ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 833 เป็นห่วง
ตอนที่ 833 เป็นห่วง
ฮองเฮาได้ฟังแม่ทัพเฟิงกับขุนพลอาน สีหน้าก็พลันแข็งทื่อ ยามนี้เซียวเหวินอวี๋เดินออกมาเอ่ยขึ้นหนักแน่นว่า “หากเสด็จพ่อทรงคิดว่าคนเหล่านี้ไม่อาจเป็นพยานได้ว่าเสด็จพี่กำกับและเล่นละครนี้เอง เช่นนั้นหม่อมฉันก็ยังมีวิธีพิสูจน์อีกว่าเสด็จพี่กำกับและเล่นละครนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
“หากหม่อมฉันใช้ดาบแทงเสด็จพี่บาดเจ็บ ที่ตัวหม่อมฉันควรมีโลหิตเปรอะเปื้อน เสด็จพ่อทรงทอดพระเนตร ที่ตัวหม่อมฉันไม่มีโลหิตเปรอะเปื้อนอันใด ตอนเสด็จพี่พุ่งเข้ามา หม่อมฉันหลบทัน”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวจบก็ไม่รอให้เซียวอวี้เอ่ย แต่เอ่ยขึ้นอีกว่า “นับประสาอันใดกับกำลังที่ใช้ในการแทงตนเองกับผู้อื่นแทงย่อมแตกต่างกัน ผู้อื่นแทงย่อมไม่รู้หนักเบา บาดแผลมักจะสาหัส บาดแผลฉีกขาดวงกว้าง แทงตนเองแรงกำลังจะค่อนข้างเบา เพราะจิตใต้สำนึกกลัวเจ็บ ก็จะเบามือลง บาดแผลก็มักจะค่อนข้างตื้น เรื่องนี้เสด็จพ่อทรงถามหมอหลวงฉีได้พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเหวินอวี๋กล่าวถึงตรงนี้ เซียวอวี้ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดน่ากลัว เขารู้ว่าเซียวเหวินอวี๋เป็นคนฉลาดเฉลียว เขาฉลาดเพียงนี้จะทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร การลอบปองร้ายผู้อื่นมีหลายวิธี แต่กลับเลือกวิธีที่โง่เง่าเช่นนี้ คนที่ใช้วิธีนี้ได้มีแต่คนโง่เง่าเท่านั้น
เซียวอวี้ผิดหวังในตัวเซียวเจินอย่างมาก เขามองฮองเฮากล่าวน้ำเสียงเข้มว่า “เอาละ รีบให้คนส่งอ๋อง จิ่นกลับจวนไปพักก่อน เราไม่อยากให้วันหน้าเขาทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก”
เซียวอวี้กล่าวจบก็กล่าวต่ออีกว่า “อ๋องจิ่นได้รับบาดเจ็บ วันหน้าก็ให้พักผ่อนแต่ในจวนก็แล้วกัน”
แม้ว่าไม่ได้ลงโทษชัดเจน แต่การให้อ๋องจิ่นพักผ่อนในจวน ก็เท่ากับเรียกคืนภาระหน้าที่เข้าร่วมประชุมราชสำนักของอ๋องจิ่นแล้ว
ฮองเฮายืนแข็งทื่อพูดอันใดไม่ออก
เซียวอวี้กวาดตามองบรรดาขุนนางในราชสำนักทีหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เอาละ งานเลี้ยงในวังวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ ใต้เท้าทุกท่านออกจากวังหลวงไปได้แล้ว”
เซียวเจินทำเรื่องเช่นนี้ทำให้เซียวอวี้รู้สึกเสียหน้า เป็นถึงองค์ชาย ถึงกับใช้อุบายโง่เขลาเช่นนี้ เป็นพวกใจคอคับแคบไม่ได้ความแท้จริง
ขุนนางในราชสำนักพากันประสานมือถวายบังคมลา “กระหม่อมทูลลา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเองก็ตามทุกคนออกไป
พอขึ้นรถม้าตระกูลเซี่ย ลู่เจียวก็อดโมโหไม่ได้ “เป็นถึงองค์ชาย ถึงกับใช้อุบายชั่วร้ายเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายอย่างที่สุดแล้วจริงๆ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเขาดังสุนัขร้อนใจจะโดดกำแพงแล้ว ทว่าพวกเขากระทำเกินขอบเขตมากเกินไป ยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง อ๋องหมิงก็ยิ่งขึ้นสู่บัลลังก์ได้ง่าย”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย คิดถึงเรื่องที่อ๋องจิ่นทำในคืนนี้ พลันตระหนักรู้เหตุผลหนึ่งขึ้นมา นางหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าครุ่นคิดเอาคืนฮองเฮากับอ๋องจิ่น ตอนนี้ดูท่า พวกเราไม่ต้องลงมือ ขอแค่รอฮองเฮากับอ๋องจิ่นร้อนใจดังสุนัขร้อนใจโดดกำแพงลงมาเอง รอให้หลายครั้งเข้า ฝ่าบาทจะต้องทรงกริ้วหนัก ถึงตอนนั้นอ๋องหมิงก็ขึ้นรับตำแหน่งได้อย่างราบรื่น เจ้าแอบส่งจดหมายให้อ๋องหมิง บอกเขาว่าอย่าลงมือพลการ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็พยักหน้าเห็นด้วย “ข้ารู้แล้ว ไว้จะให้คนแอบนำจดหมายไปบอกอ๋อง หมิง”
จวนอ๋องจิ่น
เซียวเจินตื่นมาก็เที่ยงคืนแล้ว พอรู้ว่าตนเองถูกเซียวอวี้เรียกคืนภารกิจเข้าร่วมประชุมราชสำนัก เซียวเจินก็โมโหคลั่งขว้างปาสิ่งของ
หลินจิงตกใจสะดุ้ง รีบเข้าไปดึงเขาไว้ ครั้งนี้เซียวเจินสะบัดมือตบหน้าหลินจิงฉาดหนึ่ง “เป็นเพราะเจ้า ไม่เพียงแต่ทำให้ข้าบาดเจ็บ ยังทำให้ข้าสูญเสียภารกิจเข้าร่วมประชุมราชสำนักไปด้วย”
หลินจิงถูกตบหน้าก็ยิ่งอึ้งไปทันที นางหนาวยะเยือกถึงขั้วหัวใจ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งตนเองจะถูกเซียวเจินตบ
จนกระทั่งในเวลานี้ นางจึงได้รู้จักคนเช่นเซียวเจินอย่างแท้จริง คนผู้นี้เป็นพวกขี้แพ้ไร้สามารถ ยามที่ทุกอย่างได้ดังใจ เขาก็จะเป็นองค์ชายอ่อนโยนดังหยกงาม ทันทีที่พบเจออุปสรรค เขาก็จะโทษนาง แต่ไรมาไม่เคยทบทวนความผิดตนเอง
หลินจิงรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด ในใจก็รู้สึกนึกเสียใจภายหลังขึ้นมา หากย้อนเวลากลับไปได้ นางไม่มีทางเข้าหาเซียวเจิน เขาไม่คู่ควร
แต่ตอนนี้นางเป็นอนุเซียวเจินแล้ว หลินจิงได้แต่อดทนความรู้สึกนึกเสียใจภายหลังกับความละอายลง เอ่ยปลอบใจเซียวเจิน “ท่านอ๋อง อย่าได้ร้อนใจไป พวกเราค่อยคิดหาวิธี”
เซียวเจินคำรามราวกับสัตว์ป่าบ้าคลั่ง “ยังจะคิดหาวิธีอันใดได้อีก ยังมีวิธีอันใดให้คิดได้อีก เจ้าไสหัวออกไป”
หลินจิงได้แต่ออกจากห้องไป เซียวเจินกุมศีรษะอย่างเจ็บปวด เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เขาไม่ควรเป็นโอรสที่สวรรค์ภาคภูมิ มีชีวิตที่ราบรื่นหรือ เขารู้สึกได้ว่าชีวิตของเขาไม่ควรเป็นเช่นนี้
วันรุ่งขึ้น เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็แอบส่งคนนำจดหมายไปบอกอ๋องหมิง จากนี้ให้เขาอย่าได้เคลื่อนไหว ให้ช่วยราชกิจฝ่าบาทไปอย่างตั้งใจ การไม่เคลื่อนไหวก็คือการได้เคลื่อนไหวแล้ว
เซียวเหวินอวี๋ได้รับจดหมายเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พลันเข้าใจ ไม่ทำอันใดฮองเฮากับอ๋องจิ่นอีก ทุกวันติดตามช่วยราชกิจของเซียวอวี้ในราชสำนัก เซียวอวี้พบว่าบุตรชายตนเองคนนี้ราวกับเกิดมาเพื่อเป็นฮ่องเต้ จัดการการงานได้ราวกับมัจฉาได้วารี ทุกเรื่องล้วนมีความคิดไตร่ตรองและมุมมองของตนเอง นิสัยเขายังเฉียบขาดไม่ลังเล กับขุนนางในราชสำนัก ยามไหนควรอ่อนโยนก็อ่อนโยน ควรเอาจริงก็เอาจริง
เข้าร่วมประชุมราชสำนักได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดาขุนนางในราชสำนัก พวกเขาต่างกล่าวว่าอ๋องหมิงเฉลียวฉลาดและรู้จักตัดสินใจ ประเด็นคือคิดทบทวนได้กระจ่าง เรื่องต่างๆ ในแคว้นต้าโจวล้วนแสดงความคิดของเขาเอง บางความคิดเป็นประโยชน์ต่อราษฎรเสียยิ่งกว่าที่ขุนนางในราชสำนักคิด ถึงกับยังเสนอแนวคิดของตนเองเพิ่มอีกสองสามประการ
เช่นอย่าให้สตรีครองความเป็นหม้าย สตรีหม้ายแต่งงานอีกครั้งได้ เพราะแคว้นต้าโจวตอนนี้ประชากรน้อย คิดทำให้แผ่นดินเข้มแข็ง จะต้องมีประชากรมากก่อน ประชากรมากจึงจะสร้างความร่ำรวยได้ ดังนั้นควรส่งเสริมให้สตรีชาวบ้านที่เป็นหม้ายได้แต่งรอบสอง อีกอย่างเขายังเสนอให้จัดตั้งสถานศึกษาอี้เสวีย[1] ก็เหมือนจัดตั้งสำนักยาหลวง
แม้ว่าตอนนี้แคว้นต้าโจวร่ำรวยขึ้นไม่น้อย แต่หากอยากให้ราษฎรได้มีความรู้กว้างขวาง ก็ต้องรู้หนังสือ สามารถตั้งสถานศึกษาอี้เสวียได้
อีกอย่าง ยังส่งเสริมให้สตรีได้เรียนหนังสือ สตรีมีความรู้กว้างไกล ก็จะสั่งสอนอบรมบุตรชายหญิงให้ยอดเยี่ยมได้
อ๋องหมิงเอ่ยถึงตรงนี้ ก็หยิบยกตัวอย่างว่า เพราะมารดาเลี้ยงเขาเรียนหนังสือรู้วิชาแพทย์ ดังนั้นจึงสั่งสอนอบรมเขาให้มองโลกกว้างไกล และมีจิตใจกว้างขวาง
อ๋องหมิงกล่าวถึงความคิดมุมมองในเรื่องต่างๆ เซียวอวี้ล้วนเห็นด้วย เพียงแต่ตอนนี้คลังหลวงของแคว้นต้าโจวไม่ได้มีเงินทองมากนัก ดังนั้นหลายเรื่องยังไม่อาจดำเนินการได้ เรื่องนี้ต้องมีการวางแผนงานที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
แต่ได้ยินบุตรชายเสนอความคิดพวกนี้ เขาก็รู้ว่าตนเองเลือกไม่ผิด หากบุตรชายขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้แคว้นต้าโจว แผ่นดินย่อมรุ่งเรือง ราษฎรย่อมเป็นสุขภายใต้การปกครองของเขาอย่างแน่นอน
ในใจเซียวอวี้ยิ่งให้ความสำคัญกับเซียวเหวินอวี๋ หลายเรื่องให้คำชี้แนะด้วยตนเอง
หากเอ่ยว่าเซียวเหวินอวี๋ยังมีอันใดที่ทำให้เซียวอวี้ไม่พอใจ ก็คงเป็นบิดามารดาเลี้ยงของเขาเก่งกาจเกินไป และเซียวเหวินอวี๋กลับรักพวกเขามาก
เรื่องนี้ทำให้เซียวอวี้ไม่วางใจ
ประการแรก เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเดิมก็เก่งกาจ ประการที่สอง บุตรตระกูลเซี่ยล้วนเก่งกาจ
หากเซียวเหวินอวี๋เป็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจว เกรงว่าตระกูลเซี่ยก็จะได้ครองแผ่นดินแคว้นต้าโจวครึ่งหนึ่ง
เรื่องนี้ทำให้เซียวอวี้รู้สึกไม่วางใจ ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะแต่งตั้งเซียวเหวินอวี๋เป็นรัชทายาทแห่งแคว้นต้าโจวดีหรือไม่
[1] สถานศึกษาอี้เสวีย ในสมัยก่อนตั้งขึ้นเพื่อให้ลูกหลานชาวบ้านยากจนได้เรียนหนังสือไม่ต้องเสียเงิน