ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 948 พระสนมผิน
ตอนที่ 948 พระสนมผิน
“ฝ่าบาท ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไป๋กุ้ยเหริน นาง นางล่อลวงบ่าวพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็หันหน้าไปคิดกระแทกต้นไม้ตาย ร้องไห้คร่ำครวญกล่าวว่า “หม่อมฉันตาบอดอย่างไรก็ไม่ต้องตาต้องใจคนขาเป๋หรอกเพคะ และยังเป็นขันทีอีก”
วาจานี้กล่าวจากใจจริง
หลิวเซิ่งสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
แต่ฮ่องเต้เชื่อลู่เจียว หลิวเซิ่งไม่เพียงแต่ไร้น้ำยา ยังขาเป๋ หากไป๋กุ้ยเหรินตาไม่บอด ก็ย่อมไม่มีทางต้องตาต้องใจคนเช่นนี้ เห็นชัดว่าเขาถูกคนบงการให้มาทำร้ายไป๋กุ้ยเหริน
“ทหาร นำตัวไปขังไว้”
จีชางออกคำสั่ง องครักษ์ก็ก้าวเข้ามาลากตัวหลิวเซิ่งออกไปสอบ สอบได้ไม่นาน หลิวเซิ่งก็ไม่ได้ดึงดันนานนัก ไม่นานก็บอกตัวผู้บงการออกมา พระสนมลี่ผินบงการให้เขาทำ
ก่อนหน้านี้เจ้าของร่างเดิมเคยหัวเราะเยาะพระสนมลี่ผินว่าเป็นแม่วัว พระสนมลี่ผินโมโหมาก ดังนั้นจึงคิดทำลายเจ้าของร่างเดิม
จีชางได้ฟังองครักษ์ก็คิดถึงพระสนมลี่ผินถึงกับสั่งการให้ขันทีมาทำลายไป๋กุ้ยเหริน ไป๋กุ้ยเหรินเป็นผู้หญิงของเขา พระสนมลี่ผินคิดสวมหมวกเขียวให้เขาหรือ สีหน้าจีชางย่ำแย่อย่างไม่อาจบรรยาย พร้อมกับรู้สึกว่าพระสนมลี่ผินโหดเหี้ยมนัก
จีชางคิดมีอายุยืนยาว รู้สึกว่าคนเราต้องมีเมตตา ดังนั้นย่อมไม่พอใจสตรีที่โหดเหี้ยมอย่างที่สุด
เขาสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง ออกคำสั่งทันที “ลดตำแหน่งพระสนมลี่ผินเป็นกุ้ยเหริน กักบริเวณสามเดือน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ลู่เจียวแค่นเสียงฮึเยียบเย็น แต่ก็เข้าใจได้ ตอนนี้พระสนมในวังล้วนเป็นบุตรีชนชั้นสูงศักดิ์ในราชสำนัก อย่าเห็นว่าเขาเป็นฮ่องเต้ ทว่าเขาไม่กล้าลงโทษพระสนมวังหลังตามอำเภอใจเช่นกัน
ก็เหมือนกับเรื่องที่เกิดกับลู่เจียวก่อนหน้านี้ แม้ฮ่องเต้รู้ว่านางชอบชายอีกคน แต่ไม่กล้าลงมือเปิดเผยด้วยการส่งนางเข้าตำหนักเย็น เพียงแต่ขับนางมาอยู่ตำหนักอวิ๋นหวาให้ย่อยยับไปเอง อย่างไรบิดาเจ้าของร่างเดิมก็เป็นขุนนางระดับสองในราชสำนัก
ลู่เจียวคิดถึงจนสุดท้าย ก็รู้สึกว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างไร้น้ำยา แต่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับนาง
นางต้องการสลัดหลุดจากสภาพจำกัดในตอนนี้
จีชางก้าวมาข้างกายลู่เจียว ยื่นมือขึ้นกุมมือนาง ประคองนางกลับตำหนักอวิ๋นหวา
ลู่เจียวเดิมคิดปฏิเสธ แต่มาคิดๆ ดูแล้ว สถานะนางตอนนี้ คงต้องอาศัยจีชาง
ทั้งสองคนเดินกลับตำหนักอวิ๋นหวา
ลู่เจียวรีบคิดทันที เรื่องแรกจะย้ายออกจากตำหนักอวิ๋นหวาได้อย่างไร เรื่องที่สอง จะป้องกันจีชางคิดสัมพันธ์กับนางได้อย่างไร
คิดไปคิดมา นางตัดสินใจแสร้งทำสุขภาพอ่อนแอ ก็เหมาะสมกับนางในตอนนี้ นางถูกทอดทิ้งอยู่ตำหนักอวิ๋นหวามานานหลายปี สุขภาพถูกทำลายลง เรื่องนี้มีเหตุมีผลพอได้
นางอ้างเรื่องนี้ย้ายออกจากตำหนักอวิ๋นหวา และยังหลบเลี่ยงต้องปรนนิบัติจีชางได้อีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือคนเช่นจีชางเป็นพวกทะนุถนอมหญิงงาม หากวันหน้านางสุขภาพไม่ดี เขาก็คงคิดว่าที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเป็นเหตุ คงปฏิบัติต่อนางไม่เลว
ลู่เจียวคิดเสร็จแล้วก็ก้าวเข้าไปนั่งในตำหนัก ก่อนจะเอนล้มลงจากเก้าอี้
จีชางรีบมีราชโองการให้ขันทีตามหมอหลวงมา
ก่อนหมอหลวงมา ลู่เจียวถือโอกาสตอนเขาไม่ทันระวัง ฝังเข็มให้ตนเองสองเข็ม สกัดชีพจรสองจุดของนางไว้ ทำให้ลมหายใจและเลือดลมอ่อนแรง อวัยวะภายอ่อนกำลัง ก็เหมือนดังสภาพคนอายุสั้นในตำนาน
หมอหลวงมาตรวจแล้วก็เป็นดังที่ลู่เจียวคิดไว้ เขาทูลรายงานต่อฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท สภาพร่างกายไป๋กุ้ยเหรินทรุดโทรมรุนแรงมาก เกรงว่าคงมีอายุไม่ยืนยาวแล้วพ่ะย่ะค่ะ
สีหน้าจีชางแทบไม่อยากจะเชื่อ มองหมอหลวงแล้วก็ก้มหน้าลงมองลู่เจียว พบว่าร่างกายนางอ่อนแรงมากจริงๆ สีหน้าอิดโรยอย่างที่สุด
จีชางคิดถึงสาวน้อยคนงามในปีนั้น ราวกับดวงตะวันสาดส่อง แต่เพราะเขา ทำให้นางสุขภาพไม่ดี นางย่อมอารมณ์ไม่ดีนัก ตอนนั้นเขามีราชโองการให้นางเข้าวังมาเป็นพระสนม ผู้ใดจะรู้ว่านางเข้าวังมาแล้วจะเปลี่ยนไป
จีชางครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ เมื่อก่อนแล้ว สุดท้ายก็ต้องยอมรับเรื่องหนึ่ง เขาได้ทำร้ายหญิงผู้นี้แล้ว
“เช่นนี้ นางยังมีอายุได้อีกนานเท่าไร”
“หากบำรุงร่างกายให้ดีๆ น่าจะได้อีกแปดปีสิบปี หากไม่บำรุงให้ดี เกรงว่าสองสามปีก็คงต้องจบสิ้นลงแล้ว”
จีชางหนักใจ ค่อยๆ ลุกขึ้นมองไปยังมหาขันที “เลื่อนไป๋กุ้ยเหรินเป็นพระสนมขั้นผิน พระราชทานตำหนักหย่งฝูกง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
มหาขันทีชิ่งเซิงหันไปมองลู่เจียวทีหนึ่ง ไป๋กุ้ยเหรินได้เป็นพระสนมไป๋ผิน นับว่านางได้ผงาดขึ้นมาแล้ว
ชิ่งเซิงรีบรับคำกล่าวว่า “บ่าวรีบไปจัดการเรื่องนี้”
ฮ่องเต้กล่าวจบก็ไม่ได้อยู่ต่อ ชิ่งเซิงนำสองขันทีไปจัดการเรื่องนี้
แต่พอในพระตำหนักพลันเงียบสงบลง คนไปกันหมดแล้ว ลู่เจียวก็ลืมตาขึ้น
นางเพิ่งจะลืมตาก็พบว่านอกประตูมีเด็กน้อยเดินเข้ามา เด็กน้อยจ้องมองนางเย็นเยียบไม่เอ่ยอันใด
ลู่เจียวมองเขาแล้วก็ปวดหัว เจ้าหมอนี่ไม่เหมือนฉินม่อ และไม่เหมือนตู้เยี่ยน ตอนได้พบนาง จิตใจเด็กสองคนนั้นยังไม่ได้ถูกทำให้มืดบอด แต่ตอนนี้เห็นชัดว่ามืดบอดสนิทแล้ว นางต้องทำอย่างไรจึงจะทำให้เขาคนเดิมกลับคืนมาได้
ลู่เจียวครุ่นคิดรวดเร็ว คิดถึงปมปัญหาระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับเด็กน้อย เกรงว่าไม่ว่าเจ้าของร่างเดิมทำเช่นไร เจ้าหมอนี่ก็ไม่มีทางไว้ใจนางอีก เพราะในใจเขาโกรธแค้นเจ้าของร่างเดิมมาก
ดังนั้นจะให้เขาคืนดีกับนาง ก็คงต้องบอกว่านางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม หากนางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม ไม่แน่ว่าเด็กน้อยอาจจะยอมรับนาง
ลู่เจียวคิดได้ก็รีบถามระบบว่า “211 ข้าถามเจ้า หากข้าบอกจีซิวว่าข้าไม่ใช่เสด็จแม่เขา ข้าเป็นเทพธิดาที่สวรรค์ส่งมาช่วยเขา เจ้าว่าเขาจะยอมรับข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ทำเช่นนี้ได้หรือไม่”
ระบบชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า [ ท่านทะลุมิติมาในนิยายก็เพื่อแก้ไขตัวร้ายให้เป็นคนดี ดังนั้นไม่ว่าวิธีการอันใดล้วนทำได้หมด แต่ตัวละครอื่น ท่านปรับเปลี่ยนมากไม่ได้ ]
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบ เงยหน้ามองไปยังจีซิว หน้าประตูตำหนัก “เข้ามา”
จีซิวหันหน้าคิดหนีด้วยสัญชาตญาณ แต่คิดถึงว่าการถูกตบตีเมื่อก่อน สุดท้ายก็เดินเข้ามา เพียงแต่ร่างกายเกร็งแน่น คล้ายเสือดาวตัวน้อยที่พร้อมกระโจนใส่ ขอเพียงลู่เจียวกล้าแตะต้องเขา เขาก็จะกระโจนเข้างับคอนาง
ลู่เจียวรอให้เด็กน้อยเดินมาก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเกลียดข้ามากใช่หรือไม่”
เด็กน้อยเงียบไม่ตอบ แต่แววตาดำทะมึน จ้องมองนางด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
ลู่เจียวค่อยๆ กล่าวว่า “ข้ารู้ เจ้าเกลียดเสด็จแม่เจ้า แต่ข้าไม่ใช่นาง”
จีซิวขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดลู่เจียว
ลู่เจียวเอ่ยอีกครั้งว่า “เสด็จแม่เจ้าถูกเจ้าวางยาพิษตายไปแล้ว ข้าเป็นเทพธิดาที่สวรรค์ส่งมา เพราะเจ้าลำบากมาก ดังนั้นข้าจึงมาปกป้องเจ้า”
ลู่เจียวกล่าวจบ เด็กน้อยก็มีสีหน้าเยาะเย้ย ไม่หวั่นไหวไปกับคำพูดนาง
ลู่เจียวมองออกว่าเขาไม่เชื่อคำพูดนาง
นางก็ไม่ได้ดึงดันต่อ เพราะพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ จะต้องใช้การกระทำค่อยๆ ทำให้เขาเชื่อ
ลู่เจียวคิดไปกล่าวไปว่า “อีกสักครู่พวกเราก็จะย้ายออกจากที่นี่ วันหน้าพวกเราไม่ขาดแคลนของกินของใช้และเสื้อผ้า ชีวิตย่อมดีกว่าเมื่อก่อน”
นางเพิ่งกล่าวจบ เด็กน้อยก็หันหลังจากไป ท่าทางไม่คิดตามนางไป