ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 872 ตกพระโลหิต
ตอนที่ 872 ตกพระโลหิต
ในบรรดานักเรียกที่มาสอบมีก้งเซิง[1]สองสามคนไม่เลวอย่างมาก คำถามที่ตอบนั้นก็ได้ดังใจเซียว เหวินอวี๋
เซียวเหวินอวี๋เลือกจ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวา ที่เหลือพระราชทานจิ้นซื่อ
การสอบคัดเลือกครั้งนี้นอกจากให้จวี่เหรินได้ก้งเซิง ก้งเซิงที่สอบได้ล้วนได้รับพระราชทานตำแหน่งจิ้น ซื่อ ไม่มีถงจิ้นซื่อ
บรรดาบัณฑิตต่างตื่นเต้นดีใจ คุกเข่าลงแซ่ซ้องทรงพระเจริญ
ครั้งนี้บัณฑิตตื่นเต้นดีใจกว่าบัณฑิตที่เคยสอบครั้งก่อนๆ
ฝ่าบาทยังได้เผยแพร่ระเบียบนโยบายใหม่สองสามเรื่อง สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นวาสนาของแคว้นต้าโจว วาสนาของราษฎร ดังนั้นในใจบัณฑิตที่สอบได้ต่างก็เลื่อมใสในเซียวเหวินอวี๋ฮ่องเต้พระองค์ใหม่
แน่นอนว่านี่คือสาเหตุที่เซียวเหวินอวี๋เพิ่มรอบการสอบคัดเลือก
เขาเห็นบัณฑิตท่าทางตื่นเต้นดีใจในพระที่นั่งอย่างพึงพอใจ มีราชโองการให้สามอันดับแรก อันได้แก่ จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวาขี่ม้ารอบเมือง จากนั้นพระราชทานงานเลี้ยงฉยงหลิน เขาเป็นประธานงานเลี้ยงฉยงหลินครั้งนี้ด้วยตนเอง ฉลองความสำเร็จให้บัณฑิตทุกคน
พอราชโองการประกาศออกไป บรรดาบัณฑิตต่างก็แซ่ซ้องทรงพระเจริญอย่างตื่นเต้นยินดี
ฝ่าบาทเป็นประธานงานเลี้ยงฉยงหลินครั้งนี้ด้วยตนเอง หากพวกเขามีความสามารถต้องพระทัยฝ่าบาท วันหน้าย่อมได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว
หลังขี่ม้ารอบเมืองได้สามวันก็เป็นวันจัดงานเลี้ยงฉยงหลิน ในงานเลี้ยงฉยงหลิน เซียวเหวินอวี๋ยังแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางให้ทุกคนในที่นั้นด้วยตนเอง นับเป็นพิธีแต่งตั้งขุนนางที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ และฝ่าบาทยังเป็นผู้แต่งตั้งตำแหน่งด้วยพระองค์เองอีกด้วย
ขุนนางที่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉยงหลินต่างรับรู้เจตนารมณ์ฝ่าบาท แต่ไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นให้การสนับสนุนเซียวเหวินอวี๋ตลอดกระบวนการ ชื่นชมระเบียบนโยบายฝ่าบาท ทำให้บรรดาขุนนางหนุ่มที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่ ต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้หนุ่มพระองค์ใหม่ จนแทบจะจุดธูปบูชาเทิดทูนฮ่องเต้
จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยน ทั่นฮวาต่างมีท่าทางนอบน้อมเชื่อฟังฮ่องเต้อย่างมาก
ครั้งนี้จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวาล้วนได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ไปประจำนอกเมือง จ้วงหยวนรับตำแหน่งขุนนางทูตระดับหกไปซีเป่ยเจรจากับชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าเรื่องการเปิดตลาดการค้า
เรื่องที่ไม่เลวก็คือตลาดการค้า เรื่องนี้เซียวเหวินอวี๋ได้หารือกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นและขุนนางในสำนักมนตรีแล้ว หากต้องการคิดให้เศรษฐกิจแคว้นต้าโจวขยายตัว ก็ต้องมีตลาดการค้ากับแคว้นเล็กโดยรอบ เช่นนี้เศรษฐกิจจึงจะเติบโตได้ และการทำเช่นนี้จะทำให้ชายแดนดำรงสันติสุขได้
การที่ชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่าตอนเหนือรุกรานแคว้นต้าโจวชายแดน ก็เพราะขาดแคลนเสบียงอาหาร แต่แคว้นต้าโจวเปิดตลาดการค้ากับพวกเขาได้ พวกเขานำเพชรพลอยเครื่องหนังและสัตว์จำพวกวัวแพะอะไรพวกนี้มาแลกเสบียงอาหารแคว้นต้าโจว สองฝ่ายทำการค้าแลกเปลี่ยน เช่นนี้ก็จะลดสงคราม และทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง
ก่อนหน้านี้หัวข้อการสอบเตี้ยนซื่อก็เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวาต่างล้วนตอบได้ไม่เลว ดังนั้นการแต่งตั้งขุนนางครั้งนี้ เซียวเหวินอวี๋จึงแต่งตั้งจ้วงหยวนเป็นขุนนางทูตระดับหก รับหน้าที่ไปเจรจาทางการทูตกับชนเผ่าเร่ร่อนสิบสองชนเผ่า แน่นอนว่ายังมีขุนพลทหารและผู้คุ้มกันที่ราชสำนักจะจัดไปคุ้มกันเขาด้วย
ปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวากลับได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ระดับหก รับหน้าที่จัดการสถานศึกษาอี้เสวียที่เรียนฟรีสำหรับดินแดนทางเหนือและใต้ สถานศึกษาอี้เสวียนอกจากจะสอนให้รู้หนังสือและศาสตร์แบบโจวแล้ว ยังสอนงานอาชีพและงานฝีมือต่างๆ ราษฎรจะได้ดำรงชีพด้วยงานต่างๆ เหล่านี้ได้
ตอนลู่เจียวได้ยินเรื่องนี้ ยังคิดถึงวิธีการตั้งโรงปลูกผัก นางรีบนำวิธีการนี้ไปกราบทูล
เดิมเซียวเหวินอวี๋ไม่เห็นด้วย นี่เป็นความสามารถส่วนตัวของท่านแม่เขา จะส่งมอบให้ผู้อื่นง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ลู่เจียวกลับไม่ถือสา แม้เป็นความสามารถส่วนตัวก็คิดนำกราบทูล เพราะไม่ว่าอย่างไรโรงปลูกผักนางยังคงปลูกได้ผักที่ดีที่สุดดังเดิม อย่างไรโรงปลูกผักนางใช้น้ำพุจิตวิญญาณรด ผักที่ปลูกออกมาจึงสดและกรอบ ผู้ใดก็เทียบไม่ได้
สุดท้ายวิธีการตั้งโรงปลูกผักก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในวิชาของสถานศึกษาอี้เสวีย
เพราะเซียวเหวินอวี๋เผยแพร่กฎระเบียบใหม่ออกไป ได้รับการชื่นชมจากราษฎรและบรรดาบัณฑิตอย่างมาก ทุกคนต่างกล่าวชื่นชมฮ่องเต้พระองค์ใหม่ มีฮ่องเต้เช่นนี้นำแคว้นต้าโจว ราษฎรแคว้นต้าโจวไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ร่ำรวย
ผู้กุมอำนาจในตระกูลเก่าแก่แต่ละตระกูลในเมืองหลวงได้เห็นความสามารถของฮ่องเต้ ในใจก็ระแวดระวังไม่น้อย ทำอันใดก็จะรอบคอบมากขึ้น ส่งผลให้ในและนอกราชสำนักสงบสุข
เทียบกับความสงบของราชสำนักแล้ว ในวังครึกครื้นมากเป็นพิเศษ
ครั้งนี้ฝ่าบาทรับพระสนมเข้าวังเก้าคน แต่เพราะฝ่าบาททรงงานหนัก ไม่ค่อยย่างกรายไปวังหลัง มีบ้างที่เสด็จไปวังหลัง แต่ก็ไปตำหนักพระสนมจ้าว พระสนมจ้าวพลันเป็นพระสนมคนโปรดที่สุดในวัง ทำให้นางหยิ่งผยองได้ใจ แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่กิริยาวาจาภายนอกก็ยังคงให้ความเคารพ
พระสนมซูเฟยกลับไม่ได้รับเกียรตินี้ เพราะก่อนหน้านี้ฮองเฮายุแยงพระสนมจ้าวให้จดจำพระสนมซูเฟยไว้ กอปรกับตระกูลจ้าวแข็งแกร่งกว่าตระกูลหวัง พระสนมจ้าวจึงไม่เห็นพระสนมซูเฟยอยู่ในสายตา หลายครั้งก็มีวาจาหาเรื่อง โชคดีที่พระสนมซูเฟยไม่สนใจแม้แต่น้อย ส่วนใหญ่พระสนมซูเฟยจะหลบอยู่แต่ในตำหนักเฉาหยางกง ไม่ออกมา
พระสนมจ้าวคิดหาเรื่องนางก็หาตัวไม่พบ
วันนี้หวังเมิ่งเหยาพานางกำนัลมาเดินชมสวนดอกไม้ เพราะสองวันนี้นางเหมือนไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่านัก รู้สึกเหนื่อย กินไม่ได้นอนไม่หลับ นางข้าหลวงแนะนำให้นางออกมาเดินข้างนอก อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในตำหนัก
หวังเมิ่งเหยาจึงได้พานางกำนัลและขันทีตนออกมา ความจริงนางไม่ได้เกรงกลัวพระสนมจ้าว เพียงแต่ ขี้เกียจจะสนใจนาง
เพียงแต่หวังเมิ่งเหยาคิดไม่ถึงว่า นางเพิ่งจะก้าวออกมา พระสนมจ้าวก็ได้ข่าวรีบตามมา
สองฝ่ายพบกัน พระสนมจ้าวส่งเสียงร้องทำทีปิดปากตกใจ เอ่ยขึ้นว่า
“พระสนมซูเฟย สีหน้าซีดขาวจริง นอนไม่หลับหรือ คงไม่ใช่เพราะฝ่าบาทโปรดปรานหม่อมฉัน ฮองเฮาจึงอัดอั้นพระทัย ดังนั้นจึงได้ซูบผอมและซีดเซียวกระมังเพคะ”
หวังเมิ่งเหยามองพระสนมจ้าวทีหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “พระสนมจ้าว จดจำสถานะเจ้าให้ดี เจ้าเป็นเพียงแค่พระสนมตำแหน่งเล็กๆ ข้ามีตำแหน่งพระสนมซูเฟย ระดับชั้นเฟย หากเจ้ากล้าล่วงเกินข้า ข้าก็จะสั่งให้คนจัดการเจ้า”
พระสนมจ้าวไม่เกรงกลัว เพราะนางในใจมั่นใจว่าตระกูลนางมีไทฮองไทเฮา[2] ตระกูลหวังมันตัวอันใด แม้ว่าตอนนี้นางเป็นเพียงแต่พระสนมชั้นผิน แต่เชื่อว่าอีกไม่นานฝ่าบาทจะแต่งตั้งนางเป็นพระสนมชั้นเฟย
“โอ๊ย ข้ากลัวจริงๆ เช่นนั้นเจ้าลองลงโทษข้าดู”
หวังเมิ่งเหยาไม่อยากมีเรื่องกับพระสนมจ้าว จึงได้ก้าวเท้าจะไป ปรากฏตอนสวนกับพระสนมจ้าว พระสนมจ้าวหันมากระแทกใส่นาง
หวังเมิ่งเหยาคิดไม่ถึงว่าหญิงผู้นี้ถึงกับใจกล้าเหิมเกริมเช่นนี้ ไม่ทันระวังป้องกันจึงถูกกระแทกเต็มแรงล้มลงกับพื้นทันที
ไม่เพียงแต่เท้าแพลง แต่ยังเจ็บท้องมาก นางข้าหลวงใหญ่ข้างกายรีบเข้ามาดู เห็นกระโปรงนางสีแดงฉานไหลซึมออกมา
นางข้าหลวงใหญ่ตกใจส่งเสียงร้องดัง “พระสนม ท่านตกพระโลหิตแล้วเพคะ?”
หวังเมิ่งเหยารู้สึกเพียงแค่สมองมึนงง นางพลันคิดถึงว่าเดือนนี้เลยวันระดูมาหลายวันแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ใน ตอนนี้ดูท่าอาจเป็นไปได้ว่านางตั้งครรภ์แล้วหรือ
หวังเมิ่งเหยาตกใจ ยื่นมือออกไปคว้านางข้าหลวงใหญ่ รีบเอ่ยทันทีว่า “ตามหมอหลวงมาเร็ว รีบตามหมอหลวงมา”
นางข้าหลวงใหญ่รีบหันไปสั่งการขันทีน้อย “รีบไปตามหมอหลวง”
ขันทีน้อยวิ่งออกไปทันที นางข้าหลวงใหญ่เข้าไปกอดหวังเมิ่งเหยาไว้
นางหันหน้าไปถลึงตาใส่พระสนมจ้าวอย่างโมโห “พระสนมจ้าว เจ้าถึงกับกล้ากระแทกพระสนมเรา หากพระสนมเราเป็นอันใดไป ฝ่าบาทไม่ปล่อยท่านไปแน่”
[1] จีนสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงมีการแบ่งการสอบคัดเลือกขุนนางสามระดับ ได้แก่ ระดับต้นเรียกว่า ถงซื่อ ซึ่งจัดสอบเป็นประจำทุกปี เป็นการสอบในท้องถิ่น และมีการแบ่งระดับชั้นของถงชื่อเป็นสามระดับตามลำดับคือ เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อและย่วนซื่อ ซึ่งการสอบย่วนซื่อนี้จะจัดโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ได้คุณวุฒิ ซิ่วไฉ จากนั้นก็จะเป็นะดับมณฑล หรือระดับภูมิภาค เรียกว่าเซียงซื่อ จัดขึ้นทุกสามปี ณ เมืองเอกของแต่ละมณฑล เนื่องจากการสอบมักจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จึงเรียกการสอบในระดับนี้อีกชื่อหนึ่งว่า การสอบในฤดูใบไม้ร่วง ได้คุณวุฒิจวี่เหริน จากนั้นก็จะเป็นระดับเมืองหลวงเรียกว่า หุ้ยซื่อ สอบทุกสามปีในเมืองหลวง และมีขุนนางราชสำนักเป็นผู้คุมสอบ เนื่องจากการสอบมักจัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ จึงเรียกการสอบในระดับนี้อีกชื่อหนึ่งว่า การสอบในฤดูใบไม้ผลิ ได้คุณวุฒิ ก้งเซิง จากนั้นก็จะไปสอบหน้าพระที่นั่งเรียกว่า เตี้ยนซื่อ จัดสอบทุกสามปีในพระราชวังซึ่งส่วนใหญ่ฮ่องเต้เป็นผู้ดูแลออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง คัดเลือกระดับหนึ่ง สามตำแหน่ง ได้แก่ จ้วงหยวน ปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวา ที่เหลือจะได้เป็นคุณวุฒิระดับสองหรือจิ้นซื่อ
[2] ไทฮองไทเฮา หรือ ไท่หวงไท่โฮ่ว คือตำแหน่งพระอัยยิกาของฮ่องเต้ ในที่นี้ก็คืออดีตไทเฮาจ้าวในไท่ซั่งหวงเซียวอวี้