ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 854 เข้าวัง
ตอนที่ 854 เข้าวัง
ตอนเที่ยง ลู่เจียวรับประทานอาหารเที่ยงในวังเสร็จ เซียวเหวินอวี๋ก็ไปจัดการราชกิจ ตอนนี้เขาเพิ่งขึ้นครองราชย์ หลายเรื่องยังต้องการจัดการ ยากจะมีเวลา วันนี้เพราะลู่เจียวเข้าวัง เขาจึงได้มีเวลามากินข้าวพูดคุยกับลู่เจียว
ลู่เจียวอยู่ในตำหนักฮองเฮาสนทนากับเผยอวี่ได้ครู่หนึ่งก็ออกจากวังหลวง
ยามเย็น ในวังมีราชโองการ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะคัดเลือกพระสนม ให้ฮองเฮากับฮูหยินโจวกั๋วดำเนินการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้
พอราชโองการลงมา ทั้งเมืองหลวงก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที
วังหลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่เดิมก็มีสตรีน้อยมาก และฮ่องเต้ยังหนุ่ม ทรงพระปรีชาสามารถและงามสง่า มีสตรีในเมืองหลวงน้อยมากที่ไม่อยากเข้าวัง
ราชโองการนี้ทำให้ตระกูลเซี่ยครึกครื้นราวกับตลาด
ครั้งนี้ฝ่าบาทคัดเลือกพระสนม รับสั่งให้ฮองเฮากับฮูหยินโจวกั๋วดำเนินการ ภายนอกให้อำนาจฮองเฮาเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงอาจเป็นไปได้มากว่าเป็นการตัดสินใจของฮูหยินโจวกั๋ว
นางเป็นพระมารดาเลี้ยงของฝ่าบาท แม้แต่ฮองเฮา เกรงว่าก็ไม่กล้าล่วงเกินฮูหยินโจวกั๋ว ดังนั้นหากประจบเอาใจฮูหยินโจวกั๋วได้ก็จะได้รับเลือกเข้าวัง
ลู่เจียวกลับมาไม่นานก็มีคนมาเยือนที่จวน
“ฮูหยิน ฮูหยินจ้าวกั๋วกงส่งเทียบขอมาเยี่ยมคารวะฮูหยิน”
“ฮูหยินชิ่งหนิงโหวขอพบเจ้าค่ะ”
“เฉิงเอินโหวส่งเทียบเชิญขอมาเยี่ยมคารวะฮูหยิน”
ลู่เจียวสีหน้านิ่งตะลึง มองพ่อบ้านเซียวทีหนึ่ง เฉิงเอินโหวแห่งตระกูลเฉินหรือ
“ตระกูลเฉินหรือ”
พ่อบ้านเซียวพยักหน้าเล็กน้อย บุตรีตระกูลเฉินให้กำเนิดฝ่าบาท ครั้งนี้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ พระราชทานบรรดาศักดิ์โหวแก่ตระกูลเฉิน ตอนนี้ตระกูลพวกเขาก็คือเฉิงเอินโหว
ความจริงเดิมฝ่าบาทมีพระประสงค์พระราชทานตำแหน่งโหวให้ตระกูลเซี่ยด้วย แต่ถูกเซี่ยอวิ๋นจิ่นห้ามไว้ ตอนนี้ตระกูลเซี่ยไม่จำเป็นต้องเสริมบารมีเพิ่มเติมอีก หากคิดพระราชทานตำแหน่งโหว ก็รอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ขอลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดในบั้นปลายชีวิตค่อยพระราชทาน
พอเซียวเหวินอวี๋ได้ฟังหลักการเหตุผลนี้ก็ระงับการพระราชทานไว้ชั่วคราว แต่ตระกูลเฉินยังคงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว
นอกจากพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว ยังให้ลุงของเขาในตระกูลเฉินได้เป็นหัวหน้ากองขุนนางระดับสี่ ในกรมอาญา
ตระกูลเฉินนับว่ามีสถานะสูงศักดิ์ในแคว้นต้าโจวได้เพราะฝ่าบาท
ลู่เจียวได้ยินตระกูลเฉินมาเยี่ยมคารวะก็ย่อมต้องให้พบ
“เจ้าให้คนไปตอบตระกูลเฉิน ข้ายินดีต้อนรับพวกเขามาเยือน”
อาจารย์เฉินเป็นอาจารย์เซี่ยอวิ๋นจิ่นและยังเป็นพระอัยกาของฝ่าบาท พวกเขาสองตระกูลควรอยู่ฝั่งเดียวกัน ไม่ว่าภายในจะเป็นเช่นไร แต่ภายนอกก็ต้องอย่าได้คนมองแล้วหัวเราะเยาะเอาได้
“ขอรับ”
พ่อบ้านเซียวรับคำ จากนั้นก็ไปเรียนเชิญ
ลู่เจียวเลิกคิ้วแปลกใจ “จวนจ้าวกั๋วกงอยู่ดีๆ มาเยี่ยมเยือนข้าทำไมกัน”
พ่อบ้านเซียวมองลู่เจียวทีหนึ่ง เห็นนางไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงรีบรายงานว่า “ฮูหยิน ก็เพราะก่อนหน้านี้ ในวังมีราชโองการ ฝ่าบาทจะคัดเลือกพระสนม ให้ฮองเฮากับฮูหยินร่วมดำเนินการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้”
ลู่เจียวได้ฟังพ่อบ้านเซียวก็พลันเข้าใจ พวกนี้คิดสานสัมพันธ์ทางนางหรือ
ลู่เจียวคิดเข้าใจแล้วก็ได้แต่ไร้วาจาจะกล่าว มองพ่อบ้านเซียว ตอบว่า “หากมีคนมาเยือนด้วยเรื่องนี้อีก เจ้าก็บอกไปว่าตอนนี้ไม่มีเวลา รอให้ว่างก่อนก็จะไปเยือนพวกเขาถึงที่จวน”
“ขอรับ ฮูหยิน”
ตอนนี้ลู่เจียวไม่ต้องทนความอึดอัดดังเช่นเมื่อก่อน ไม่เพียงแต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นรองโส่วฝู่ในสำนักมนตรีแคว้นต้าโจว แค่นางเองได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทเป็นฮูหยินเหนืออันดับหนึ่ง ขุนนางระดับหนึ่งพบนางยังต้องเกรงใจ ดังนั้นนางไม่จำเป็นต้องทนอึดอัดตนเองเพื่อคนพวกนั้นอีกแล้ว
พ่อบ้านเซียวได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็รับคำออกไป
บ่าวรับใช้ตระกูลจ้าวกับบ่าวรับใช้ตระกูลอู๋ได้ยินต่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก
บ่าวรับใช้ตระกูลเฉินได้ยินพ่อบ้านเซียวตอบรับก็ดีใจมาก
เดิมลู่เจียวคิดว่าตระกูลเฉินจะมากันพรุ่งนี้ คิดไม่ถึงว่าพวกเขามาในค่ำวันนั้น
คนที่มาก็คือฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉิน
“คารวะฮูหยินโจวกั๋ว”
แม้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นฮูหยินเฉิงเอินโหว แต่ลู่เจียวเป็นพระมารดาเลี้ยงของฝ่าบาท ฝ่าบาทสนิทชิดใกล้กับนาง เป็นความจริงที่ไม่อาจแก่งแย่งได้ แม้ตระกูลเฉินได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว แต่ก็ยังห่างเหินจากพวกเขา
ดังนั้นครั้งนี้ฝ่าบาทคัดเลือกพระสนม ตระกูลเฉินคิดส่งบุตรีเข้าวัง เช่นนี้ก็จะสานสายสัมพันธ์ตระกูลพวกเขากับฝ่าบาท
ลู่เจียวลุกขึ้นประคองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน “อาจารย์แม่ไม่ต้องเกรงใจ อยู่กันส่วนตัว พวกเราไม่ต้องมากธรรมเนียม”
พอทุกคนนั่งลงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมองลู่เจียวพลันไม่รู้ว่าควรเอ่ยอย่างไร ลู่เจียวเองก็ไม่อ้อมค้อมกับนาง ถามตรงๆ ว่า “อาจารย์แม่มาวันนี้ด้วยเรื่องฝ่าบาทคัดเลือกพระสนมหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมองไปยังฮูหยินเฉิน ฮูหยินเฉินรีบลุกขึ้นยิ้มกล่าวว่า “วาจานี้กล่าวแล้วก็รู้สึกละอาย ล้วนเป็นเพราะบุตรีข้า ตั้งแต่นางได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็เอาแต่ระลึกถึงฝ่าบาท พอดีฝ่าบาทคัดเลือกพระสนม นางจึงอยากเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาท ดังนั้นพวกเราสองคนจึงได้ต้องบากหน้ามาขอให้ฮูหยินช่วยเหลือ”
ลู่เจียวได้ฟังฮูหยินเฉิน มุมปากก็กระตุกยิ้ม
ฮูหยินเฉินเห็นสายตานางก็รู้สึกร้อนตัว ท่านนี้อบรมเลี้ยงดูฝ่าบาทมา นางเองก็เป็นคนฉลาดมาก นางย่อมมองความคิดตระกูลเฉินออกกระมัง
ตระกูลเฉินส่งบุตรีเข้าวังก็เพื่อสานสัมพันธ์ฝ่าบาทกับตระกูลเฉิน ทำให้ฝ่าบาทเหินห่างกับตระกูลเซี่ยได้ยิ่งดี
ตระกูลเฉินพวกเขาจึงควรเป็นตระกูลฝ่ายมารดาฝ่าบาท ตระกูลเซี่ยนับอันใดกัน
แน่นอนว่าตระกูลเฉินได้แต่แอบครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง ฮูหยินเฉินย่อมไม่แสดงออก
แต่นางไม่แสดงออก ลู่เจียวเองก็คาดเดาได้
นางมองฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉิน ค่อยๆ กล่าวว่า “ครั้งนี้ฝ่าบาทคัดเลือกพระสนมเพื่อทำให้ราชสำนักมั่นคง หากไม่เหนือความคาดหมาย การคัดเลือกพระสนมครั้งนี้ล้วนเป็นบุตรีขุนนางในราชสำนัก”
วาจาลู่เจียวนี้แทบจะบอกฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉินอย่างเปิดเผย ตระกูลพวกเจ้าคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเข้าร่วมการคัดเลือก
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉินสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เป็นนานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินไม่อาจช่วยสักครั้งหรือ”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องของฝ่าบาท ข้าทำอันใดไม่ได้ และข้าก็จะไม่ตัดสินใจแทนด้วย แต่ความต้องการของตระกูลเฉินนี้ ข้าจะทูลต่อฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้หญิงตระกูลเฉินเข้าวัง ย่อมมีราชโองการ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉินได้ฟังก็พลันไม่รู้ควรเอ่ยอันใดดี และมักรู้สึกว่าเรื่องนี้ตระกูลตนเองกระทำไม่เหมาะสม
แต่ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ทั้งสองคนลุกขึ้น “เช่นนั้นก็รบกวนฮูหยินแล้ว”
“ไม่มีอันใด อาจารย์แม่จะอยู่รับประทานอาหารค่ำค่อยกลับหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว พวกเรากลับก่อนแล้ว”
ลู่เจียวจะไปส่งพวกนางสองคน พวกนางให้นางไม่ต้องไปส่ง นางสั่งการพ่อบ้านเซียวไปส่งฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉิน
ทั้งสองคนเพิ่งจะขึ้นรถม้าตระกูลเฉินจากไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมา ตอนเขาลงจากรถม้าก็เห็นรถม้าตระกูลเฉินจากไปพอดี เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามพ่อบ้านเซียวที่มารอรับที่หน้าประตู “ตระกูลเฉินหรือ”
“ขอรับ ใต้เท้า ฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเฉินตระกูลเฉินมาเยี่ยมเยือนฮูหยิน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพอได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขาคิดถึงเรื่องฝ่าบาทจะรับพระสนม ตระกูลเฉินคงไม่คิดส่งบุตรีเข้าวังกระมัง เช่นนั้นพวกเขาคิดการใหญ่เกินไปแล้ว