ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 911 ไม่คาดคิด
ตอนที่ 911 ไม่คาดคิด
แม้ว่าหวังเมิ่งเหยารู้มานานแล้วว่าเซียวเหวินอวี๋ให้ความเคารพลู่เจียวมาก แต่ตอนนี้ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ในใจก็ยังคงปวดปลาบ อดบ่นเล็กน้อยไม่ได้ “เรื่องนี้เพราะฮูหยินโจวกั๋วเสนอใช่หรือไม่ เหตุใดนางจึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้”
วังหลังไม่อาจข้องเกี่ยวกับการปกครอง นับประสาอันใดกับฮูหยินนอกวังก็ไม่ควรข้องเกี่ยวเรื่องวังหลัง
เซียวเหวินอวี๋ได้ฟังหวังเมิ่งเหยา ก็หันขวับไปมองหวังเมิ่งเหยา หวังเมิ่งเหยากลัวเซียวเหวินอวี๋ไม่พอใจ รีบยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็แค่เอ่ยไปอย่างนั้น”
ในใจเซียวเหวินอวี๋เริ่มไม่พอใจ ท่านแม่เป็นคนอ่อนโยนมีเมตตา ไม่เช่นนั้นจะอบรมเลี้ยงดูพวกเขาดังบุตรชายแท้ๆ หรือ
เขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ท่านแม่เขาไม่ต้องการอันใด แต่ไรมาไม่ร้องขอสิ่งใด นางเพียงแค่เลี้ยงดูเขามาด้วยใจอันบริสุทธิ์เท่านั้นจริงๆ
“เจ้าทำตามเราบอกก็พอ”
หวังเมิ่งเหยารับคำ “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
เรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกลับเมืองหลวงเป็นที่รู้กันทั่วอย่างรวดเร็ว ตระกูลเซี่ยพลันครึกครื้นขึ้นมาทันที มีคนสนิทกับตระกูลเซี่ยไม่น้อยพากันส่งเทียบจะมาเยือน
หลังผ่านเรื่องราวไท่ซั่งหวงและตระกูลจ้าวก่อกบฏมา ชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวงลดลงไปมาก แต่ก็มีชนชั้นสูงศักดิ์ใหม่ๆ ขึ้นมาไม่น้อย
เช่นตระกูลฝั่งฮองเฮา ตระกูลหวังได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นโหว รุ่งเรืองขึ้นพร้อมกับจวนจงอี้โหวกับจวนอันหยางป๋อที่เมื่อก่อนเป็นชนชั้นสูงศักดิ์ที่ไม่ได้รับความสำคัญ
เสนาบดีกรมคลังจ้าวหลิงเฟิงเองก็ได้รับพระราชทานตำแหน่งหย่งหนิงโหวต่อจากบิดา
ตระกูลหวัง ตระกูลจ้าว ตระกูลเนี่ยพากันส่งเทียบจะมาเยือนตระกูลเซี่ย
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นลาออกจากตำแหน่งโส่วฝู่ แต่ประตูตระกูลเซี่ยก็ยังคงตั้งไว้สูง ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเยี่ยมเยือนกันง่ายๆ นับประสาอันใดกับบุตรชายตระกูลเซี่ยหลายคนมีชื่อเสียงกันไม่น้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวยังเป็นบิดามารดาบุญธรรมของฝ่าบาท ตระกูลเซี่ยไม่มีทางตกต่ำ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเองก็รู้ว่าบุตรชายของตนเป็นขุนนางในราชสำนัก ตระกูลพวกเขายังต้องการสมาคมกับบรรดาขุนนางอื่นในราชสำนัก ดังนั้นเทียบเชิญที่ส่งมา พวกเขาส่วนใหญ่รับไว้แล้ว
พอเป็นเช่นนี้ ทุกวันตระกูลเซี่ยล้วนมีแขกมาเยือน จนกระทั่งวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด
วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดเดิมเป็นวันชีเฉี่ยวเจี๋ย[1] ปรากฏไม่รู้ว่าว่าเมื่อใดจึงเริ่มกลายเป็นเทศกาลขอพร ได้ยินว่าวันนี้ริมแม่น้ำเยว่จะให้ลอยเรือกระดาษขอพร ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้คนมากมายพากันมาลอยเรือกระดาษขอพรริมแม่น้ำเยว่กันในวันนี้
ริมแม่น้ำมีร้านค้ามากมายถือโอกาสทำการค้า ค่อยๆ ทำให้เทศกาลนี้เป็นกิจกรรมหนึ่ง ครึกครื้นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีของขายริมทาง ยังมีการแสดงต่างๆ เช่นเชิดสิงโต ทำให้คนยิ่งมาชมความการแสดงครึกครื้นและขอพรกันมากยิ่งขึ้น
เด็กๆ ตระกูลเซี่ยย่อมได้ยินกิจกรรมเทศกาลนี้ เห็นว่าจะวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดแล้ว ก็ขอร้องให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพาพวกเขาไปริมแม่น้ำเย่วเพื่อลอยเรือกระดาษขอพร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวรับปากพวกเขา แต่ยอมให้เด็กโตไปด้วยเท่านั้น ไม่พาเด็กน้อยไป
แต่เพื่อป้องกันเหตุผิดพลาด ยังพาลูกน้องไปคอยติดตามอารักขาเด็กๆ ไม่น้อย
รัชทายาทกับองค์หญิงใหญ่เองก็พาองครักษ์ไปด้วย
“ท่านปู่ ท่านย่า พวกเราไปกันเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองคนด้านหลังรัชทายาทกับองค์หญิงใหญ่ทีหนึ่ง ก็พยักหน้าเล็กน้อย มองออกว่าเหวินอวี๋จัดการได้เหมาะสม
ก่อนออกไป ลู่เจียวกำชับเด็กๆ ว่า “อย่าวิ่งไปทั่ว จะเที่ยวเล่นก็เที่ยวเล่นอยู่ที่เดียวกัน ไม่ต้องรีบร้อน ได้เที่ยวเล่นทุกอย่างแน่”
“ขอรับ พวกเราทราบแล้ว”
รถม้าสามคันแล่นตรงไปยังแม่น้ำเยว่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวนั่งอยูในรถม้าคันแรก รัชทายาทกับเด็กชายตระกูลเซี่ยสองคนนั่งคันที่สอง องค์หญิงใหญ่กับเซี่ยหลิงนั่งคันสุดท้าย
ไม่เพียงแต่เด็กๆ สนใจในการลอยเรือกระดาษขอพร แม้แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็สนใจ เขาถือโอกาสตอนลู่เจียวไม่ทันสนใจ แอบพับเรือขอพร วางแผนว่าจะไปลอยบนแม่น้ำเยว่
ลู่เจียวเห็นเขาลับๆ ล่อๆ ก็อดบ่นไม่ได้ “เจ้าคงไม่ได้คิดไปลอยเรือกระดาษขอพรอันใดด้วยกระมัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงียบกริบ ลู่เจียวรู้สึกว่าตนเองเดาถูก ยื่นมือไปคว้าแขนเขาไว้ “จริงหรือนี่ เป็นถึงใต้เท้าโส่วฝู่ เหตุใดเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย รีบบอกมา เจ้าขอพรอันใด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเม้มปากสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “บอกไม่ได้ บอกแล้วไม่ศักดิ์สิทธิ์”
ลู่เจียวเห็นท่าทางจริงจังของเขา ก็อดขำไม่ได้ กล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ยหนอใต้เท้าเซี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับเป็นใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นใบหน้านางงามราวกับบุปผา ก็อดยื่นมือขึ้นกอดนางไม่ได้ เขยิบตัวเข้าไปใกล้ลำคอนางสูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง คล้ายหอมแมวน้อย[2]
เมื่อคืนเขาพลันรู้สึกว่า พวกเขาอายุสี่สิบต้นๆ แล้ว ชีวิตที่เหลือสั้นมาก เขาขอพรเพียงว่า ไม่เพียงแต่ชาติภพนี้ แม้แต่ชาติภพหน้าก็ขอให้เขาได้พบกับนาง จะจริงใจต่อนางเพียงผู้เดียว
ลู่เจียวถูกเขากอดจนพูดไม่ออก รถม้าแล่นมาถึงริมแม่น้ำเยว่อย่างรวดเร็ว รอบด้านได้ยินเสียงดังอึกทึกไปทั่ว รถม้าพวกเขาไม่อาจแล่นต่อไปได้ ได้แต่จอดชิดริมอยู่รอบนอก
ยามนี้รอบๆ มีรถม้าจอดอยู่ไม่น้อย เด็กๆ บนรถม้ากระโดดลงมาอย่างดีใจกัน แล้ววิ่งมาหารถม้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว
“ท่านปู่ ท่านย่า วันนี้ครึกครื้นมากเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวลงจากรถม้า กำชับเด็กๆ “อีกสักครู่อย่าวิ่งไปทั่ว หากจะวิ่งไปทั่ว ครั้งหน้าจะไม่พาพวกเจ้ามาแล้ว”
รัชทายาทเซียวจิ่งกับองค์หญิงใหญ่เซียวฉานนำทุกคนรับคำ “พวกเราทราบแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังจัดคนอารักขาด้านหลัง จะต้องตามคิดเด็ก ๆ เอาไว้ อย่าให้เกิดเหตุอันใดอย่างเด็ดขาด
องครักษ์รับคำรับคำสั่ง “ขอรับ”
ทุกคนเดินตรงไปด้านหน้า พื้นที่ริมแม่น้ำเยว่กว้างมาก ดังนั้นสองข้างทางมีร้านค้าไม่น้อย มีของเล่นแปลกๆ มากมาย เช่น ตุ๊กตาน้ำตาล ตุ๊กตาดินปั้น ของเล่นท่อนไม้ประกอบ แผ่นไม้ประกอบเจ็ดแผ่น นอกจากของกินของเล่นแล้วก็ยังมีการแสดงต่างๆ โคมไฟมังกร การแสดง เชิดสิงโต กายกรรมลิง ยังมีร้องงิ้ว
รัชทายาทกับองค์หญิงใหญ่ไม่เคยเห็นบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน รู้สึกสนุกอย่างมาก เด็กๆ ทุกคนถือตุ๊กตาน้ำตาลตัวหนึ่งในมือเดินชมไปรอบๆ อย่างเบิกบานใจ
“พวกเจ้าดู เจ้าลิงน้อยร้ายกาจมาก ถึงกับฟังภาษาคนออก ฮ่า ฮ่า ยังรู้จักขอเงินด้วย”
คนเล่นกายกรรมลิงด้านในส่งเสียงดังว่า “ทุกท่านเดินผ่านมาทางนี้ ชมแล้วก็มอบเงินรางวัลให้ลิงน้อย ได้กินข้าวกันสักหน่อยด้วยนะขอรับ”
ลิงน้อยยกจานเดินมาขอเงิน
พวกเซียวจิ่งกับเซี่ยเฉินแปลกใจมาก พวกเด็กทั้งสี่ต่างควักเงินโยนใส่จานลิงน้อย
ลิงน้อยเห็นพวกเขาโยนเงินมาก็ยังรู้จักโค้งคำนับขอบคุณ ยามนี้ยิ่งหยอกเขา เด็กๆ ดีใจ เอ่ยกันอย่างตื่นเต้น
“เจ้าลิงนี่ฉลาดจริง”
“ไว้พวกเราเลี้ยงไว้สักตัว”
“ดีๆ”
เด็กๆ มีแรงบันดาลใจอยากเลี้ยงสัตว์จากเจ้าลิงน้อยตัวนี้
เซียวจิ่งหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว “ท่านปู่ท่านย่า ไว้พวกเราเลี้ยงสักตัวนะขอรับ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วกล่าวว่า “เลี้ยงได้ไม่มีปัญหา แต่เจ้าอยากเลี้ยงให้เป็นเช่นนี้ ต้องเลี้ยงสักสามปีขึ้นไปเห็นจะได้”
เซียวจิ่งมองงงๆ “เป็นเช่นนี้หรือ”
เซี่ยหรงเห็นด้านหน้ามีเชิดมังกรก็อดส่งเสียงร้องดังไม่ได้ “รีบมาดูเร็ว คนเชิดคนนั้นเก่งกาจมาก พวกเราไปดูกัน”
เด็กๆ พากันวิ่งไปด้านหน้า พวกผู้ใหญ่ตามหลังไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเองก็ตามไป เพราะคืนนี้คนมาก พวกนางไม่กล้าประมาท ได้แต่ตามเด็กน้อยทั้งสี่ไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นแล้วก็ถอนหายใจ นี่มันเรื่องอันใดกัน เดิมพวกเขาอยากใช้ชีวิตกันแค่สองคน ปรากฏว่ากลับต้องมาลงแรงดูแลเด็กๆ พวกนี้ แต่ฮองเฮากลับมาคับแค้นใจ คิดว่าพวกเขาอยากทำหรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปมาแล้วก็ตัดสินใจว่าตอนกลับเมืองหนิงโจวจะทิ้งรัชทายาทกับองค์หญิงใหญ่ไว้ในวัง เด็กๆ น้อยลง พวกเขาก็เบาใจลง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังคิดอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงร้องตกใจมาจากทางด้านหน้า “ไม่ได้การแล้ว ด้านหน้าไฟไหม้แล้ว”
[1] วันเทพธิดาทอผ้าที่เฉลียวฉลาดและมีฝีมือทอผ้า
[2]ท่าทางหอมแมว ใช้เปรียบกับคู่รักที่อดเข้าคลอเคลียชิดใกล้หอมแก้มกันมิได้