ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 865 งานมงคล
ตอนที่ 865 งานมงคล
บัณฑิตแต่ละพื้นที่ต่างเดินทางเข้ามาเตรียมสอบในเมืองหลวง ได้เห็นหนังสือคำนวณศาสตร์แบบโจวที่ฝ่าบาทเรียบเรียง ทุกคนต่างซื้อคนละเล่มนำมาศึกษา จากนั้นแต่ละคนก็เอ่ยชมหนังสือนี้ว่า เรียกว่าตำราสวรรค์ก็ยังได้
บรรดานักเรียนได้ยินว่าหนังสือนี้ฮูหยินโจวกั๋วมารดาเลี้ยงฝ่าบาทแต่งมาสอนฝ่าบาท แต่ละคนต่างตกใจและชื่นชมฮูหยินโจวกั๋วว่าเก่งกาจมาก มิน่าจึงได้อบรมฝ่าบาทได้มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ ฝ่าบาทเองก็ปรีชาสามารถ ถึงกับเรียบเรียงหนังสือเป็นเล่มเผยแพร่ไปทั่วแคว้นได้
หนังสือนี้สอนการคำนวณที่ง่ายกว่าตำราคำนวณเก้าบทกับดีดลูกคิดแบบเดิม เด็กๆ อ่านแล้วก็เรียนได้
ตามท้องถนนใหญ่ตรอกซอกซอยและร้านอาหารร้านน้ำชาต่างคุยเรื่องนี้กันมากที่สุด
หลังฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ประกาศราชโองการสามฉบับ หนึ่ง เพิ่มรอบการสอบรับขุนนาง สอง เผยแพร่คำนวณศาสตร์แบบโจว สาม พระราชทานสวัสดิการให้หญิงหม้ายแต่งงานใหม่ ทุกเรื่องล้วนเป็นประโยชน์แก่ราษฎร พอเอ่ยถึงฝ่าบาท ราษฎรต่างชื่นชมว่า ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ปรีชาแห่งแคว้นต้าโจว มีฮ่องเต้เช่นนี้ แคว้นต้าโจวไหนเลยจะต้องกังวลว่าจะไม่เจริญรุ่งเรือง
ตระกูลเซี่ย ซานเป่ากับซือหว่านอิ๋งเดินทางจากเมืองหนิงโจวกลับมา คนที่มาเป็นเพื่อนซือหว่านอิ๋งก็มี อาสะใภ้ของนาง พี่ชายน้องชายลูกพี่ลูกน้องสองคนและภรรยาพวกเขา
ลู่เจียวให้ความเกรงใจต่อคนตระกูลซืออย่างมาก ต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
ญาติๆ ตระกูลซือล้วนเป็นพ่อค้าเล็กๆ ธรรมดา เห็นฮูหยินโจวกั๋วเหนือระดับหนึ่งถึงกับดีเช่นนี้ แต่ละคนก็โล่งอก และทุกคนก็ยังดีใจแทนหว่านอิ๋ง
ก่อนหน้านี้หว่านอิ๋งบอกว่าฮูหยินโจวกั๋วเป็นคนดีมาก พวกนางยังไม่เชื่อ ตอนนี้ได้เห็นด้วยตาตนเองก็เชื่อแล้ว
หว่านอิ๋งนับว่าตกสู่รังแห่งวาสนาสุขแล้ว
ตอนกินข้าว ลู่เจียวมองซือหว่านอิ๋งกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าวางแผนว่าจะให้เจ้าแต่งมาจากจวนตระกูลเซี่ยอีกแห่ง แต่ตอนนี้ฮูหยินขุนพลหวัง พอได้ยินเรื่องนี้ก็เสนอว่าจะรับเจ้าเป็นบุตรีบุญธรรม ให้เจ้าแต่งมาจากตระกูลหวัง เจ้าว่าเรื่องนี้ได้หรือไม่”
หากซือหว่านอิ๋งไม่ยินยอม ลู่เจียวก็ไม่ฝืนใจนาง
ซือหว่านอิ๋งได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็ตกใจเงยหน้ามองไปยังลู่เจียว ซานเป่าข้างๆ นางดีใจมาก
ตระกูลเซี่ยพวกเขาไม่สนใจสถานะ แต่หากหว่านอิ๋งรับฮูหยินหวังเป็นมารดาบุญธรรม วันหน้าก็มีญาติในเมืองหลวงให้ไปมาหาสู่
“หว่านอิ๋ง ตระกูลหวังมีพระสนมซูเฟยอยู่ในวัง ตระกูลหวังที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้า”
ก่อนหน้านี้ ตลอดทางเข้าเมืองหลวง ซานเป่าได้บอกเล่าเรื่องราวของตระกูลพวกเขาให้ซือหว่านอิ๋งฟังแล้ว ยังเล่าเรื่องตระกูลเก่าแก่แต่ละตระกูลในเมืองหลวงให้ฟังอีกด้วย
ซือหว่านอิ๋งเองก็พอรู้สถานการณ์ตระกูลขุนพลหวัง รู้ว่าตระกูลหวังกับตระกูลเซี่ยสนิทกันมาก
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “ความจริงรับหรือไม่รับฮูหยินขุนพลหวังเป็นมารดาบุญธรรมแล้วแต่เจ้า หากเจ้าคิดรับก็รับ ไม่คิดรับก็ไม่ต้องรับ แต่ฮูหยินหวังเป็นคนดีมาก พระสนมซูเฟยในวังก็ดีมาก ข้าคิดแล้ว หากเจ้ารับนางเป็นมารดาบุญธรรม วันหน้าเข้าเมืองหลวงก็จะได้มีญาติไว้ไปมาหาสู่”
พวกอาสะใภ้ซือหว่านอิ๋งได้ยินก็ต่างพากันนิ่งอึ้ง ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลใหญ่จริงดังคาด ทุกคนติดต่อสมาคมแต่กับคนสูงศักดิ์ เห็นคนเขาเอ่ยถึงพระสนมซูเฟยในวังก็ราวกับเอ่ยถึงคนธรรมดา
อาสะใภ้ซือและพี่ชายน้องชายซือหว่านอิ๋งนิ่งอึ้ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงแขนเสื้อนาง “หว่านอิ๋งรับปากเถิด”
ซือหว่านอิ๋งมองไปยังลู่เจียว ยิ้มกล่าวว่า “ข้าแล้วแต่ท่านน้าลู่จัดการเจ้าค่ะ”
ซือหว่านอิ๋งสูญเสียมารดาไปตอนสิบขวบ ตอนนี้มารดาในความทรงจำนางเลือนรางมาก แต่ภาพท่านแม่ในใจนางมีภาพคล้ายลู่เจียว ดังนั้นนางชอบใกล้ชิดกับลู่เจียวมาก
“ในเมื่อเจ้าไม่มีความเห็น พรุ่งนี้ข้าให้คนส่งเทียบไปตระกูลหวังบอกกับพวกนางสักหน่อย เรื่องนี้ไว้รอให้ตระกูลหวังจัดงานเลี้ยง สองตระกูลก็รับรองความเป็นมารดาและบุตรีบุญธรรมกัน”
“เจ้าค่ะ”
วันรุ่งขึ้น ลู่เจียวก็เขียนเทียบส่งไปตระกูลหวัง ฮูหยินหวังได้อ่านก็ดีใจมาก รีบเชิญคนสนิทในเมืองหลวงมาจัดงานเลี้ยงรับบุตรีบุญธรรมที่จวน
ลู่เจียวพาซือหว่านอิ๋ง อาสะใภ้กับสองสะใภ้ของซือหว่านอิ๋งมาร่วมงานเลี้ยง
ตระกูลหวังเชิญฮูหยินสูงศักดิ์ที่สนิทกันในเมืองมาสองสามคนเป็นพยานในพิธีรับบุตรีบุญธรรมในครั้งนี้ ฮูหยินขุนพลหวังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เตรียมของขวัญให้ซือหว่านอิ๋งไม่น้อย ทำให้ซือหว่านอิ๋งไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี สุดท้ายลู่เจียวให้นางรับไว้ นางจึงได้กล้ารับไว้
หลังพิธี วันแต่งงานของทั้งสองคนก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ต้าเป่าพาหูหลิงเสวี่ย เอ้อร์เป่าพาจ้าวอวี้หลัวเร่งเดินทางกลับมา
แม้ว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามีตำแหน่งขุนนาง ไม่อาจออกจากพื้นที่มาได้ แต่น้องสามตนเองแต่งงาน พวกเขาไม่อาจขาดได้ ดังนั้นต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าจึงได้ส่งฎีกาขออนุญาตเซียวเหวินอวี๋มาล่วงหน้า ซื่อเป่าอนุญาตแล้ว พวกเขาจึงกลับเมืองหลวงได้
ตกค่ำพี่น้องพร้อมหน้า ต่างกอดกันอย่างอบอุ่น
การแยกจากกันไม่ได้ทำให้พวกเขาเหินห่างกัน แต่ยิ่งทำให้พวกเขาคิดถึงกันมากยิ่งขึ้น
พวกเขาโตมาด้วยกันแต่เล็ก ลำบากมาด้วยกัน เผชิญอันตรายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ย่อมลึกซึ้งกว่าพี่น้องตระกูลอื่น
ตกค่ำซื่อเป่าถึงกับแอบลอบออกจากวัง ยังพาหวังเมิ่งเหยาออกมาด้วย
ยามนี้คนตระกูลเซี่ยนับว่าพร้อมหน้าแล้ว ลู่เจียวอมยิ้มมองทุกคน รู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะคว้าเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพนี้ไว้ น่าเสียดายยุคสมัยนี้ไม่มีกล้องถ่ายรูป
ลู่เจียวสั่งให้ห้องครัวเตรียมอาหารสองโต๊ะ ผู้ชายหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง ไม่ได้แยกเรือนหน้าหลัง แต่อยู่รวมกัน
ซื่อเป่าออกจากวังหลวงมาก็สลัดภาพฮ่องเต้ทิ้ง เป็นหนุ่มน้อยกล้าคิดกล้าทำเปิดเผยดังเดิม เขายกจอกสุรามาหาพี่ชายทั้งสามเสนอว่า “พวกเรามาคารวะท่านพ่อกับท่านแม่คนละจอก ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่ที่ทุ่มเทอบรมเลี้ยงดูพวกเรามาอย่างเต็มที่ หากไม่มีท่านพ่อกับท่านแม่อบรม ก็ไม่มีความสำเร็จของพวกเราในวันนี้”
ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่ารีบลุกขึ้นยืน “ได้เลย”
ทั้งสี่คนยกจอกสุรามองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว
เพราะลู่เจียวนั่งอยู่โต๊ะสตรี ดังนั้นนางจึงยกจอกสุราเดินไปหาเซี่ยอวิ๋นจิ่น
แฝดสี่อมยิ้มมองพวกเขา “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเราคารวะท่านพ่อท่านแม่หนึ่งจอก ขอบคุณบุญคุณที่ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูพวกเรามา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวยิ้มมองพวกเขา หน้าตาท่าทางสง่าองอาจ มองแล้วก็รู้สึกชื่นชมภูมิใจ และทั้งสี่ไม่เพียงแต่หน้าตาดี ยังมีความสามารถดี
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองอย่างพึงพอใจ “พวกเราภาคภูมิใจในพวกเจ้าทุกคน”
“ความจริงควรให้พวกเราผู้เป็นบิดามารดาได้ขอบคุณพวกเจ้า ขอบคุณพวกเจ้าที่นำความสุขและความหวังมาสู่พวกเรา”
แฝดสี่คารวะสุราเสร็จ สะใภ้ก็ลุกขึ้นยืน
หูหลิงเสวี่ยเป็นผู้นำ หูหลิงเสวี่ย จ้าวอวี้หลัว ซือหว่านอิ๋งและหวังเมิ่งเหยาต่างยกจอกสุรายืนขึ้นคารวะเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ขอบคุณท่านพ่อกับท่านแม่ที่อบรมบุตรชายได้ดีเช่นนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวอมยิ้มรับคำ ดื่มกับบรรดาสะใภ้หนึ่งจอก
เพิ่งจะดื่มสุราเสร็จ จ้าวอวี้หลัวก็ดีใจยิ้มประกาศว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญจะประกาศ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมองไปยังนาง จ้าวอวี้หลัวสีหน้าแย้มบาน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าตั้งครรภ์แล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวได้ฟัง ก็ดีใจพูดไม่ออก แต่พอคิดถึงว่าก่อนหน้านี้จ้าวอวี้หลัวดื่มสุรา ก็ไม่เห็นด้วย เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าตั้งครรภ์แล้ว ดื่มสุราอันใดกัน”
จ้าวอวี้หลัวรีบกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่ข้าดื่มเป็นเพียงน้ำเปล่า ใช้น้ำแทนสุรา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียววางใจลง ลู่เจียวกำชับจ้าวอวี้หลัว “ตอนนี้เจ้าตั้งครรภ์แล้ว เดินเหินก็ระวังหน่อย อย่าได้กระโดกกระเดกเหมือนเมื่อก่อน”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
จ้าวอวี้หลัวเติบโตในตระกูลเซี่ย ลู่เจียวอบรมสั่งสอนนาง นางไม่โกรธแม้สักนิด
จ้าวอวี้หลัวกล่าวจบ ก็ชี้ไปที่หูหลิงเสวี่ย ยิ้มกล่าวว่า “ความจริงพี่สะใภ้ใหญ่เองก็ตั้งครรภ์แล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวนิ่งอึ้งไปทันที เป็นนานก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันดีอันใดกัน เรื่องมงคลเรื่องแล้วเรื่องเล่า”
ลู่เจียวสั่งการลงไปทันที “มอบเงินเดือนสองเท่าให้บ่าวรับใช้ทุกคน”
ตระกูลเซี่ยอยู่ร่วมกันอย่างเบิกบานมีความสุข
แฝดสี่กินข้าวเสร็จ ก็เล่นการละเล่นปรับดื่มสุรา พี่น้องยากจะได้มีโอกาสผ่อนคลายดื่มสุราสักครั้ง เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่ได้ห้ามพวกเขา ยิ้มมองพวกเขาเล่นเฮฮาไปด้วย
สุดท้ายทุกคนดื่มกันจนเมามาย ซื่อเป่ายิ้มตาหยีมองต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า กล่าวว่า “พี่ชาย พวกท่านจะกลับเมืองหลวงมาช่วยข้าหรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเลิกคิ้วมองซื่อเป่า จากนั้นก็มองไปยังต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า
ต้าเป่ายิ้มกระจ่างเอ่ยว่า “น้องชาย ข้าอยู่อำเภอชิวก็ดีมาก รอให้ข้าครบวาระค่อยกลับเมืองหลวงก็เหมือนกัน อย่าได้เป็นเพราะเจ้าเป็นพี่น้องพวกเรา ทำให้เจ้าถูกคนวิจารณ์”
เอ้อร์เป่าพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็เช่นกัน แม้อยู่ไกลถึงด่านชายแดน ในใจข้าคิดถึงเจ้าเสมอ หากวันใดเจ้าต้องการพวกเราจริงๆ ก็มีคำสั่งมาได้เลย พวกเราจะต้องบุกมาอยู่ด้านหน้าสุดอย่างแน่นอน”
ซานเป่าพยักหน้าเห็นด้วย “ซื่อเป่า เป็นฮ่องเต้ของเจ้าไปให้ดี ให้พวกเราพี่ชายได้ภูมิใจ”
“ได้ ข้าจะทำได้อย่างแน่นอน”
ซื่อเป่าพยักหน้ารับองอาจ ความจริงก่อนหน้านี้ เขาขึ้นครองราชย์ก็คิดจะเรียกตัวต้าเป่า เอ้อร์เป่าพวกเขากลับเมืองหลวง แต่หากเขาทำเช่นนี้ย่อมทำให้ขุนนางในราชสำนักไม่พอใจ ดังนั้นซื่อเป่าจึงไม่ได้โยกพวกเขากลับเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ซื่อเป่าพลันคิดขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่เกิดฉับพลัน อยากโยกพวกเขากลับเมืองหลวง เขาจะได้พบกับพวกเขาบ่อยๆ
แต่ในเมื่อพี่ชายต่างไม่ยินยอม พวกเขาไม่อยากให้ซื่อเป่าโดนคนนินทา
ซื่อเป่าอดหัวเราะไม่ได้ คนเราโตมาด้วยกันนี่ไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเห็นว่าทุกคนดื่มกันไปมากพอแล้ว ก็ไม่ให้พวกเขาดื่มอีก เอ่ยขึ้นว่า“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ กลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
พอลู่เจียวเอ่ย หูหลิงเสวี่ยกับจ้าวอวี้หลัวก็เข้ามาประคองต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า ซือหว่านอิ๋งก็เข้ามาประคองซานเป่า
สุดท้ายเหลือแค่ซื่อเป่าโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ผู้อื่นต่างอยู่กันเป็นคู่
เขาหันไปมองพระสนมซูเฟยหวังเมิ่งเหยา
หวังเมิ่งเหยาหันไปมองซื่อเป่า วันนี้ซื่อเป่าดื่มไปไม่น้อย ความเย็นเยียบที่มักปรากฏบนใบหน้าก็กลายเป็นความอ่อนโยนและดึงดูดอยู่มากไม่น้อย เพราะเขาดื่มสุราลงไปมาก เรียวตาดอกท้อของเขาก็ยิ่งน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาจากไปได้
หวังเมิ่งเหยาสบแววตาเขาเช่นนี้ ในใจก็เต้นแรงกว่าปกติ
ซื่อเป่าเม้มปากหัวเราะเบาๆ ราวกับดอกท้อผลิบานโดยรอบ เขายกมือกวักเรียกหวังเมิ่งเหยา “มาประคองเรา”
หวังเมิ่งเหยาพลันใจเต้นระรัว ลุกขึ้นเดินทื่อๆ ไปข้างๆ ซื่อเป่า ซื่อเป่ายื่นมือไปวางบนไหล่หวังเมิ่งเหยา ทั้งสองคนดูแล้วสนิทสนมกันไม่น้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวอมยิ้มมองพวกเขา เอ่ยขึ้นว่า“เอาละ ดึกแล้ว ฝ่าบาทพาพระสนมซูเฟยกลับเข้าวังได้แล้ว”
ซื่อเป่าหันหน้าไปยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านพ่อ ท่านแม่ เช่นนั้นข้ากลับก่อน”
กล่าวจบก็โอบเดินออกไปพร้อมกับหวังเมิ่งเหยา พอทั้งสองคนขึ้นรถม้า ซื่อเป่ายื่นมือไปโอบกอดหวังเมิ่งเหยา เอียงหน้าเข้ากระซิบริมใบหูนางแผ่วเบา “เราติดค้างค่ำคืนวสันต์กับเจ้า”