียวเหวินอวี๋รีบเงยหน้ามองนาง “จะเหมือนกันได้อย่างไร ตอนนี้ข้าโตแล้ว”
“แม่เป็นหมอ มักพันแผลให้คนเจ็บ เด็กน้อยอย่างเจ้ายังกล้าบอกว่าโตแล้ว เร็ว”
เซียวเหวินอวี๋ถอดเสื้อออก ลู่เจียวเห็นบาดแผลฉกรรจ์มาก ดูแล้วน่าตกใจ แต่โชคดีที่ไม่ได้ไปถึงหัวใจ
ลู่เจียวพันแผลให้เขาใหม่แล้วก็กำชับว่า “วันหน้าอย่าทำเรื่องที่ทำให้ศัตรูเจ็บตัวหนึ่งพัน ตนเองเจ็บตัวแปดร้อยเช่นนี้อีก แม่รู้สึกว่าเป็นอุบายที่โง่เง่าที่สุด”
เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังลู่เจียวกำชับ ก็เอ่ยรับรองว่า “ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว”
ลู่เจียวพันแผลให้เซียวเหวินอวี๋เสร็จ ก็ตรวจอาการบาดเจ็บที่อื่นต่ออย่างละเอียด นอกจากบาดแผลจากกระบี่ที่หน้าอก ที่อื่นๆ ล้วนไม่เป็นอันใดมาก แต่เขาเพราะเสียเลือดมากไป ดูแล้วจึงอ่อนกำลังมาก ลู่เจียวเห็นท่าทางเขาเช่นนี้ก็สงสารจับใจ อดกำชับอีกครั้งไม่ได้
“เจ้าต้องทะนุถนอมร่างกายตนเองให้ดี เช่นนี้จึงจะไขว่คว้าสิ่งที่เจ้าต้องการมาได้ หากสุขภาพเจ้าไม่ดี แม้ไขว่คว้ามาได้ก็รักษาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นไยต้องลำบากไปแย่งชิงมาด้วย”
ลู่เจียวพูดจนสุดท้ายก็หรี่เสียงให้เบาลงกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าเห็นฝ่าบาทไหม หนุ่มๆ ก็ผมขาวแล้ว เป็นเพราะบาดเจ็บภายใน เขาย่อมอายุไม่ยืนยาว”
ลู่เจียวกล่าวจบก็น้ำเสียงดังขึ้นต่อว่า “อ๋องหมิง ท่านต้องทะนุถนอมสุขภาพให้ดี วันหน้าต้องกินของดีๆ ให้มากๆ เช่นนี้สุขภาพจึงจะดีได้”
เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็รู้ว่านางจงใจทำให้คนนอกห้องเขาได้ยิน
แม้ว่าเขาเป็นอ๋องหมิงแคว้นต้าโจว แต่เข้าวังมาไม่นาน ดังนั้นหากไม่เหนือความคาดหมาย ในตำหนักเขามีสายของผู้อื่นอยู่ไม่น้อย เซียวเหวินอวี๋เข้าใจความหมายของลู่เจียว ดังนั้นจึงให้ความร่วมมือกับนาง “ทราบแล้ว ฮูหยินเซี่ย”
เขากล่าวจบก็กระซิบถามว่า “เช่นนั้นเสด็จพ่อจะมีอายุได้นานเท่าไร”
ลู่เจียวกล่าวทันทีว่า “หากไม่ทรงกังวลกับราชกิจมากนัก น่าจะมีอายุได้อีกสิบปี แน่นอนว่าการคาดเดาเวลานี้คือนานที่สุด หากทรงกังวลกับราชกิจมากจนเหน็ดเหนื่อยเกินไป สิบปีก็ไม่ไหว คงอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปีแล้ว”
“ดังนั้นเจ้าดู แผ่นดินที่ทุ่มเทแย่งชิงมา สุดท้ายก็เป็นของผู้อื่นไป ดังนั้นเจ้าต้องทะนุถนอมร่างกายตนเองให้ดี มีเพียงสุขภาพแข็งแรง จึงจะปกป้องรักษาสิ่งที่ตนเองแย่งชิงมาเอาไว้ได้”
เซียวเหวินอวี๋จดจำคำพูดลู่เจียวไว้แล้ว เขามองลู่เจียวพร้อมกับแสดงท่าทีให้ความสำคัญยิ่ง กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจ วันหน้าข้าจะไม่เอาร่างกายตนเองมาล้อเล่นอีก”
“อย่าลืม”
ทั้งสองคนจงใจส่งเสียงดังคุยกันอีก ก่อนลู่เจียวจะเอายาแก้อักเสบออกมาจากห้วงอากาศให้เซียวเหวิน อวี๋กิน และยังทิ้งไว้อีกขวดหนึ่ง มียาของนาง ยาที่หมอหลวงให้ไว้ก็แทบไม่จำเป็นต้องกินแล้ว แต่ลู่เจียวกำชับเขาว่าให้ทำทีว่ากินยาหมอหลวง กล่าวจบก็ลุกขึ้นเตรียมกลับ
นอกประตู โจวโย่วฉินนำคนเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง ยาต้มเสร็จแล้ว ดื่มตอนนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้หมอหลวงสั่งยาให้เซียวเหวินอวี๋ เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังโจวโย่วฉินก็รีบสั่งการว่า “ให้คนยกยาเข้ามาได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
โจวโย่วฉินเดินออกไป นำคนจากสำนักหมอหลวงเข้ามา
ลู่เจียวกล่าวอำลากับอ๋องหมิง “อ๋องหมิง หม่อมฉันทูลลา”
เซียวเหวินอวี๋ไม่อยากให้ลู่เจียวไป เขาอยากให้ลู่เจียวอยู่เป็นเพื่อนคุยกับเขา มีท่านแม่อยู่ เขาก็อารมณ์ดี
แต่เขารู้ว่าลู่เจียวเป็นฮูหยินขุนนางนอกวัง ไม่อาจอยู่ในวังนานได้ ดังนั้นนางได้แต่ต้องออกจากวังหลวง
เซียวเหวินอวี๋มองลู่เจียวด้วยสีหน้าอัดอั้นตันใจ กล่าวว่า “ปีหน้าข้าจะต้องออกไปอยู่นอกวังหลวงให้ได้”
ตอนนั้นเขาก็จะแอบโดดไปตระกูลเซี่ยหานาง หรือตกค่ำก็นอนที่ตระกูลเซี่ยสักคืน
คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ในใจเซียวเหวินอวี๋ก็มีความหวัง จิตใจที่ตกต่ำสุดขีดก็เบิกบานขึ้นมา
ลู่เจียวยิ้มพยักหน้าเล็กน้อย หันเดินออกนอกประตูไป หมอหลวงกำลังยกยาเดินเข้ามา เห็นลู่เจียวก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่ตอนเดินสวนกับลู่เจียว ลู่เจียวรู้สึกได้ถึงอาการโล่งอกของหมอหลวง
ลู่เจียวหันกลับไปมองหมอหลวงอย่างนึกสงสัย เห็นเขายกชามยาไปตรงหน้าเซียวเหวินอวี๋
ลู่เจียวพลันเป็นห่วงว่าในวังจะมีคนลงมือต่อเซียวเหวินอวี๋ นางหันเดินกลับไปทันที ไม่รอให้เซียวเหวิน อวี๋รับชามยาไป ก็ยื่นมือออกไปก่อน “มา ให้ข้า”