ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 860 แบบอย่าง
ตอนที่ 860 แบบอย่าง
คนตระกูลเฉินพลันเงียบกริบราวกับไร้ชีวิต ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด
หากเป็นเช่นนี้จริง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจคับแค้นใจบุตรีตนเองก็เป็นได้
ลู่เจียวรออยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอีกว่า “ข้ารู้เรื่องชาติกำเนิดตอนซื่อเป่าอายุหกขวบ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ตอนนั้นข้าบอกฮูหยิน ก็เป็นเพราะข้ารู้ชาติกำเนิดแท้จริงของซื่อเป่าแล้ว เขาเป็นบุตรชายอ๋องเยียนแคว้นต้าโจวเรา ข้าครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง เขาจะกลับไปอยู่ข้างกายอ๋องเยียนหรือไม่ จึงได้บอกชาติกำเนิดซื่อเป่ากับลู่เจียวเพียงคนเดียว”
ลู่เจียวมองคนตระกูลเฉินกล่าวว่า “ตอนนั้นพวกเรารู้ชาติกำเนิดซื่อเป่า อย่าว่าแต่บอกพวกท่าน แม้แต่พวกเราเองก็ต้องระมัดระวังปิดปากให้สนิท กลัวผู้อื่นจะรู้ชาติกำเนิดเขา หากให้พระชายาอ๋องเยียนรู้ ท่านคิดว่าซื่อเป่าจะรอดหรือ บอกพวกท่าน พวกท่านจะปกป้องคุ้มครองเขาได้หรือ ยังจะทำอันใดได้”
วาจาลู่เจียวทำเอาคนตระกูลเฉินไร้วาจา ใช่ พวกเขาเป็นแค่อาจารย์ตัวเล็กๆ ในตำบลชีหลี่ จะรับมือกับพระชายาอ๋องเยียนได้อย่างไร
คนตระกูลเฉินได้ยินเรื่องนี้ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกตนเองคิดมากเกินไปแล้ว
แต่ฮูหยินเฉินอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่อาจยอมรับได้ “พวกเจ้าแอบบอกพวกเราสักคำก็ได้นี่”
“กล่าวตามตรง พวกเราเลี้ยงดูซื่อเป่ามาจนเติบใหญ่ รักเขาดังบุตรชายแท้ๆ ของตนเอง ไม่มีทางนำความปลอดภัยของเขามาเสี่ยงได้”
ลู่เจียวกล่าวอย่างไม่เกรงใจแม้สักนิด จากนั้นไม่รอให้คนตระกูลเฉินเอ่ยอันใด ก็สำทับไปอีกว่า “พวกท่านก็เห็น วันนี้ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ หากไม่ใช่เขาปรีชาสามารถ อดีตฮ่องเต้ก็ย่อมไม่เลือกเขาเป็นรัชทายาทแคว้นต้าโจว และไม่มอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้เขา”
“การที่เขามีความสามารถยอดเยี่ยมได้เช่นนี้ก็เพราะพวกเราตั้งใจอบรมสั่งสอนมา พวกเราทุ่มเทเพื่อเขา หากข้าส่งเขาไปตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินท่านจะอบรมให้เขามีความสามารถยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้หรือ ทำให้เขาขึ้นสู่บัลลังก์ได้หรือ”
กล่าวจนสุดท้าย คำพูดลู่เจียวเริ่มกดดันอยู่สักหน่อย
ตระกูลเฉินพูดอันใดไม่ออก
สุดท้ายลู่เจียวมองพวกเขากล่าวว่า “วันนี้ข้าบอกกับพวกท่านมากมายเช่นนี้ ก็เพราะไม่อยากให้เราสองตระกูลเกิดช่องว่าง ไม่ว่าอย่างไรพวกท่านก็เป็นตระกูลมารดาฝ่าบาท พวกเราเป็นบิดามารดาเลี้ยงของฝ่าบาท พวกเราสองตระกูลควรสมัครสามัคคีกันถึงจะถูก หากไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้”
ตระกูลเฉินได้ยินคำพูดลู่เจียวก็พูดไม่ออก ไม่เอ่ยคัดค้านอันใด
ตนเองทำเรื่องเช่นนั้นคนเขายังใจกว้างต่อพวกเขา พวกเขาไม่มีหน้ากล่าวอันใดมากความอีก
คนตระกูลเฉินเองก็รู้ว่าที่ลู่เจียวทำเช่นนี้ก็เพื่อฝ่าบาท ไม่อยากให้ฝ่าบาทลำบากพระทัย หรือทำอันใดไม่เหมาะสมจนเป็นจุดอ่อนของตนเองในภายหลัง
คนตระกูลเฉินต้องยอมรับว่า ลู่เจียวทุ่มเทกายและใจเพื่อฝ่าบาทแท้จริง มิน่าฝ่าบาทจึงรักและเคารพนาง
นายผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉินยืนขึ้นรับรองกล่าวว่า “วันหน้าพวกเราสองตระกูลอยู่ร่วมกันสามัคคี ตระกูลเราจะไม่สร้างความยุ่งยากให้ตระกูลเซี่ยอีก”
ลู่เจียวพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ความจริงฝ่าบาทน้ำพระทัยดีมาก ในใจพระองค์ย่อมรู้ดีว่า ควรพระราชทานสิ่งใดก็จะพระราชทาน”
ลู่เจียวกล่าววาจานี้เพราะต้องการบอกคนตระกูลเฉิน พวกเจ้าอย่าได้ก่อเรื่อง สิ่งที่ฝ่าบาทควรพระราชทานสิ่งใดก็จะพระราชทานให้พวกเจ้า หากก่อเรื่อง เกรงว่าก็คงไม่ได้แล้ว
ตระกูลเฉินเข้าใจทันที นายผู้เฒ่าเฉินถลึงตาใส่เฉินหยวนกล่าวว่า “ยังไม่รีบขอขมาฮูหยินโจวกั๋ว”
ยามนี้เฉินหยวนใบหน้าบวมผิดรูป ท่าทางหวาดกลัวอย่างที่สุด ไม่เพียงแต่หวาดกลัวเซียวเหวินอวี๋ แต่ยังหวาดกลัวลู่เจียว ได้ฟังนายผู้เฒ่าเฉิน นางรีบเอ่ยขอโทษอย่างว่านอนสอนง่าย “ฮูหยินโจวกั๋ว ขอโทษ ข้าไม่ควรเอ่ยวาจาโต้คารมท่าน”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นอันใด เจ้ายังเป็นเด็ก”
นางกล่าวจบมองไปยังติงเซียง กล่าวว่า “ไปเอายาลดบวมมาให้แม่นางเฉินหน่อย”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติตระกูลเฉินแล้ว พร้อมกับยังแสดงให้คนตระกูลเฉินดูว่าอันใดเรียกว่าแบบอย่าง
ยามนี้ตระกูลเฉินยังจะกล่าวอันใดได้ แม้แต่วาจาสักคำก็ไม่กล้าเอ่ย วันหน้าจะไม่ก่อเรื่องอันใดอีกแล้ว จะต้องอยู่ร่วมกับตระกูลเซี่ยอย่างสันติ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวยิ้มส่งตระกูลเฉินทั้งครอบครัวขึ้นรถม้า
วันรุ่งขึ้น ตระกูลเฉินประกาศต่อทุกคนว่าเป็นความผิดของตนเอง ไม่ควรตามใจเฉินหยวน ส่งนางเข้าวังไปก่อเรื่อง และเฉินหยวนยังโต้คารมกับฮูหยินโจวกั๋ว พวกเขาได้ลงโทษเฉินหยวนอย่างหนักแล้ว อีกสองสามวันจะส่งเฉินหยวนแต่งไปเมืองหนิงโจว
เดิมตระกูลเก่าแก่แต่ละตระกูลในเมืองหลวงกำลังรอชมเรื่องครึกครื้น
เมื่อวานตอนคัดเลือกพระสนม ฮูหยินโจวกั๋วห้ามหญิงตระกูลเฉินเข้าวัง ตระกูลเฉินจะไม่โกรธแค้นฮูหยินโจวกั๋วได้อย่างไร
ทุกคนจึงแน่ใจได้เรื่องหนึ่ง ตระกูลเฉินกับตระกูลเซี่ยย่อมต้องมีเรื่องกัน วันหน้ามีเรื่องครึกครื้นให้ชมแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพอเช้าวันรุ่งขึ้น ตระกูลเฉินก็ประกาศว่าตนเองผิดไปแล้ว ยังบอกกับทุกคนว่าการที่เฉินหยวนโต้คารมกับฮูหยินโจวกั๋ว พวกเขาได้ลงโทษเฉินหยวนแล้ว
ไม่ว่าวาจานี้จริงหรือเท็จ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างมองกระจ่าง ตระกูลเฉินกับตระกูลเซี่ยไม่ทะเลาะกันแล้ว
ตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงต่างรู้สึกน่าเสียดาย แต่ก็ทำอันใดไม่ได้
ในวัง เซียวเหวินอวี๋รู้ข่าวนี้ก็คลายคิ้วที่ขมวดมุ่นลง
เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเฉินจะใจกว้างเช่นนี้ ย่อมเป็นความพยายามของท่านแม่เขาที่จะรักษามิตรภาพของสองตระกูลเฉินไว้
ท่านแม่เขาไม่ว่าเรื่องใดก็ให้ความสำคัญกับเขาที่สุด เซียวเหวินอวี๋ทั้งดีใจและรักลู่เจียวมากยิ่งขึ้น ตัดสินใจส่งของให้ลู่เจียวกองใหญ่
ลู่เจียวเห็นกองของที่โจวโย่วจิ่นนำมามอบ ก็อดไร้วาจาจะกล่าว ไม่ได้ “ฝ่าบาทอยู่ดีๆ ส่งของพวกนี้มาให้ข้าทำไมกัน”
โจวโย่วจิ่นยิ้มตอบว่า “ฝ่าบาททรงเคารพรักฮูหยิน ดังนั้นจึงให้บ่าวส่งของพวกนี้มา”
ลู่เจียวโบกมือ เรียกขันทีวางของลง แต่ตอนโจวโย่วฉินจะไป นางกำชับโจวโย่วจิ่นว่า “เจ้ากลับเข้าวังไปทูลฝ่าบาท วันหน้าอย่าส่งมาอีก วันหน้าฝ่าบาทต้องใช้เงินทองอีกมาก อย่าเอาแต่ส่งของมาให้ข้า”
“บ่าวทราบแล้ว”
โจวโย่วจิ่นกลับเข้าวังนำเรื่องนี้กราบทูล เซียวเหวินอวี๋ดีใจมาก จากนั้นก็สั่งให้คนนำหนังสือที่ตนเองเรียบเรียงขึ้น ไปเข้าเฝ้าไท่ซั่งหวง[1]เซียวอวี้
ก่อนหน้านี้เซียวอวี้ถูกวางยา ทำให้สุขภาพไม่ดี ยามนี้รักษาตัวอยู่เงียบๆ ในตำหนัก ระยะนี้ไม่ถามไถ่เรื่องราชกิจ สุขภาพก็ฟื้นตัวเร็วขึ้นมาก เคลื่อนไหวไปมาได้ดังใจแล้ว
ยามเขามีเวลา ก็จะปลูกดอกไม้อยู่ในตำหนักจนเริ่มรู้สึกสนุกกับการปลูกดอกไม้แล้ว
แม้ว่าเซียวอวี้ไม่ถามไถ่เรื่องราชกิจอีก แต่ทุกวันเซียวเหวินอวี๋ก็จะมารายงานเรื่องสำคัญในราชสำนักให้กับเซียวอวี้รู้ จากนั้นก็เล่าวิธีการจัดการของตนเอง
เซียวอวี้ได้ฟังก็รู้สึกชื่นชมมาก กล่าวตามตรง ตนเองเป็นฮ่องเต้ยังทำได้ไม่ดีเท่าเซียวเหวินอวี๋
คล้ายว่าเซียวเหวินอวี๋เกิดมาเพื่อเป็นฮ่องเต้ เฉียบขาดหลักแหลมและมองการณ์ไกล สุขภาพเขายังดีมาก ขุนนางในราชสำนักไม่น้อยต่างปกป้องเขาด้วยความจริงใจ ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่ให้การสนับสนุน เซียวเหวินอวี๋ มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่สนับสนุน
แม้ว่าเขาขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ไม่กล้ารังแกที่เขาอายุน้อย
เซียวอวี้เห็นเช่นนี้ ในใจก็วางใจลงไม่น้อย ส่วนเขา นับวันก็ยิ่งดูแลรักษาสุขภาพอยู่ในวังไปอย่างสบายใจ
ระยะนี้สุขภาพดีขึ้นแล้ว เขาตัดสินใจพาพระสนมตนกับองค์ชายไปพักรักษาตัวต่อที่ตำหนักนอกวัง
เซียวเหวินอวี๋เป็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจว เขามีความสามารถจัดการราชกิจ มีฮ่องเต้เช่นเขาอยู่ในวังนั้นไม่เหมาะ เขายังมีโอรสอีกสองคนอยู่ด้วย
คนหนึ่งแปดขวบ คนหนึ่งสามขวบ
เดิมเขายังเป็นห่วงเซียวเหวินอวี๋จะไม่ดีต่อน้องชายสองคน แต่ปรากฏว่าเซียวเหวินอวี๋ดีกับน้องชายทั้งสองไม่เลว ทุกครั้งก็จะเอาของเล่นมาให้พวกเขาสองคน ปรากฏเจ้าหนูสองคนเข้ากับเสด็จพี่ตนได้ดีมาก
[1] คำเรียกขานอดีตฮ่องเต้ ในที่นี้ใช้เรียกขานเซียวอวี้ที่สละราชย์ให้เซียวเหวินอวี๋